google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

10 สุดยอดห้องที่ซ่อนอยู่ในอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียง

 ไม่ใช่เพราะอนุสาวรีย์มีชื่อเสียงที่เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน ตัวอย่างเช่น คุณรู้หรือไม่ว่าพระราชวังแวร์ซายเป็นเรือนอกโลกจริงๆ ฉันไม่มีหลักฐาน แต่ฉันค่อนข้างแน่ใจ ในทางกลับกัน สำหรับห้องลับบางห้อง เรามีหลักฐานที่แท้จริง ดังนั้นเราจะเน้นไปที่นั้น


1. ห้องลับที่ Mount Rushmore

Mount Rushmore ยังคงทำงาน 15 ปีเพื่อฝากใบหน้าที่ดีของประธานาธิบดีอเมริกัน 4 รุ่น XXL (สูง 18 เมตร) บนภูเขาอย่างระมัดระวัง และหลายปีต่อมา เราพูดกับตัวเองว่ามีบางอย่างที่ขาดหายไปเพื่อทำให้สถานที่แห่งนี้โดดเด่นจริงๆ และสิ่งนี้คือห้องลับ เพื่อปกปิดสถานที่ในความลี้ลับ ดังนั้น ในปี 1990 มีชายตัวเล็กคนหนึ่งขุดห้องลับหลังศีรษะของลินคอล์น ห้องนี้เรียกว่า "ห้องเก็บเอกสาร" จริงๆ แล้วไม่ได้ใช้มากนัก เนื่องจากมีเฉพาะสำเนาเอกสารทางประวัติศาสตร์ของอเมริกาเท่านั้น เช่น คำประกาศอิสรภาพ

2. อาคารร้างในไทม์สแควร์

ใจกลางย่านที่มีชื่อเสียงที่สุดของแมนฮัตตันและในสายตาธรรมดาคือ One Times Square ซึ่งซ่อนอยู่หลังป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นในปี 1904 เป็นที่ตั้งกองบรรณาธิการของ New York Times มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งย้ายออกในปี 1997 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครครอบครองอาคารนี้เลย นอกจากร้านขายยาบนชั้นหนึ่ง เจ้าของไม่จำเป็นต้องเช่าอาคารเพราะรู้สึกว่าสามารถทำกำไรได้เพียงพอผ่านการโฆษณา

3. อพาร์ทเมนต์ลับของหอไอเฟล

ในช่วงเวลาของการก่อสร้าง Bouzin Gus Eiffel ได้วางแผนอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กขนาด 100 ตารางเมตรบนชั้น 3 ที่สูง 285 เมตร เพราะไม่มีอันตรายใด ๆ ที่ต้องทำ วันนี้อพาร์ทเมนท์ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม แต่คุณสามารถเห็นการตกแต่งภายในและสองรุ่น ไอเฟลและโทมัส เอดิสัน หากคุณรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในปารีส ลองนึกภาพค่าเช่าที่อพาร์ทเมนต์นี้จะมีราคา

4. ท่าเรือผีสถานีแกรนด์เซ็นทรัล

สถานีแกรนด์เซ็นทรัลเป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก และอาจเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่สิ่งที่เรารู้น้อยกว่าคือการเดินออกไปนอกประตู "เฉพาะบุคลากร" เพียงเล็กน้อย เราจะพบท่าเทียบเรือร้าง และถ้าวันนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ ในปี 1929 มันก็เป็นความลับอย่างแท้จริง เชื่อมต่อโดยตรงกับโรงแรม Waldorft-Astoria โดยไม่ต้องมองเห็นจากภายนอก จะทำให้ Roosevelt ไม่เห็นในรถเข็น วันนี้ประธานาธิบดีมีแอร์ ฟอร์ซ วัน ท่าเรือจึงถูกทิ้งร้าง

5. เกาะลับของดิสนีย์เวิลด์

เมื่อสวนสาธารณะเปิดในปี 1974 เกาะที่มีสวนสัตว์เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ทางเรือเท่านั้น แต่ในปี 1996 ดิสนีย์เปลี่ยนใจและย้ายสัตว์ทั้งหมดออกจากเกาะร้าง วันนี้คุณสามารถไปที่นั่นได้เพียงว่ายน้ำและหลบหนีการรักษาความปลอดภัย แต่ที่นั่นไม่มีอะไรให้ทำมากนักยกเว้นการถ่ายรูป

6. ทางเดินที่ซ่อนอยู่ของปิรามิดแห่งกิซ่า

ในปี 2559 กล้องถ่ายภาพความร้อนได้สแกนมหาพีระมิดแห่งกิซ่าเพื่อหาชิ้นส่วนที่ยังไม่ถูกค้นพบ และแน่นอน พวกเขาพบบางอย่าง เรากำลังพูดถึงปิรามิดอยู่แล้ว แต่ห้องนี้เข้าถึงยากเป็นพิเศษ เราไม่สามารถพูดได้ว่าเราจะพบอะไรที่นั่น

7. คลับ 33 ที่ดิสนีย์แลนด์

ในดิสนีย์แลนด์แห่งนิวออร์ลีนส์ ด้านหลังประตูที่ไร้พิษภัย คุณสามารถหาคลับส่วนตัวสุดพิเศษ ที่เดียวที่มีแอลกอฮอล์ในสวนสาธารณะ พวกเราทำอะไรได้บ้าง ? พูดยาก ตราบใดที่ค่าธรรมเนียมสมาชิกมีมูลค่า $25,000 ซึ่งเราเพิ่ม $12,000 ต่อปี และรายการรอหลายปี นี่จะต้องเป็นที่ที่ผู้มีอำนาจดึงเชือกและให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่ออิลลูมินาติ

8. The Lucky 7 Lounge ที่ Pixar Studios

อีกครั้ง มันยากที่จะบอกว่ามีอะไรอยู่ในเลานจ์ส่วนตัวโดยสิ้นเชิงนี้ ตั้งอยู่ในพิกซาร์สตูดิโอส์ มันถูกค้นพบโดยแอนดรูว์ กอร์ดอน นักสร้างแอนิเมชั่น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพบช่องขนาดเท่ามนุษย์ที่ซ่อนอยู่ในผนังห้องทำงานของเขา บุคคลหลายคน เช่น สตีฟ จ็อบส์, ทิม อัลเลน เคยอยู่ที่นั่นและลงนามในกำแพง

9. น้ำตกไนแองการา ถ้ำวิญญาณสาปแช่ง

ด้านล่างของถนนที่นำไปสู่น้ำตกคือถ้ำที่ชาวพื้นเมืองอเมริกันในท้องถิ่นกล่าวว่าถูกสาปแช่ง เรื่องราวของชายผู้ก่อกวนพระวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ และถ้าเราให้คำสาปเกี่ยวกับมัน เราจะต้องสาปแช่ง แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าถูกสาปแช่งคุณยังสามารถเยี่ยมชมได้

10. สนามเทนนิสสถานีแกรนด์เซ็นทรัล

ไม่น่าแปลกใจเลยที่นี่คือสถานีที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากครึ่งหนึ่งของพวกเขาถูกซ่อนไว้ และนั่นก็เป็นเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง หากคุณเป็นสมาชิกของ Vanderbilt Tennis and Fitness Club คุณสามารถเข้าใช้สนามเทนนิสที่ซ่อนอยู่ในบางแห่งในสถานี เราไม่รู้จริงๆ ว่าที่ไหนมีประโยชน์สำหรับการเล่นซ่อนหา


5 ตำนานผีไทย

เราเห็นเรื่องราวต่างๆมากมายในละคร ในภาพยนตร์เกี่ยวกับผี แต่ไม่เคยรู้จริงๆว่า ผีที่เราได้เห็นนั้น มีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไรบ้าง ฉะนั้นเพื่อเพิ่มความกลมกล่อมเลยจัดหาตำนานผีไทยที่ทุกคนรู้จัก เรามาหลอนกันเลยดีกว่า

ผีพราย
จริงๆแล้วผีพราย คนในอดีตจะบอกว่าเป็นผีที่เป็นผู้หญิงที่ตายเพราะการคลอดลูก หรือว่าตายหลังจากคลอดลูกได้ไม่นาน บางคนก็บอกว่าผีพรายเป็นคนแก่ที่ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะเดิน พออยู่คนเดียว ก็จะมีแรงไปหาของดิบของคาวกิน พอมีคนมาก็ไร้เรี่ยวแรงอย่างเดิม และก็มีความเชื่อกันอีกว่าผีพรายเป็นผีที่แปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆโดยเฉพาะเป็นนกเค้าแมว แถมว่ากันว่าถ้าบ้านไหนมีคนป่วย แล้วมีนกเค้าแมวมาเกาะบริเวณบ้าน คือผีพรายกำลังมาทำให้คนป่วยนั้นเสียชีวิตโดยเร็ว แต่ในปัจจุบันทุกคนจะรู้จักผีพราย ที่มีรูปร่างเหมือนคนอยู่ในน้ำ มีเนื้อเปื่อย ซีด ตัวเขียวคล้ำ เนื้อตัวเป็นเมือกลื่น เหม็นและเน่า ใครไปบริเวณแหล่งน้ำ ก็ระวังให้ดี หากได้กลิ่นเหม็น แล้วเห็นคนอยู่ในน้ำ นั้นแหละคุณเจอแล้ว ผีพราย!!

ผีกระสือ
หลายคนรู้จักกันดีกับผีประเภทนี้ มักจะอยู่ในร่างของผู้หญิงแก่ ความหลอนอยู่ที่จะมีแค่หัวกับตับไตไส้ เท่านั้น คนในอดีตบอกไว้ว่า กระสือมีทั้งหญิงและชาย ผีกระสือจะชอบมากเมื่อมีคนคลอดลูก ตกดึกก็จะตามหากลิ่นนั้นแล้วกินตับไตไส้พุงของคนคลอด จึงทำให้คนในอดีตต้องมีต้นที่มีหนามไว้รอบบ้าน และใต้ถุนบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้กระสือเข้ามา เพราะกะสือจะกลัวหนามไปเกี่ยวเอาไส้ของตัวไป
ว่ากันอีกว่า กระสือชอบกินของเน่าด้วยรวมถึงอุจจาระ หลังจากอิ่มเรียบร้อย ก็จะลอยไปหาผ้าที่ชาวบ้านตากไว้ แล้วเช็ดทิ้งร่องรอยคราบสกปรก บางทีก็จะหาโอ่งเก็บน้ำที่ชาวบ้านลืมปิดฝา เอาหน้าไปจุ่มแล้วทิ้งน้ำลายลงไป ใครคนไหนโชคร้ายกินน้ำที่มีน้ำลายกระสือไปก็จะกลายเป็นทายาทกระสือคนต่อไปทันที ระวังไว้นะ ใครชอบกินน้ำไม่ดูให้ดีๆ ระวังจะกลายเป็นกระสือ

ผีกระหัง
ว่ากันว่าผีกระหังมีลักษณะคล้ายผีกระสือ จะเรียกกระสือที่เป็นผู้ชายว่า กระหัง เพราะกระหังชอบกินของ คาวๆดิบๆ และพวกอุจจาระด้วย แต่รูปร่างจะไม่คล้ายกระสือตรงที่ว่า กระหังบินได้โดยใช้กระด้งติดกับแขน แล้วก็มีสากตำข้าวเป็นหาง มีกบ เขียด คางคก เป็นอาหารโปรด คนในอดีตบอกว่าคนที่เป็นกระหัง ก่อนจะเป็น จะเป็นคนที่ชอบเล่นไสยศาตร์ พวกอาคมแรงๆ แต่รับมือไม่ไหวของเข้าตัวจึงกลายเป็นกระหัง เห็นแบบนี้แล้วใครที่ชอบหากินกลางคืน กินพวกกบ พวกเขียด คุณอาจจะเป็นกระหังแบบไม่รู้ตัวก็ได้นะเอออ

ผีปอบ
ทุกคนจะรู้จักในบทบาทที่ผีปอบชอบกินของสดคาว ล้วงไส้ของคนมากินสดๆบ้าง กินไก่ดิบบ้าง แต่คนในอดีตบอกว่า ผีปอบเป็นแค่ความเชื่อ เชื่อว่าคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่ม โดยเฉพาะชอบกินของดิบ บ้างก็บอกว่าเป็นพวกที่เล่นคุณไสย จนของเข้าตัว ทำให้ถูกผีสิง เรียกว่าปอบ แล้วผีจะกินตับไตไส้พุงจนตาย เรียกว่านอนไหลตาย บางตำรายังบอกอีกว่าเป็นผีที่เข้ามาสิงคนเพื่ออาศัย และแลกเปลี่ยน หมายถึงคนที่ชอบเล่นคุณไสย ให้ผีมาอาศัยร่างแล้วไปหักคอเป็ด คอไก่ แล้วกินเพื่อเซ่นไหว้ ฮืมมม ได้ยินแบบนี้แล้วก็ขนลุกเนาะ

ผีเปรต
ยกผีเปรตเป็นผีในตำนานเลย เพราะทุกคนจะได้ยินเรื่องราวมากมายของผีเปรต ซึ่งเปรตคนไทยมีความเชื่อว่า ใครที่ชอบทำร้ายพ่อแม่ ตายไปจะกลายเป็นเปรต เปรตจะหิวโหยตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครอุทิศของให้ เปรตก็จะกินเนื้อ กินหนองของตัวเองแทน

ปากเปรตจะเท่ารูเข็ม ตัวสูงยาวเท่าต้นไม้ ผอมแห้ง มือเท่าใบตาล เปรตจะแปลว่าผู้ที่ตายไปแล้ว แล้วคนมักจะเปรียบเทียบเปรตกับคนที่ชอบขอคนอื่นกินด้วยความหิวโหย

จบไปแล้วกับ 5 ตำนานที่ชวนขนหัวลุก อาจจะไม่น่ากลัว แต่รู้ไหมว่า ตำนานพวกนี้มีแง่คิดสอนให้เราทำความดีทั้งนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าความจริงเป็นอย่างไร สุดท้ายนี้ ผีไทยไม่ได้มีแค่นี้ คุณอาจจะเจอผีแบบอื่นก็ได้ ตอนนี้ เวลานี้ ใครจะไปรู้ ว่าคุณกำลังอยู่กับใคร…คนนั้น!
ขอบคุณที่มาจาก picnic.ly/2017/01/thai-ghost-stories

10 ตำนานผีอาเซียนประเทศเพื่อนบ้านสุดสยอง

1. เจ็งล็อต (Jenglot) จากประเทศอินโดนีเซีย
ประเทศบ้านเกิดของเจ็งล็อตก็คืออินโดนีเซีย มันเป็นลูกครึ่งระหว่างมัมมี่กับแวมไพร์ มีขนาดเล็กกะจิ๋วหลิวประมาณ 6 นิ้วเท่านั้นเอง เกิดขึ้นมาจากฤาษีที่บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นมุ่งสู่ความเป็นอมตะ อุทิศตนนับถือปีศาจจนได้พลังอำนาจมาและกลายเป็นเจ็งล็อต คนที่เลี้ยงเจ็งล็อตจะต้องให้เลือดกับมันด้วย  จะเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ก็ได้ การให้เลือดนั้นก็ทำโดยการฉีดเลือดเข้าไปในตัวมันทุกเดือนๆ ละ 1 ซีซี แต่บางคนก็เพียงแค่เทเลือดใส่ถ้วย วางเอาไว้ข้างๆ เจ็งล็อต แล้วมันจะแอบกินเองตามลำพังตอนที่ไม่มีใครเห็น เจ็งล็อตเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในอินโดนีเซีย ขนาดว่ามีการจัดงานโชว์เจ็งล็อตกันที่กรุงจาร์การ์ต้า เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย เชื่อกันว่าเจ็งล็อตบางตัวมีอายุถึง 6,000 ปีกันเลยทีเดียว

2. กุนตีลานัก (Kuntilanuk) จากประเทศอินโดนีเซีย
ผีกุนตีลานัก จะคล้ายกับผีแม่นาครวมกับผีนางตานีของบ้านเรานั่นเอง เกิดจากสาวสวยที่ตายระหว่างตั้งครรภ์หรืออุ้มท้องหรือที่เรียกว่าตายทั้งกลมนั่นเอง กุนตีลานักจะอาศัยอยู่ในต้นกล้วยเหมือนกับผีนางตานี เธอจะอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาว ผมยาวปิดหน้าปิดตา ผิวสีขาวซีด และอุ้มท้องอยู่ เมื่อไหร่ที่มีเสียงร้องไห้เบาๆ หรือเสียงสุนัขครางหงิงๆ แสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาอยู่ใกล้ๆ แล้ว แต่ถ้าได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้เสียงดังหรือสุนัขหอนแสดงว่าผีกุนตีลานักเริ่มเข้ามาในอาณาเขตละแวกบ้านของเราแล้ว และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ ผีกุนตีลานักนั้นชื่นชอบการควักลำไส้เป็นที่สุด ด้วยความที่เธอมีเล็บยาวที่แหลมคม ถ้าใครโชคร้ายบังเอิญไปสบจากับผีรายนี้ก็จะโดนควักลูกตาออกไปกิน แถมยังโดนดูดสมองออกไปด้วย ยิ่งถ้าเหยื่อเป็นผู้ชายจะแถมด้วยการทำร้ายอวัยวะเพศอย่างโหดร้ายเข้าไปอีก บางความเชื่อเล่าว่า กุนตีลานักจะเลือกเหยื่อของเธอจากกลิ่นเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้ ชาวอินโดนีเซียจึงมักจะไม่ยอมตากเสื้อเอาไว้นอกบ้านในเวลากลางค่ำกลางคืนโดยเด็ดขาด โดยปกติผีตัวนี้มักจะชอบยืนรอเหยื่อเข้ามาติดกับเองมากกว่า ถ้าเราได้ยินเสียงเด็กร้องไห้แถวๆ ต้นกล้วยก็ยังพอมีโอกาสหนีไปให้ไกลจากบริเวณนั้น

3. โปลอส จากประเทศมาเลเซีย
โปลอสจะคล้ายๆ กับรักยมของประเทศไทย เกิดจากเลือดของคนที่ถูกฆ่าตาย โดยการเอาเลือดของคนดังกล่าวไปเก็บไว้ในขวดแล้วทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ วิญญาณผู้ตายจะถูกเรียกออกมาและถูกสะกดไว้ในขวดนั้น หลังจากนั้นสองสัปดาห์จะเริ่มได้ยินเสียงออกมาจากขวด เริ่มต้นจากเสียงร้องไห้เป็นอย่างแรก จากนั้นอาจจะมีเสียงแปลกๆ อื่นๆ ตามมา รูปร่างของโปลอสจะเหมือนผู้หญิงเปลือยตัวเล็กๆ อาศัยอยู่ในขวด จากนั้นผู้เลี้ยงดูจะต้องกรีดเลือดของตัวเองหยดใส่ในขวดเพื่อเป็นอาหารแก่ปีศาจตนนี้ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีที่ปีศาจพร้อมจะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของตนต่อไป ปีศาจโปลอสจะไม่ฟังคำสั่งใครนอกจากเจ้าของคนเดียว ส่วนใหญ่เจ้าของนั้นจะเป็นพ่อมดหมอผี ที่เลี้ยงดูโปลอสไว้ใช้ในทางมิชอบหรืองานผิดกฎหมาย อย่างเช่นการฆ่าคนเป็นต้น โปลอสจะทำร้ายทุกคนที่เจ้านายสั่งมา โดยจะทิ้งรอยแผลช้ำๆ ไว้บนร่างกายให้ดูต่างหน้า อาจถึงขั้นดูดเลือดออกจากปากของเหยื่อด้วย การเลี้ยงปีศาจโปลอสนี้เหมือนดาบสองคม ถ้าเลี้ยงดีก็ได้ประโยชน์ แต่หากพลั้งเผลอหรือละเลย ก็อาจทำให้ผู้เลี้ยงถึงตายได้เช่นกัน อาหารของโปลอสคือเลือด หากไม่ให้อาหารแก่มันตามกำหนด มันก็จะโกรธและเป็นอันตรายต่อเจ้าของและทุกคน วิธีป้องกันโปลอสทำร้ายให้ใช้เมล็ดพริกไทยผสมน้ำมันและกลีบกระเทียมสาดใส่โปลอส มันจะอ่อนแรงและหมดพลังในทันที

4. ผีปีนังกาลาน (Penanggalan) จากประเทศมาเลเซีย
ปีนังกาลานเป็นผีร้ายแห่งคาบสมุทรมาเลย์อันน่าสะพรึงกลัว ลักษณะของปีนังกาลานจะลอบไปมาโดยที่ไม่มีตัว มีแต่หัวกับลำไส้หรือไม่ก็มดลูกเพื่อหลแกหลอนผู้คนคล้ายๆ กับผีกระสือบ้านเรา ว่ากันว่าผีปีนังกาลานนี้เป็นผีที่ตายทั้งกลมจึงมีนิสัยดุร้ายและเกรี้ยวกราดมาก พร้อมจะเล่นงานเด็กๆ และผู้หญิงที่ตั้งท้องตลอดเวลา

มีเรื่องเกี่ยวกับผีปีนังกาลาน เรื่องหนึ่งเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่และลูก อยู่กินกันอย่างปกติสุขทั่วไป แต่ในคืนหนึ่งผู้เป็นพ่อได้ออกไปทำธุระนอกบ้าน ฝ่ายแม่นั้นปิดประตูลงกลอนมิดชิดแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องกับลูกที่หลับไปแล้ว จากนั้นเธอก็หยิบขวดน้ำมันมนต์ที่ซ่อนไว้ออกมาเทน้ำมันมนต์นั้นทารอบคอตนเอง สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกัน โดยมีตับไตไส้พุงติดออกมาด้วย หัวและไส้ของนางลอยออกไปทางหน้าต่างเพื่อออกไปหากิน ถ้าชาวบ้านสักคนบังเอิญมองมาก็จะเห็นเป็นแสงสีเหลืองวับแวมและอาจได้ยินเสียงคล้ายกับลมพัดตลอดเวลาที่หัวของปีนังกาลานแลยไป เสียงนั้นดังขึ้นเพื่อขับไล่สัตว์เล็กสัตว์น้อยเพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งกับพวงไส้ของหล่อนนั่นเอง ลูกตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ได้ตืนขึ้นมาและทันได้เห็นเหตุการณ์ลับของแม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงหยิบเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทารอบคอของตัวเองบ้าง เพียงไม่นานในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยหวาดกลัวจนขวัญเสียร้องโวยวายออกมา

"ช่วยด้วยหัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว"

ชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าออกไปให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงโวยวายจึงเงียบลง หลังจากคืนนั้นครอบครัวประหลาดนี้ก็ย้ายหนีออกจากหมู่บ้านและไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีกเลย

5. ปีศาจทิกบาลัง (Tikbalang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ทิกบาลังเป็นสัตว์ประหลาดของประเทศฟิลิปปินส์ มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้า มีตาสีแดงคล้ายกับเซนทอร์ในตำนานกรีก แม้ทิกบาลังจะมีสี่ขาเหมือนเซนทอร์ แต่มันก็สามารถยืนสี่ขาได้เหมือนกับคน มันอาศัยอยู่ในป่าของฟิลิปปินส์และไม่ชอบให้ใครมาทำเสียงเอะอะมะเทิ่งในป่า หากมันไม่พอใจ มันจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้คนเหล่านั้นหลงป่า ทิกบาลังสามารถกลายร่างเป็นคนได้ ล่องหนก็ได้ มันทำทุกวิถีทางให้คนหลงทาง วิธีการป้องกันก็คือเมื่อเดินเข้าป่าไปก็ให้ตะโกนขออนุญาติทิกบาลังเหมือนกับที่ขออนุญาติเจ้าป่าเจ้าเขาของคนไทยเรา และเมื่อเข้าป่าก็ให้พยายามสำรวม อย่าทำเสียงเอะอะนั่นเอง

6. ปีศาจกาปรี (Kapre) จากประเทศฟิลิปปินส์
กาปรี เป็นปีศาจที่มีชื่อเสียงตนหนึ่งของฟิลิปปินส์ ชอบนุ่งผ้าเตี่ยวเหมือนคนพื้นเมือง ไม่สวมเสื้อ ชอบอยู่ตามต้นไม้ใหญ่เช่นต้นไทร กอไผ่ ต้นมะม่วง บ้างก็จะนั่งอยู่ตามต้นไม้ บ้างก็จะยืนอยู่ข้างๆ ต้นไม้ บางคนเล่าว่ากาปรีจะสวมเข็มขัดด้วย ลักษณะของมันโดยรวมก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ว่าตัวจะสูงมากประมาณ 3 เมตร ตามตัวมีขนสีน้ำตาล ไว้หนวดเครายาว ความแปลกของเจ้าปีศาจตัวนี้ก็คือ มันติดบุหรี่ ทุกครั้งที่มีคนพบเจอตัวมันก็จะเห็นว่ามันสูบบุหรี่หรือซิการ์อยู่เสมอ แม้หน้าตาจะดูดุร้ายน่ากลัว แต่มันกลับเป็นมิตรกับผู้คน แถมยังอยากมีความรักอีกด้วย ที่สำคัญเจ้ากาปรีเป็นปีศาจช่างเลือก มันจะเลือกคนที่มันรู้สึกชอบเท่านั้นที่จะมองเห็นตัวมันได้ บางครั้งเวลาที่มีคนหลงป่า กาปรีก็จะหาเรื่องออกมาพูดคุยด้วย แต่ก็มีบางคนเชื่อว่ามันเองนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้คนหลงป่า เหตุการณ์แปลกๆ ที่บอกให้รู้ว่ากาปรีอยู่ใกล้ๆ ก็คือจะมีเสียงดังกรอบแกรบเกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีลมพัด หรืออาจจะได้ยินเสียงหัวเราะก้องออกมาจากต้นไม้ หรือมีควันของซิการ์ลอยออกมาจากต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้น ความพิเศษของมันอีกอย่างคือ ในมือข้างที่ไม่ได้จับซิการ์ มันจะกำก้อนหินสีขาวขนาดเล็กประมาณเม็ดถั่วเอาไว้ เชื่อว่าถ้ามันให้หินนั้นแก่ใครแล้ว ผู้ที่ครอบครองหินนั้นจะโชคดีสมความปรารถนาทุกประการ

7. ปีศาจอัสวัง (Aswang) จากประเทศฟิลิปปินส์
ภูตปีศาจของฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความหลอนสุดๆ ก็คืออัสวัง ซึ่งในตอนกลางวันมันจะมีรูปร่างเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ แต่พอตกกลางคืนพวกมันจะมีปีกงอกออกมา ความร้ายกาจของผีอัสวังนี้คือจะออกไล่ล่าสตรีมีครรภ์และทารกเป็นอาหาร โดยใช้ลิ้นที่ยาวเป็นท่อไปดูดเลือดของผู้เคราะห์ร้ายจนถึงแก่ความตาย อัสวังแบ่งแยกได้อีกเป็น 5 สายพันธุ์ นั่นก็คือ สายพันธุ์ที่หนึ่ง มานานังเกล มีรูปร่างเป็นผู้หญิง หน้าตาสะสวย มีปีกขนาดใหญ่ที่หลัง สามารถถอดลำตัวออกจากกันเป็นสองท่อนได่โดยไม่ตาย เวลาออกล่าเหยื่อก็จะบินออกไปได้มองดูเหมือนกับเหยี่ยวยักษ์ ว่ากันว่ามานานังเกลกลัวกระเทียมคล้ายกับแดร็กคูล่าของฝรั่ง ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าเอาเกลือไปพรมตามที่อยู่ของมานานังเกลหรือพรมไปตามลำตัวท่อนบนของมันหรือบริเวณรอยต่อที่แยกตัวออกนั้น มันจะตายเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ส่วนที่เป็นอันตรายของมานานังเกลก็คือของเหลวที่พ่นใส่ปากหญิงตั้งครรภ์ซึ่งจะเข้าไปทำลายเด็กในท้องได้ นอกจากนี้มันยังชอบกินหัวใจเด็กและยังชอบกินลูกไก่ของชาวบ้านอีกด้วย

สายพันธุ์ที่สองมีชื่อว่า มันดูรูโก คือพวกที่เป็นหญิงงามและเอาความงามเข้าล่อเหยื่อที่เป็นชาย หลังจากได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้เคราะห์รายแล้ว มันดูรูโกก็จะใช้ร่างของสามีเป็นแหล่งอาหารทันที ซึ่งวิธีการก็คือจะแอบดูดเลือดจากซอกคอของสามีทุกวัน จนกว่าเลือดจะหมดตัวและแห้งตายไป มันจึงจะออกไปหาเหยื่อรายใหม่ สายพันธุ์ที่สามมีชื่อว่ามันกูกูรัม คือพวกที่เป็นแม่มดที่ใช้ตุ๊กตาสาปแช่งเพื่อเสกแมลง เสกก้างปลา หรือเสกเศษแก้วเข้าตัวคนจนถึงแก่ความตาย ส่วนอีกสองสายพันธุ์นั่นคือ พวกกินซากศพ กับพวกที่สามารถแปลงร่างได้ ซึ่งมันจะแปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่มันเห็นขณะออกล่าเหยื่อ

8. ผีหญิงชุดขาวกลางถนน จากประเทศฟิลิปปินส์
ผีตนนี้อาละวาดอยู่ที่ถนนสายหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีเรื่องเล่าว่าบริเวณที่เป็นถนนสายนี้ ในอดีตมีหญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ศพที่พบในภายหลังนั้น ส่วนที่เป็นใบหน้าได้หายไป นับตั้งแต่นั้นมาวิญญาณของเธอก็จะปรากฏตัวอยู่ในรูปของผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ผมดำยาวแต่ไร้หน้า และยืนเลือดท่วมอยู่กลางถนนตอนกลางคืน คอยดักเหยื่อที่ขับรถผ่านไปมาอยู่ในเส้นทางนี้เสมอ มีคำแนะนำว่าถ้าผู้ขับขี่จำเป็นต้องขับรถผ่านเส้นทางนี้ในยามวิกาลก็จงอย่ามองกระจกหลัง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงชุดขาวกลางถนนจะเข้ามาในรถในสภาพเลือดท่วมตัว มีชาวบ้านหลายรายถูกผีผู้หญิงตนนี้หลอกจนจับไข้หัวโกร๋นกันมาแล้ว มีเรื่องเล่าอีกว่า ชายหนุ่มสองคนขับรถไปทำธุระโดยที่ต้องผ่านถนนเส้นนั้นเป็นเวลาสามทุ่มเศษ พอถึงจุดเกิดเหตุทั้งคู่ก็เห็นหญิงสาวชุดขาวออกมายืนขวางอยู่กลางถนน ทำท่าเหมือนจะขอความช่วยเหลือ จนคนขับรถต้องเหยียบเบรกตัวโก่ง พวกเขาไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนสวย เพราะหญิงสาวไว้ผมยาวดำขลับ รูปร่างดี เมื่อพวกเขาขับรถเข้าไปใกล้ๆ หวังจะให้ความช่วยเหลือ ก็เห็นเธอยื่นมือขาวซีดออกมา ทำท่าจะแตะประตูรถ ชาวหนุ่มทั้งสองก็มองไปที่ใบหน้าของเธอ แต่ก็พบว่าใบหน้านั้นขาวโพลนและว่างเปล่า ไม่มีตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงหัวเราะเล็กแหลมที่ฟังดูคล้ายเสียงร้องไห้ของผู้หญิง เมื่อพวกเขารู้ว่าถูกผีหลอกแล้ว คนขับก็รีบออกรถและขับหนีอย่างไม่คิดชีวิตและไม่กล้าผ่านไปในเส้นทางนั้นอีกเลย

9. ผีกองกอย จากประเทศลาว
ประเทศลาวเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของไทย ที่มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน เรื่องราวของภูติผีปีศาจก็เป็นอีกเรื่องที่คล้ายกัน โดยกองกอยเป็นผีป่าชนิดหนึ่งมีปากเป็นท่อคล้ายกับแมลงวัน ลักษณะรูปร่างเป็นผีที่มีขาข้างเดียว เวลาไปไหนมาไหนจะใช้วิธีกระโดดไปด้วยขาข้างเดียวนั้น พร้อมส่งเสียงร้องว่า กองกอย กองกอย ไปตลอดทางเป็นที่มาของชื่อกองกอยนั่นเอง หน้าตาของผีกองกอยจะคล้ายลิงหรือค่าง ดังนั้นบางคนจึงเรียกผีกองกอยว่า ผีโป่ง หรือ ผีโป่งค่าง คนเดินป่าเชื่อกันว่าผีกองกอยจะแอบเข้ามาดูดเลือดคนที่เดินป่าตอนที่นอนหลับทุกครั้งที่มีโอกาส จึงมีวิธีแก้เคล็ดป้องกันคือ ให้นอนไขว้หรือนอนให้เท้าชิดกันไว้ทั้งสองข้าง ผีกองกอยจะไม่เข้ามายุ่ง และอย่านอนให้เท้าเลยออกมานอกเต๊นท์นอนเด็ดขาด

10. ผีปอบ จากประเทศลาว
ในประเทศลาวก็มีความเชื่อเรื่องผีปอบเหมือนกับประเทศไทย โดยเชื่อกันว่าผีปอบเกิดจากผู้ที่ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจเวทมนต์คาถาไปทำร้ายผู้อื่นได้ แต่วิชาอาคมเหล่านี้ก็มีข้อห้ามและข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ซึ่งห้ามละเมิดโดยเด็ดขาด หากกระทำผิดข้อห้ามจะเกิดการผิดครู วิญญาณของบรมครูจะลงโทษหรือสาปแช่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งก็เกิดจากคนเล่นคาถาอาคม ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาปกลัวกรรม ทำให้ของวิชาอาคมต่างๆ เข้าตัวกลายเป็นผีปอบในที่สุด

ผีปอบยังแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่น ปอบธรรมดา คือคนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง เมื่อคนๆ นี้ตายไป ปอบที่สิงอยู่ก็จะตายตามไปด้วย ประเภทต่อมาก็คือปอบเชื้อ หมายถึง ครอบครัวใดที่พ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบต่อไปเหมือนเป็นกรรมพันธุ์ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามก็ต้องเป็นผีปอบต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ต่อมาคือปอบแลกหน้า หมายถึง ผีปอบที่เจ้าเล่ห์ ชอบเอาความผิดไปโยนให้คนอื่น เวลาที่เข้าสิงใคร เมื่อสอบถามว่าผู้ใดเป็นคนเลี้ยง ปอบจะไม่บอกความจริงแต่จะไปกล่าวโทษว่าคนนั้นคนนี้ โดยที่ผู้ถูกพาดพิงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย ประเภทสุดท้ายเรียกว่า ปอบกักกึก ซึ่ง กึก ในภาษาอีสานแปลว่า ใบ้ เมื่อมีคนถามปอบจะไม่ยอมพูดอะไรจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใคร มีใครใช้ให้มาเข้าสิง

ผู้ที่ถูกปอบสิงจะมีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนจะแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนจะนอนซมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะมีท่าทีอาการอย่างไร ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำอาหารสุกๆ ดิบๆ พวกตับหมู ตับไก่ เครื่องใน เลือดสดๆ มาให้กิน เวลากินก็จะแสดงอาการตะกละตะกลาม มูมมาม และกินได้มากผิดปกติ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าผู้ป่วยถูกปอบเข้าสิงก็จะไปตามหมอผีหรือหมอธรรมให้มาไล่ปอบออกไป
ที่มา Bearry Channel Youtube

ไสยศาสตร์อัศจรรย์วิชาเสือสมิงศาสตร์แห่งไสย
สามเณรครูบาธรรมชัยลำดับความมุ่งมั่นตัดสินใจออกธุดงค์ครั้งนี้นั้นเนื่องจากประสงค์จะดั้นด้นเข้ามาในป่าในเขาก็หวังจะขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไปเพื่อจะได้ล่วงพ้นกองทุกข์ใหญ่ในกายสังขารนี้เป็นสำคัญ โดยตั้งใจจะสิ้นภพสิ้นชาติไปในชาตินี้ไม่เวียนว่ายตายเกิดมารับทุกข์อีกต่อไปแต่พอมาเจอรอยเท้าเสือเท่านั้นกลับเกิดความรักตัวกลัวตายอย่างไร้สติ

เมื่อคิดได้เช่นนี้สติก็สามารถควบคุมจิตได้ความกลัวเสือ กลัวความตายพันหายไป จิตเกิดความองอาจกล้าหาญสลายความหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปจนหมดสิ้นจึงได้นั่งลงพิจารณาความเป็นจริงกลับไปกลับมาเท่าที่ความรู้ในทางธรรมซึ่งครูอาจารย์อบรมสั่งสอนมากำหนดพิจารณาเพียงเป้าหมายเดียวจิตก็รวมตัวเข้าสู่ความสงบดิ่งลงเป็นสมาธิไม่รับรู้อารมณ์อื่นใดทั้งสิ้น

สามเณรครูบาธรรมชัยอยู่ในสมาธินั่นนานจูบจนเวลาเลื่อนไหลไปสู่ช่วงเย็น แดดอ่อนๆสัตว์จากยอดไม้เดนจึงคายออกจากสมาธิจิตมีความปลอดโปร่งปราศจากความวิตกกังวลใดๆมากล้องติดเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาอันเหมาะสมจึงเตรียมตัวจะไปส่งน้ำที่ลำห้วยเพื่อชำระร่างกาย

สามเณรเดินจากร่มไม้ตรงไปยังลำห้วยแหล่งน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนักพอพ้นพุ่มไม้ดกหนาออกไปเต็มตัวก็ประสบเข้ากับภาพที่ไม่คาดฝันว่าจะพบเห็น

ที่นั่นริมห้วยน้ำใส เสือโคร่งตัวมหึมากำลังก้มกินน้ำอยู่ ทันทีที่สามเณรปรากฏตัวเสื้อตัวนั้นก็หันขวับกลับมา เณรตกตะลึงนะจังงังและเสือก็คงตกตะลึงเช่นกันเสือใหญ่เจ้าป่าหมุนตัวย่อขาลงเตียงจู่โจมเข้ากับคุกพลางส่งเสียงคำรามกระหึ่ม ตบะบารมีของเสือสมิงกินคนบีบคั้นกดดันจนสติสามเณรไม่อาจควบคุมได้ ความรักตัวกลัวตายที่สูญหายไปหวนกลับมาในพริบตานั้น เสือใหญ่แผดเสียงสนั่นแล้วกระโจนเข้าตะปบ  ด้วยความตกใจ เณรผงะถอยหลังบังเอิญมีรักไม้ขวางอยู่ข้างหลังจึงสะดุดรักไม้ล้มหงายหลังร่างเสือลอยละลิ่วผ่านไปอย่างฉิวเฉียดพอถึงพื้นก็กระโจมแถวเข้าป่าหายไป

ส่วนสามเณรครูบาธรรมชัยยังนอนหงายตัวสั่นเทาด้วยความตกใจกลัวสุดขีดคิดว่าตัวเองคงเป็นเหยื่อให้เสือกินแน่แต่เสือไม่ได้หวนมาขย้ำกลับหายเงียบไป แน่นอนท่าเดิมอยู่พักใหญ่จึงได้สติลุกขึ้นมานั่งพิจารณาจิตของตัวเองด้วยความละอายใจเพราะแท้จริงแล้วจิตของตนก็ยังถูกความหวาดกลัวครอบงำไม่เลิกการที่จิตอ่อนไว้ให้อารมณ์มีอำนาจเหนือกว่าเพราะขาดสติมั่นคงเมื่อขาดสติปัญญาก็พลอยมืดบอดอย่างน่าสังเวช เมื่อพิจารณาได้เช่นนี้สามเณรก็ตัดสินใจจะตามไปหาเสือตัวนั้นอีกครั้งเมื่อจิตมันยังหวั่นไหวกับกิเลสความกลัวก็จะยอมให้เสือฉีกกินเนื้อให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย การที่เณรตัดสินใจมอบกายถวายชีวิตแก่เสือเพราะคิดว่าแค่อารมณ์ความกลัวเพียงเท่านี้ยังตัดไม่ขาดแล้วจะตัดกิเลสอันใหญ่หลวงที่ครอบงำชีวิตได้อย่างไรดังนั้นแทนที่จะส่งน้ำชำระร่างกายสามเณรกับเดินตามรอยเสือซึ่งกระทำไว้บนพื้นดินไปเรื่อยๆหวังเอาไว้ว่าจะเผชิญกับเสืออีกครั้งเพื่อดูว่าจิตมันจะขาดกลัวเหมือนเดิมหรือไม่หากยังไม่สามารถควบคุมสติได้ก็จะให้เสือมันขบกัดจนตายไปเสียเถอะ

คิดเช่นนี้สามเณรก็เดินดุ่มเป็นฝ่ายตามหาเสือเสียเองไม่รอให้เสือมาตามล่าเอาชีวิตเช่นที่ผ่านมาร่องรอยของเสือพอจะเห็นได้ชัดเจนเป็นระยะร้อยนั้นมุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่เณรยึดเป็นที่พักภาวนาปฏิบัติธรรมคล้ายกับว่าเสือจะย้อนไปดักรอคอยเพื่อหาโอกาสสังหารเณร เวลานั้นสามเณรครูบาธรรมชัยจิตใจมั่นคงองอาจไม่กลัวตายแม้จะเห็นรอยเท้าเสือบ่ายหน้าไปยังที่พักของตนแต่ความหวั่นไหวสะดุ้งกลัวก็ไม่เคยขึ้นคงเดินแน่วแน่ๆไปยังต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีบริการวางอยู่

เมื่อเข้าไปใกล้มองไปข้างหน้าแทนที่จะเห็นเสือใหญ่กลับเห็นเป็นพระธุดงค์รูปหนึ่งนั่งสงบตรงโคนต้นไม้ใหญ่คลังเดินเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นว่าพระธุดงค์รูปนั้นมีผิวกายคล้ำเกรียมแต่มีสง่าราศีเปล่งปลั่งน่าเลื่อมใสเณรเดินเข้าไปใกล้พอสมควรแล้วทรุดกายลงนอนนมัสการ

"กำลังเดินตามหาเสือ จะให้เสือมันกินหรือเณร"

คำพูดที่พระธุดงค์ทักทายทำเอาเณรนั้นสะดุ้งเพราะประหนึ่งท่านรู้วาระจิตโดยตลอด เณรไม่ตอบคำพูดถึงคำถามนั้นหากย้อนถามท่านไปว่า

"พระคุณเจ้าเคยพบเห็นเสือตัวหนึ่งบ้างไหมขอรับ"

เห็นหรือไม่เห็นก็ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร พระธุดงค์ตอบ
ใจของเรานั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นภายนอก หากใจ สะอาดบริสุทธิ์มีศีลมีสมาธิมีปัญญาเต็มภูมิแล้ว เสือสมิงหรือสัตว์ใดๆก็จะไม่เข้ามาข้องแวะและประสงค์ร้าย

เณรกราบเรียนถามท่านว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรและจำพรรษาอยู่วัดไหน ทว่าพระธุดงค์รูปนั้นก็ไม่ตอบคำถามท่านบอกเพียงแต่ว่าเป็นพระธุดงค์ซึ่งจาริกไปเรื่อยๆเพื่อปฏิบัติธรรม จากนั้น ท่านก็ได้กล่าวแนะนำเข้าทำให้แก่สามเณรครูบาธรรมชัยอีกหลายข้อ รวมทั้งแนวทางการภาวนาและการเดินจงกรมที่ถูกวิธีเพิ่มเติม ข้อสำคัญที่สุดที่พระธุดงค์ลึกลับเมตตาแนะนำก็คือการปฏิบัติธรรมกระทำความเพียรนั้นควรมีครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนเมื่อใดที่ขัดข้องในข้อธรรมใดใดครูอาจารย์จะได้ช่วยแนะนำให้เข้าใจจนชัดเจนท่านยังชี้แนะอีกว่า

"เณรควรไปนอบน้อมกราบไหว้ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านครูบาศรีวิชัย มหาเถรผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาเถิด"

เณรก็ก้มกราบรับเอาคำแนะนำทั้งหลายไว้ด้วยความเคารพ เมื่อสนทนาเพียงแค่นี้ พระธุดงค์ลึกลับก็จะไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ว่าท่านจะไปที่ใดอีก พระธุดงค์รูปนี้จะเป็นผู้สำเร็จวิชาเสือสมิง หรือเสือเย็นใช่หรือไม่ เป็นเรื่องที่ ยากที่จะระบุลงไป แต่ถ้าท่านสำเร็จวิชาดังกล่าวถึงขั้นจำแลงแปลงกายได้จริงๆคงเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะเปลี่ยนรูปไปเป็นเจ้าป่าแล้วออกอาละวาดฆ่าวัวฆ่าควายของชาวบ้านทั้งยังสังหารกินคนให้เป็นบาปกันอันหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก

อาจเป็นไปได้ว่ามีเสือจริงบุกรุกเข้ามาคบกับวัวควายของชาวบ้านและสังหารผลาญชีวิตผู้คนบังเอิญมีผู้พบเห็นพระธุดงค์ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเลยเหมาเอาว่าเป็นพระธุดงค์ที่มีวิชาเสือสมิงจำแลงแปลงกายแล้วกลายเป็นเรื่องเล่าบอกต่อขยายความจนแพร่หลายไปทั่ว

นี่คือเกร็ดเล็กๆในอรรถประวัติของท่านครูบาธรรมชัยเจ้าอาวาสวัดทุ่งหลวงอำเภอแม่แตงจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งท่านเคยเกี่ยวข้องกับพระธุดงค์ลึกลับรูปหนึ่งที่น่าสงสัยว่าจะสำเร็จวิชาเสือสมิงหรือเสือเย็น

ได้เขียนเล่ากล่าวอ้างเรื่องเสือสมิงมาหลายเรื่องแล้วเพื่อเสนอข้อมูลหลักฐานยืนยันว่าวิชาเสือสมิงน่าจะมีจริงๆและมีผู้เรียนวิชานี้สำเร็จมาแล้วกระนั้นก็ยังมีเรื่องวิชาจำแลงแปลงร่างกายจากมนุษย์ไปเป็นสัตว์ได้ปรากฏอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งเป็นภาวะเหลือเชื่อเหนือโลกจนปุถุชนคนธรรมดายากจะให้เชื่อถือได้อย่างสนิทใจ

100 เรื่องผีหลอนรอบโลก


10 ประเภทผีลึกลับที่รู้จักกันน้อย
ทุกวันนี้ ผีและวิญญาณล้วนเป็นกระแสคลั่งไคล้ในวัฒนธรรมสมัยนิยม ทุกช่องที่คุณเปิดดู ดูเหมือนว่าจะมีรายการผีมากมายเหลือเฟือ มีรายการเรียลลิตี้โชว์ เช่น “Ghost Hunters,” “Ghost Travellers,” “Celebrity Ghost Stories,” “Ghost Hunters Academy” และแม้แต่ละครที่อิงตามหัวข้อ เช่น “Ghost Whisperer” และ “Being Human” เป็นต้น ในการแสดงเหล่านี้ คุณมีการแสดงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทั่วไป เช่น การปรากฏตัวเต็มตัว ลูกกลม คนในเงา ผู้ช่วยรองประธาน ภูตผี โพลเตอร์ไกสต์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผู้ต้องสงสัยตามปกติทั้งหมดพวกเขาถูกพูดถึงอย่างมาก คนทั่วไป ไม่ว่าจะขี้ระแวงหรือผู้เชื่อ ก็คุ้นเคยกับการจำแนกประเภทของผีเหล่านี้ น่าเสียดายที่ในขณะที่ผีประเภทนี้ได้รับความรักและโฆษณาเกินจริง แต่พี่น้องที่รู้จักกันน้อยกว่าของพวกเขาบางคนก็ถูกโยนทิ้งไปข้างทาง ประเภทผีต่อไปนี้ในรายการนี้อาจไม่หรูหรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้พวกเขาลึกลับหรือน่ากลัวน้อยลงในความคิดของฉัน เรามาเริ่มกันที่ห้องโถงแห่งความน่ากลัวที่ไม่รู้จักนี้กัน

ฝูงชนปีศาจ
ฝูงชนปีศาจเป็นความผิดปกติที่แปลกประหลาดมาก ในขณะที่ปีศาจดูเหมือนจะไม่ถูกจำกัดหรือถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ ฝูงปีศาจดูเหมือนจะปรากฏขึ้นโดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ ดังนั้นคำว่าฝูงชนในชื่อของพวกเขา ทำไมฝูงปีศาจจึงดึงดูดฝูงชน ไม่มีคำตอบที่เป็นรูปธรรม ทฤษฎีมีตั้งแต่พลังงานที่ปล่อยออกมาจากสถานที่เฉพาะ หรือสิ่งดึงดูดใจให้กับช่างภาพหรือผู้ที่ยืนดูในฝูงชน การประจักษ์แบบธรรมดาอาจปรากฏเป็นเอกพจน์ในภาพยนตร์ แต่กลุ่มปีศาจมักจะปรากฏเป็นตัวเลขเมื่อปรากฏบนแผ่นฟิล์ม ฝูงปิศาจอาจมีรูปร่างบิดเบี้ยวหลายแบบ ซึ่งบางตัวแทบจะมองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ ภาพหนึ่ง (ดังภาพด้านบน) แสดงให้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนหัวสัตว์เลื้อยคลานกำลังกัดคนที่ยืนอยู่ข้างตัว ขณะที่ในภาพเดียวกัน มีร่างที่มืดมิดของบุคคลหนึ่งนั่งท่ามกลางผู้ชม โดดเด่นจากสมาชิกที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเด่นชัด ผู้ชม. ถัดจากรูปนี้ ดูเหมือนจะมีใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่อมองย้อนกลับไปที่กล้อง บางทีวิญญาณเหล่านี้อาจมาถึงในจำนวนและท่ามกลางผู้คนจำนวนมากเพราะพวกเขาหมดหวังที่จะสังเกตเห็น?

ผีสัตว์
สัตว์เป็นสมาชิกหน่วยครอบครัวอันเป็นที่รักที่สุดบางส่วน แต่อย่างใด หลังจากที่สัตว์เลี้ยงผ่านไป วิญญาณของพวกมันก็ถูกละเลย นักล่าผีมืออาชีพ เมื่อพวกเขาเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ไม่ค่อยมองหาผีที่ว่องไวเหล่านี้ แทนที่จะเลือกคนที่ดูเซ็กซี่กว่าและพวกโพลเตอร์ไกสต์ มีรายงานสัตว์ผีในหลายกรณี แต่พวกเขาก็ถูกมองข้าม แม่มดเบลล์ที่น่าอับอายการหลอกหลอนซึ่งรบกวนครอบครัวของ John William Bell ในช่วงต้นปี 1800 มีรายงานเกี่ยวกับผีสัตว์เช่นนกผีและสุนัขที่หายตัวไป อีกครั้งในกรณีของการหลอกหลอนเหล่านี้ ผีสัตว์เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมสำหรับภูตผีเฮฟวี่เวทเท่านั้น ผีสัตว์ทำให้พวกมันรู้สึกไม่เพียงแค่แสดงออกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสียงและกลิ่นด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลที่ถูกหลอกหลอนซึ่งรวมถึงผีสัตว์จะได้ยินเสียงร้องของสัตว์ที่มองไม่เห็น หรือคร่ำครวญ หอบ และเกาบนผนังและประตู

กระแสน้ำวน
น้ำวนเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ฆราวาสเฉลี่ยในสาขาของอาถรรพณ์อาจจะไม่เคยได้ยินและเข้าใจเพื่อให้เป็นน้ำวนเป็นชีวิตที่แปลกแน่นอน สายตามนุษย์ปกติไม่สามารถสังเกตได้ โดยปกติแล้วจะแสดงเฉพาะในภาพนิ่งเท่านั้น กระแสน้ำวนมีความยาว—มักจะมีรูปร่างเหมือนซิการ์หรือแท่งโลหะ—และมีการออกแบบคล้ายเกลียว ทำให้ดูเหมือนเกลียวหมุนกลางอากาศ กระแสน้ำวนทำให้รู้ตัวเองผ่านอุณหภูมิ ทำให้บริเวณนั้นเย็นลงทันที กระแสน้ำวนอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นลูกกลมทั่วไป เนื่องจากทั้งสองเดินทางในวิถีที่คล้ายคลึงกัน กระแสน้ำวนเป็นปรากฏการณ์ในร่มมากกว่า และเช่นเดียวกับวัตถุอาถรรพณ์ประเภทอื่นๆ มักจะติดอยู่กับการหลอกหลอนขนาดใหญ่ เนื่องจากดูเหมือนว่าจะมีอยู่ภายในขอบเขตของบ้านเท่านั้น มีทฤษฎีที่ว่าพวกเขาอาจเป็นผู้อาศัยในทรัพย์สินก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วพวกมันอาจเป็นพาหนะสำหรับวิญญาณอื่นๆ ให้กลับมาขี่ในขณะที่พวกมันเดินทางระหว่างมิติของเรากับของเรา

ผีไม่มีชีวิต
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผีไม่มีชีวิตล้วนเป็นความโกรธในฉากผี เรือผีสิงFlying Dutchmanเป็นตัวกำหนดว่าผีไม่มีชีวิตเกี่ยวกับอะไร Flying Dutchman ข่มขวัญกะลาสีเรือในทะเลหลวงในศตวรรษที่ 17 มากเสียจนแม้แต่การเพ่งมองก็หมายความถึงหายนะที่แน่นอนสำหรับการเดินทาง The Flying Dutchman นอกเหนือจากผู้ที่ชื่นชอบและชื่นชอบโอเปร่าที่สุดแล้วถูกลืมไปมากในยุคนี้ และไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับความกลัวที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นอีกต่อไป ผีไม่มีชีวิตมีอยู่ทุกรูปแบบ ไม่ใช่แค่ในเรือ พวกเขาสามารถเป็นรถยนต์ รถไฟ และแม้แต่โคมไฟที่ถอดประกอบได้ สิ่งหนึ่งที่ผีไม่มีชีวิตมีเหมือนกันคืองานประจำ พวกเขาทั้งหมดปรากฏในเวลาและสถานที่เดียวกัน การเดินทางในเส้นทางเดียวกันกับยานพาหนะ (หากเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว) ถือเป็นช่วงเวลาของภัยพิบัติ ผีเหล่านี้ถูกแช่แข็งไว้ตามกาลเวลา ทำซ้ำช่วงเวลาสุดท้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยปราศจากความหวังที่จะหลุดพ้นจากวัฏจักรนิรันดร์ของพวกมัน

Doppelg?nger
“ Doppelg?nger ” เป็นผีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นิยามของผีประเภทนี้มีอยู่จริงในชื่อ "Doppelg?nger" เป็นคำภาษาเยอรมันสำหรับ "double goer" ผีประเภทนี้มีความสามารถในการฉายภาพตัวเองได้มากกว่าหนึ่งแห่ง จึงเป็นที่มาของความหมายของชื่อ เท่าที่ทราบ ไม่มีผีประเภทอื่นที่มีความสามารถแบบนี้ แต่คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริงของdoppelg?ngerก็คือบุคคลที่นำเสนอต่อผู้อื่นยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้โดยสิ้นเชิงที่บุคคลหนึ่งสามารถเห็นคนที่ตนรักได้เมื่อไม่มีตัวตน สถานการณ์ทั่วไปอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคู่แฝดคือบุคคลที่เห็นภาพของคนใกล้ชิดเพียงเพื่อจะค้นพบในภายหลังว่าบุคคลที่พวกเขาเห็นนั้นเสียชีวิตในช่วงเวลาที่แน่นอนที่ภาพของพวกเขาปรากฏขึ้น มิ ธ อสของdoppelg?ngerคือมันนำหน้าโศกนาฏกรรมบางอย่าง ประธานาธิบดีอเมริกัน อับราฮัม ลินคอล์น อ้างว่าเคยเห็นเนื้อคู่ของตัวเองในกระจกเงาก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหาร และกวีเพอร์ซี บิชชี เชลลีย์เห็นเขาในความฝัน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าคู่แท้คืออะไร ทฤษฎียังคงมีอยู่ แต่บ่งบอกถึงอาถรรพณ์ ไม่มีข้อสรุปที่รับรองได้ Doppelg?ngersอาจเป็นการคาดคะเนเกี่ยวกับบุคคลที่มีชีวิตหรือจิตวิญญาณที่แท้จริงของบุคคลซึ่งเพิ่งจากไปและไปเยี่ยมคนสำคัญในชีวิต

Kobold
เว้นแต่คนใดคนหนึ่งเป็นชาวเยอรมัน ก็แปลว่า “โคโบลด์” ไม่ใช่คำที่ใช้กันทั่วไปในครัวเรือนเมื่อพูดถึงอาถรรพณ์ เช่นเดียวกับโพลเตอร์ไกสต์ โคโบลด์เป็นวิญญาณตัวน้อยที่ซุกซน เล่นกลกับมนุษย์และทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อทำให้ใครก็ตามที่ครอบครองพื้นที่นั้นสับสน โคโบลด์สามารถคิดร้ายหรือใจดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ กิ้งก่าคล้ายกิ้งก่า โคโบลด์อาจปรากฏขึ้นในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือองค์ประกอบ เช่น ไฟ กรณีประหลาดของ Gef พังพอนพูดได้เป็นตัวเป็นตนโคโบลด์ เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1931 ใกล้เมือง Dalby ในเกาะแมน ในเดือนกันยายนของปีนั้น ครอบครัวเออร์วิงเริ่มได้ยินสิ่งที่ดูเหมือนและสัตว์ข่วนหลังกำแพงในบ้านไร่ของพวกเขา ในที่สุดก็เริ่มส่งเสียงสัตว์และให้เสียงทารกด้วย ในไม่ช้า เอนทิตีก็แนะนำตัวเองว่าเกฟพังพอน. เมื่อเวลาผ่านไป Gef อ้างว่าเป็นวิญญาณที่ผูกติดกับดินในรูปของพังพอน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับการยืนยันโดย Voirrey ลูกสาววัย 13 ปีของ James Irving ซึ่งเป็นคนเดียวที่ได้เห็น Gef เธออธิบายว่าเกฟเป็นสัตว์คล้ายหนูสีเหลือง มีหางเป็นพวง เกฟเป็นมิตรกับชาวเออร์วิงส์ แต่ก็ไม่ได้ดื้อรั้นกับผู้มาเยี่ยมเยียน เกฟจะขว้างสิ่งของใส่ผู้คนและสอดแนมเพื่อนบ้านของเออร์วิง จนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวของเกฟยังไม่ได้รับการแก้ไขและถูกลืมไปมาก

ลีเมอร์
ค่างมีรากฐานมาจากสมัยโรมันโบราณ ผีเหล่านี้มีความสำคัญต่อชาวโรมันมากจนมีตำนานทั้งมวลถูกสร้างขึ้นรอบตัวพวกเขา ลีเมอร์เป็นที่รู้จักในฐานะเอนทิตีที่ร้ายกาจ กล่าวกันว่าผีเร่ร่อนมีความโกรธและความเกลียดชังต่อชีวิตทางโลกที่ถูกตัดให้สั้นลงและไม่มีพิธีศพที่เหมาะสม นอกจากนี้ ลีเมอร์ยังสามารถเป็นผีของบุคคลที่เสียชีวิตโดยไม่ได้รับผลประโยชน์จากครอบครัว โดยพื้นฐานแล้ว ลีเมอร์เป็นผีพเนจรที่โกรธจัด เช่นเดียวกับตัวอย่างของสัตว์จำพวกลิงจำพวกลิงจำพวกลิงจำพวกลิงจำพวกลิงมักเกี่ยวข้องกับความมืด ความหายนะ และความโชคร้าย ความกลัวนั้นยิ่งใหญ่มากในการเผชิญหน้ากับสัตว์จำพวกลิงที่ชาวโรมันโบราณได้กำหนดบางวันในเดือนพฤษภาคมเพื่อเอาใจผีเหล่านี้ นี้เรียกว่าเลมูราเลีย. แต่เมื่อเราขจัดเสน่ห์ของตำนานโรมันโบราณ ลีเมอร์ดูเหมือนจะเป็นการรวมกันของการประจักษ์และภาพหลอนและใช่ ก่อนที่คุณจะถาม มีความแตกต่างระหว่างทั้งสอง แต่ปัจจุบันเราอยู่ห่างไกลจากยุคโรมันโบราณ ดังนั้นเมื่อกาลเวลาล่วงไป ลิงจำพวกลิงก็หายไปจากจิตใจของเรา

Etheric Revenants
เราอาจเคยอ่านเรื่องราวหรือดูการแสดงที่ผู้คนเริ่มอ่อนแอและสูญเสียพลังงานเมื่ออยู่ในสถานที่ผีสิงบางแห่ง สิ่งนี้อาจเกิดจากการมีอยู่ของอีเธอร์ ผีประเภทนี้เป็นที่ยอมรับว่าหายากมาก พวกเขามีคุณสมบัติที่จะแนะนำว่าพวกเขาค่อนข้างเชื่อมโยงกับสิ่งที่ไม่ใช่โลกเช่นปีศาจหรือสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่นเนื่องจากมีลักษณะที่คล้ายกับผี "คนเงา" ทั่วไป แต่ต่างจากคนในเงามืด การกลับคืนชีพแบบอีเทอร์จะดูดพลังงานออกจากสิ่งมีชีวิตใดๆ ในพื้นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นหลัก ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ Etheric ถือเป็นอันตรายอย่างมาก เนื่องจากเหยื่อได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ถึงแม้จะอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายมากในลำดับชั้นของผีคุณแทบจะไม่เคยได้ยินใครพูดถึงสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เลย โดยเฉพาะในสื่อกระแสหลัก

การหลอกหลอนทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่
การหลอกหลอนแบบนี้หายากมาก แทบจะไม่มีการพูดถึงเลย และเป็นสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน อันดับแรก ให้เราพิจารณาว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่คืออะไร การหลอกหลอนที่หลงเหลืออยู่ในแง่ของคนธรรมดาก็เหมือนเทปที่บันทึกไว้ซึ่งคุณสามารถย้อนกลับและไปข้างหน้าเพื่อเล่นตัวอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกในวงวน ในความหลอนที่หลงเหลืออยู่, การปรากฏอยู่ในวง, ทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก. พวกเขาอาจทำสิ่งเหล่านี้ได้ในบางช่วงเวลา ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมการหลอกหลอนบางอย่างจึงถูกกระตุ้นหรือเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเฉพาะของวัน การหลอกหลอนทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่นั้นเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่เป็นประจำ แต่ขยายไปถึงระดับสิบ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการประจักษ์หลายครั้งและฉากทั้งหมดจากการเล่นซ้ำของประวัติศาสตร์ หนึ่งในกรณีที่มีชื่อเสียงที่สุดของการหลอกหลอนทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่คือ “ Versailles Time Slip” เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมปี 1901 ขณะที่ Charlotte Anne Moberly และ Eleanor Jourdain กำลังเดินทางไปแวร์ซาย ทั้งคู่มีประสบการณ์ความรู้สึกที่รุนแรง จากนั้นพวกเขาก็พบว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนที่แต่งตัวเหมือนอยู่ในปารีสในศตวรรษที่ 18 เมื่อถึงจุดนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทางที่ผิด และ Moberly ยังคิดว่าเธอเห็น Marie Antoinette นั่งอยู่บนหญ้าและร่างภาพ มันจบลงเร็วพอๆ กับที่มันเริ่มต้นขึ้น

ผีประดิษฐ์
ผีเทียมเป็นหนึ่งในประเภทผีที่หายากที่สุดในรายการนี้และในวิหารทั้งหมดของโลกวิญญาณ โดยพื้นฐานแล้วเป็นผีที่สร้างขึ้นจากพื้นดิน ถ้าคุณต้องการ ผีที่ปรับแต่งได้ก็เหมือนเด็กกลุ่มหนึ่งที่สร้างตัวละครในวิดีโอเกมในเกมโปรดของพวกเขาและเล่นเรื่องราวกับตัวละครนั้น นี่คือวิธีที่มันเกิดขึ้น กลุ่มคนมารวมตัวกันและสร้างชื่อให้กับผีของพวกเขา พร้อมเรื่องเล่าสำหรับผีดังกล่าว หลังจากนั้น กลุ่มนี้จะรวมพลังทางจิตและจิตวิญญาณทั้งหมดเข้าด้วยกัน บางครั้งด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือ เช่น กระดาน Ouija ในความพยายามในการสร้างสรรค์ และเช่นเดียวกัน บิงโก คุณมีผีเป็นของตัวเอง ตอนนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่การวิจัยและการทดลองที่จริงจังได้ถูกใส่ลงไปในเรื่องนี้ หนึ่งในการทดลองดังกล่าวโดย Toronto Society for Psychical Researchปลุกผีฟิลิป: การผจญภัยใน Psychokineses หนังสือเล่มนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างกลุ่มของเอนทิตีชื่อ Phillip โดยใช้ psychokinesis ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าตกใจ ไม่เพียงแต่ตัวตนที่ชื่อฟิลลิปสร้างขึ้นเท่านั้น แต่พวกเขาสามารถสื่อสารกับผีที่สร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยการเคาะและเคาะ และพวกเขาได้รับพลังแห่งการลอยตัว นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพูด ต่อมาพวกเขาสร้างลิลิธ (สายลับแคนาดา) และเซบาสเตียน (นักเล่นแร่แปรธาตุในยุคกลาง)

10 ฆาตกรที่ถูกผีสิงของเหยื่อหลอกหลอน
ฆาตกรบางคนไม่เคยหยุดเห็นเหยื่อของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะถูกหลอกหลอนด้วยความทรงจำหรือผีจริงก็ตาม เป็นที่ถกเถียงกัน แต่คนต่อไปนี้เชื่ออย่างแน่นอนว่าเหยื่อของพวกเขาปฏิเสธที่จะให้ความสงบ

มาร์ค บริดเจอร์
Mark Bridger ใช้เวลาทั้งวันไปกับการดื่ม ดูวิดีโอลามกอนาจาร และดูภาพอนาจารของเด็ก หลังจากที่เขาใช้เวลาช่วงค่ำดื่มเหล้าตามปกติในปี 2012 เขาขับรถไปรอบๆ เพื่อหาเด็กสาวคนหนึ่ง เขาสะดุดกับเอพริล โจนส์วัยห้าขวบ โจนส์เข้าไปในรถของบริดเจอร์ และไม่มีใครเห็นเธออีกเลยบริดเจอร์ถูกจับในวันรุ่งขึ้น เขายอมรับว่าเขาฆ่าโจนส์ อย่างไรก็ตาม เขาอ้างว่ามันเป็นอุบัติเหตุ บริดเจอร์บอกว่าเขาบังเอิญขับรถชนโจนส์ เขาจำได้ว่าวางร่างของเธอไว้ในรถของเขาก่อนที่เขาจะไปขอความช่วยเหลือ แอลกอฮอล์ทำให้เขาความจำเสื่อม และเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชพบชิ้นส่วนของกระดูกและเลือดที่ตรงกับ DNA ของโจนส์ในบ้านของบริดเจอร์ ตำรวจปฏิเสธเรื่องราวของเขา พวกเขาเชื่อว่าเขาล่วงละเมิดทางเพศเด็กก่อนจะฆ่าเธอและทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายของเธอกระจัดกระจาย ศาลเห็นด้วยกับตำรวจ Bridger ถูกตัดสินว่ามีความผิดและเขาถูกตัดสินให้ติดคุกตลอดชีวิต เขาบอกเพื่อนนักโทษคนหนึ่งว่าเขาถูกทรมานโดยนิมิตของโจนส์ ซึ่งปรากฏตัวในห้องขังของเขาในตอนกลางคืน

โฆเซ่ อี. เฟอเรร่า จูเนียร์
Jose Ferreira อายุ 17 ปีได้พบกับ Carrie Ann Jopek อายุ 13 ปีในงานปาร์ตี้ในปี 1982 เขาร่วมแบ่งปันกับหญิงสาว และเธอขอให้เขาไปร่วมกับเธอในห้องใต้ดิน ขณะที่พวกเขากำลังเดินลงบันได Jopek เริ่มมีความคิดที่สอง เธอหันไปทางเฟอเรร่าและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า” เฟอเรร่าตอบว่า “คุณกำลังจะลงไปข้างล่าง” แล้วเขาก็ผลักเด็กสาวลงบันได Ferreira มองดูร่างกายที่อ่อนล้าของ Jopek และเขาเห็นโอกาส เขา “ไป?กับ?เธอ” ก่อน?จะ?รู้?ว่า?คอ?ของ?เธอ?หัก โจเป็กตายแล้ว Ferreira แอบเอาร่างของเธอออกจากบ้านและฝังไว้ใต้ระเบียงของเพื่อนบ้าน ร่างกายไม่ได้ถูกค้นพบเป็นเวลา 17 เดือนตำรวจไม่ได้มีโอกาสในการขายและกรณีที่ยังคงอยู่ยังไม่แก้ ในที่สุด Ferreira ก็สารภาพการฆาตกรรมหลังจากสามทศวรรษที่ผ่านมา เขาบอกว่าวิญญาณของ Jopek หลอกหลอนเขาตั้งแต่เธอเสียชีวิต

อาฟง
ในฮ่องกงในปี 2542 สมาชิกสามคนของสมาคมแก๊งสามกลุ่มลับได้จับตัวฟ่านหม่านหยี พวกเขาอ้างว่าเธอเป็นหนี้พวกเขา 20,000 ดอลลาร์ฮ่องกง พวกเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนในการทรมานฟานอย่างน่ากลัวก่อนที่เธอจะเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาเลื่อยร่างของเธอ ต้มชิ้นส่วน และโยนชิ้นส่วนนั้นลงในถังขยะชายคนหนึ่งมีแฟน 13 ปีผู้ช่วยกับการทรมาน เด็กสาวที่รู้จักกันเพียงในนาม “อาฟง” ทรมานจากฝันร้าย เธอยังคงเห็นผีของฟาน อาฟงโทรแจ้งตำรวจและแจ้งความ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเรื่องราวของเธอเป็นเพียงภาพลวงตาของวัยรุ่น อย่างไรก็ตามพวกเขาตรวจสอบสถานที่ที่แฟนถูกทรมานและพบชิ้นส่วนของร่างกายของเธอสมาชิกแก๊งถูกจับกุมและคดีไปสู่ศาล อาฟงให้การเพื่อแลกกับภูมิคุ้มกัน ชายทั้งสามถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตายและพวกเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

Victor Amewugah
Victor Amewugah จ้างคนขับแท็กซี่เพื่อเดินทางไกลในปี 2013 ผ่านไปได้ครึ่งทาง Amewugah ดึงปืนออกมา ฆ่าคนขับคนนั้น และขับออกไปในแท็กซี่ ในไม่ช้าเขาก็ก่ออาชญากรรมซ้ำ อาเมวูกาห์กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม และเขาต้องหนีไปในไม่ช้าเขาก็เข้าร่วมกับผีของเหยื่อรายที่สองซึ่งเริ่มหลอกหลอนและโจมตีเขา ผีปรากฏในความฝันอย่างต่อเนื่องและตบเขาในขณะที่เขาหลับ เขานอนไม่หลับทั้งคืน ความทรมานนั้นทนไม่ได้และ Amewugah บอกเพื่อนเกี่ยวกับการฆาตกรรม เพื่อนของเขาโทรหาตำรวจและบอกพวกเขาว่า Amewugah กำลังขับรถแท็กซี่คันหนึ่งของเหยื่อตำรวจพบและจับกุมอาเมวูกาห์ เขาสารภาพการฆาตกรรมและแสดงความเสียใจกับการกระทำของเขา Amewugah แนะนำให้เพื่อนอาชญากรเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผีของเหยื่อหลอกหลอน

อัล คาโปน
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2472 เพื่อนร่วมงานเจ็ดคนของ North Side Gang รวมทั้ง James Clark ได้พบกันที่โรงรถ ชายสี่คน รวมสองคนแต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เดินเข้ามาหาพวกเขา ตำรวจวางแนวสมาชิกแก๊งไว้กับกำแพงและเปิดฉากยิง ทั้งเจ็ดถูกฆ่าตายในขณะที่การสังหารหมู่ไม่เคยคลี่คลาย เชื่อกันว่าอัล คาโปนผู้นำของ South Side Gang ที่เป็นปรปักษ์เป็นผู้บงการ คาโปนถูกจับหลายเดือนหลังจากการฆาตกรรม เจ้าหน้าที่เรือนจำจะรายงานในเวลาต่อมาว่าเขาจะกรีดร้องอย่างเลือดเย็น ตะโกนให้จิมมี่ปล่อยเขาไว้ตามลำพังผีตามเขาเมื่อเขาออกจากคุก คาโปนจ้างคนทรงเพื่อกำจัดผี แต่เธอไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาในชีวิตของเขา ผู้คุ้มกันของเขาจะได้ยิน Capone ขอร้องให้ใครสักคนทิ้งเขาไว้ตามลำพัง เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน Capone ก็อยู่คนเดียว เขาบอกผู้คุมว่าเขาถูกผีเจมส์คลาร์กหลอกหลอน

ภีม ศานกร คีรี
Jeetendra Anantlal Giri น้องชายของ Bhim Shankar Giri ไม่ยอมหยุดคุกคามภรรยาของ Bhim เขาขอให้ Jeetendra ปล่อยภรรยาไว้ตามลำพังหลายครั้ง แต่ Jeetendra ไม่ยอมหยุด ภีมโกรธพี่ชายของเขา และเขาตัดสินใจฆ่าเขา Bhim ล่อ Jeetendra เข้าไปในพื้นที่อันเงียบสงบพร้อมกับสัญญาว่าจะจัดปาร์ตี้ เขาเสนอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Jeetendra และเมื่อ Jeetendra เมาแล้ว Bhim ก็กรีดคอของเขาภีมซ่อนร่างน้องชายแล้วเข้าไปหลบซ่อน ครอบครัวของพวกเขาสังเกตเห็นว่า Jeetendra ที่ขาดหายไปและพวกเขารายงานของเขาขาดความกับตำรวจ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป Bhim เริ่มได้ยินเสียงของ Jeetendra ตลอดเวลา แม้แต่ความฝันของเขาก็ไม่ปลอดภัยจากพี่ชายของเขา คืนหนึ่ง Brim ฝันว่าพี่ชายของเขากำลังสำลักเขา และ Jeetendra ขู่ว่าจะหลอกหลอนเขาและทำให้เขานอนไม่หลับตลอดชีวิตที่เหลือของเขา (6)ภีมกลับบ้านไปหาครอบครัวและสารภาพว่าพี่ชายของเขาถูกฆ่าตาย พวกเขาพาภีมไปที่สถานีตำรวจซึ่งเขาถูกจับ

John Nkuna
ในแอฟริกาใต้ในปี 2545 จอห์น เอ็นคูน่าและเพื่อนสองคนได้ลักพาตัวบ็อบ รูเอล บาโลยี พวกเขามัดบาโลยีด้วยผ้าแล้วทุบตี Nkuna และเพื่อนของเขาราด Baloyi ด้วยน้ำมันและจุดไฟเผาเขา ภายหลังพบซากไหม้เกรียมของบาโลยีโดยคนเลี้ยงวัว ซึ่งโทรแจ้งตำรวจNkuna หนีไปเมืองอื่นเพื่อหนีข้อหา อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็ถูกผีของบาโลยีหลอกหลอน เขาได้ยินเสียงของบาโลยีทุกคืนว่า “บอกครอบครัวของฉันว่านายคือคนที่ฆ่าฉัน แล้วนายจะได้นอนอย่างสงบ ไม่อย่างนั้นนายจะตามฉันมา” Nkuna ตกใจมากและเขาก็ไปหาครอบครัว Baloyi เพื่อสารภาพการฆาตกรรมNkuna และเพื่อนของเขาถูกจับกุม แต่ข้อกล่าวหาถูกถอนออกจากเพื่อนของเขา เขาไม่ได้สารภาพผิดในศาล แม้ว่าศาลจะใช้คำสารภาพของเขาเพื่อให้ได้คำพิพากษา Nkuna ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี

Adrian Daou
เจนนิเฟอร์ สจ๊วร์ต ถูกขวานฆ่าตายในลานจอดรถในปี 2010 การฆาตกรรมของเธอยังไม่คลี่คลายมาเกือบสามปี ไม่มีเบาะแสใดๆ จนกระทั่ง Adrian Daou สารภาพ ตำรวจสงสัยในความผิดของเขา: ข้อความบางส่วนของเขาไม่ตรงกับความผิดทางอาญา อย่างไรก็ตาม เขารู้บางประเด็นที่มีแต่ฆาตกรเท่านั้นที่รู้ ตำรวจให้หลอดกระดาษแข็งแก่เขาและบอกให้เขาทำอาชญากรรมอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเขาตรงกับการฆาตกรรมDaou กล่าวว่าเขาได้ฆ่า Stewart เพื่อเริ่มต้นอาชีพนักดนตรีของเขา เขาคิดว่าถ้าเขาฆ่าใครซักคน เขาจะ "เป็นแร็ปเปอร์ที่ดีจริงๆ" เพราะ "คนพูดถึงเรื่องฆาตกร" Daou กล่าวว่าเขาไปสูบบุหรี่ข้อต่อบนเส้นทางจักรยานหลังจากการฆาตกรรม ขณะที่เขาอยู่ที่นั่น เขาถูกผีของสจ๊วตบินตามเขาหลอกหลอน Daou กล่าวว่าเขาเห็นผีของเธอสองครั้งต่อวัน

แดเนียล เฟรนช์
ในปี 2012 แดเนียล เฟรนช์อยากได้เงินง่ายๆ เขาจึงตัดสินใจปล้นบ้านในชุมชนวัยเกษียณ ชาวฝรั่งเศสโพสท่าเป็นพนักงานซ่อมบำรุงและเข้าไปในบ้านของบาร์บารา ฮาว วัย 87 ปี เขาทำให้เธอตกใจที่คอด้วยปืนช็อต อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ลงไปชาวฝรั่งเศสจับ Howe และเริ่มสำลักเธอ ผู้หญิงคนนั้นจะไม่สูญเสียสติ ฝรั่งเศสเก็บไว้ในมือของเขารอบคอของเธอและในที่สุดเธอก็เสียชีวิต เขาซ่อนร่างของเธอและล้วงข้าวของของเธอ ชาวฝรั่งเศสพบเงิน 18 ดอลลาร์และแหวนเพชร 1 วง ซึ่งเขาโยนออกไปนอกหน้าต่างรถของเขาการฆาตกรรมของฮาวยังไม่คลี่คลายเป็นเวลาสองปี ตำรวจพยายามรวบรวมหลักฐานที่นำไปสู่ฝรั่งเศส พวกเขาถามชาวฝรั่งเศสและเขาสารภาพว่าเป็นคนฆ่า ฝรั่งเศสบอกกับตำรวจว่าเขารู้สึกแย่กับคดีฆาตกรรมผู้หญิงคนนั้น และว่า “ฉันเห็นผีของนางสาวฮาว และฉันขอโทษ”

Terry Childs
ในปี 1987 Terry Childs แทงเด็กหญิงอายุ 17 ปีชื่อ Lois Sigala เสียชีวิต เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมและถูกตัดสินจำคุก 41 ปี ขณะที่เขาถูกคุมขัง เขาสารภาพการฆาตกรรมอีกหลายครั้ง หนึ่งในเหยื่อของเขาคือลินดา แอน โจโซวิช ในปี 1979 เขาได้ลักพาตัวเธอจากที่จอดรถแล้วทุบตี รัดคอ และแทงเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า Childs ซ่อนร่างของเธอในเทือกเขาซานตาครูซ มันต้องใช้เวลานานกว่าทศวรรษเพื่อหาสิ่งที่ยังคงอยู่Childs อ้างว่าเขาต้องสารภาพคดีฆาตกรรมเพื่อ "ปลดปล่อยตัวเองจากปีศาจของเขา" เขาบอกว่าเขาถูกผีสิงของเหยื่อหลอกหลอน เด็กเห็นพวกเขาในห้องขัง จ้องมองมาที่เขาและ "กินสมองจนหมด" (10)เขาอ้างว่าโจโซวิชหลอกหลอนเขา อย่างไรก็ตาม เธอหายตัวไปหลังจากที่เขาสารภาพว่าเป็นคนฆ่าเธอคำสารภาพของ Childs ได้เพิ่มโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา

10 ความตายที่น่าสยดสยองที่เกิดจากผี
มีภาพยนตร์และรายการทีวีจำนวนนับไม่ถ้วนที่บรรยายเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวของการหลอกหลอนซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน่าสยดสยอง แต่มีใครในเรื่องนี้ที่มีพื้นฐานในความเป็นจริงหรือไม่? ในขณะที่เรื่องราวของโพลเตอร์ไกสต์มีมากมาย แต่มีใครเสียชีวิตจากการเผชิญหน้ากับผีจริงหรือไม่?แม้ว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรายใดจะไม่เคยบันทึกภาพอสุรกายว่าเป็นสาเหตุการตายอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีเอกสารหลักฐานเพียงพอที่บ่งชี้ว่าอาจมีจุดประกายความจริงในนิทานฮอลลีวูดเรื่องสูงๆ เหล่านั้นทั้งหมด ในที่นี้ เราจะพิจารณาเรื่องราวของคนสิบคนที่ความตายเชื่อมโยงกับสิ่งลี้ลับและเหนือธรรมชาติ ตัดสินด้วยตัวคุณเองว่าความจริงอยู่เบื้องหลังพวกเขามากเพียงใด

ผีแฮมเมอร์สมิธ
หนึ่งในการเสียชีวิตที่เป็นที่รู้จักและได้รับการบันทึกเป็นอย่างดีที่สุด ถึงแม้ว่าทางอ้อมนั้นเกิดจากวิญญาณร้ายก็คือ ผีแฮมเมอร์สมิธในช่วงปีแรกๆ ของศตวรรษที่ 19 ย่านแฮมเมอร์สมิธในลอนดอนตะวันตกเต็มไปด้วยข่าวลือเกี่ยวกับการประจักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งตามหลอกหลอนหนึ่งในสุสานของพื้นที่นั้น คนในท้องถิ่นรายงานว่าเห็นร่างในชุดขาว สวมแว่นตาและมีเขาคล้ายแก้ว ซึ่งจะโผล่ออกมาจากเงามืดที่น่ากลัวอย่างกะทันหัน เสียงคร่ำครวญ คร่ำครวญ และบิดตัวไปมาต่อหน้าผู้สัญจรไปมา หลังหญิงมีครรภ์อ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย และคนขับเกวียนละทิ้งผู้โดยสารและม้าด้วยความกลัวเมื่อเห็นผี ข่าวก็แพร่ออกไปว่าผีอาจเป็นชายที่เพิ่งฆ่าตัวตายก่อนถูกฝัง พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของสุสานรายงานได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังจนมีการส่งหน่วยลาดตระเวนติดอาวุธออกไปเพื่อจับกุมผี และไม่นานนักก่อนที่หนึ่งในหมายเลขของพวกเขา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพสามิตชื่อสมิธ ไปพบด้วยตนเอง หลังจากที่เรียกร้องเพื่อทราบตัวตนของการประจักษ์และไม่ได้รับการตอบกลับ เขาก็ยิงปืนจากปืนโดยกลัวว่าเขาจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป แต่น่าเสียดายที่มันเป็นผีที่วางตายในไม่สุสาน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เหยื่อ โธมัส มิลล์วูด เป็นชาย—ช่างปูนที่สวมเสื้อผ้าสีขาวซึ่งแสดงถึงการค้าของเขาการพิจารณาคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยสมิ ธ ถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด (แม้ว่าภายหลังจะถูกลดทอนเป็นการใช้แรงงานหนักก็ตาม) อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของโธมัส มิลล์วูดไม่ได้พักผ่อนอย่างง่ายดาย วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาถูกฆ่าตาย ร่างของเขาถูกนำตัวไปที่ทำเนียบของ Black Lion และจนถึงทุกวันนี้ก็เชื่อว่าเขายังคงหลอกหลอนอยู่ในบริเวณนั้น กระซิบข้างหูลูกค้า กระแทกกำแพง และเสียงฝีเท้าดังไปทั่วบาร์ พื้นที่. Thomas Millwood อาจกลายเป็น Hammersmith Ghost อย่างแท้จริง

คำสาปของกษัตริย์ตุตัน
ในช่วงต้นทศวรรษ 1920 หลุมฝังศพของฟาโรห์ตุตันคามุนถูกค้นพบในหุบเขากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของชาวอียิปต์โบราณที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 16 ก่อนคริสตกาล หลุมฝังศพที่แทบไม่ถูกรบกวนถูกค้นพบโดย Howard Carter นักโบราณคดีชาวอังกฤษ พร้อมด้วยเอิร์ลแห่งคาร์นาร์วอนที่ห้า การค้นพบที่น่าทึ่งจะกลายเป็นความรู้สึกที่สื่อไปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนยังได้จับข่าวที่กล่าวว่าคำสาปจะตกอยู่ที่ใครก็ตามที่ทำลายสุสานของฟาโรห์ และหลังจากนั้นไม่นาน ลอร์ดคาร์นาร์วอนเองก็พบกับความตายก่อนวัยอันควรในกรุงไคโร Arthur Conan Doyle ผู้สร้างSherlock Holmes ที่มีชื่อเสียง ได้จุดไฟให้กับโรงสีข่าวลือโดยบอกกับสื่อมวลชนว่ามันเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่ถูกเรียกโดยนักบวชอียิปต์โบราณเพื่อปกป้องฟาโรห์ในความตายซึ่งอาจฆ่า Carnarvonในขณะที่การคาดเดาทั้งหมดนี้อาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ในปีต่อมามีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้ค้นพบหลุมฝังศพหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีในทางใดทางหนึ่ง ในบรรดาผู้เสียชีวิตคือ Arthur Mace สมาชิกของทีมขุดค้นที่ถูกฆ่าโดยสารหนูในปี 1928; Richard Bethell เลขาของ Howard Carter ที่ถูกกล่าวหาว่าเผลอหลับไปในปี 1929; และเซอร์ อาร์ชิบัลด์ ดักลาส รีด ผู้รับผิดชอบการเอ็กซ์เรย์มัมมี่ของฟาโรห์และเป็นเหยื่อของการเสียชีวิตอย่างลึกลับในปี 2467 ผีอียิปต์โบราณสามารถรับผิดชอบได้หรือไม่?

หลุมวิญญาณของอัลคาทราซ
Alcatrazเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นจุดที่มีผีสิงมากที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีส่วนใดของเรือนจำบนเกาะที่มีชื่อเสียงซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องราวผีที่น่ากลัวมากไปกว่าห้องขังใน D-Block ส่วนหนึ่งของ D-Block เรียกว่า Hole หลุมเป็นส่วนที่หนาวที่สุดของคุก และมีการใช้ห้องขังเพื่อกักขังเดี่ยว ห้องขังมีเฉพาะอ่างล้างหน้า ห้องส้วม และหลอดไฟสลัวๆ ที่ควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้ต้องขังนอนบนที่นอนที่ถูกพรากไปในระหว่างวัน ไม่อนุญาตให้ใช้สื่อในการอ่านหนังสือ ปล่อยให้ผู้ต้องขังไม่มีอะไรอื่นนอกจากการขจัดความเบื่อหน่าย เซลล์สุดท้ายในหลุมนี้เรียกว่าโอเรียนทัล และโดยพื้นฐานแล้วเป็นห้องกีดกันประสาทสัมผัสเหล็กที่มีเพียงรูที่ด้านล่างสำหรับของเสียในช่วงทศวรรษที่ 1940 มีรายงานมากมายเกี่ยวกับชายผีสวมชุดนักโทษช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ลาดตระเวนหลุม อย่างไรก็ตาม การประจักษ์อาจเป็นเหตุให้นักโทษเสียชีวิตอย่างน่าสงสัย . หลังจากถูกขังอยู่ในห้องขังได้ไม่นาน ผู้ต้องขังก็เริ่มกรีดร้องว่ามีใครบางคนที่มีดวงตาเป็นประกายติดอยู่กับเขา ผู้คุมเพิกเฉยต่อเขาในขณะที่เขากรีดร้องยาวไปในคืนก่อนความเงียบอันน่าขนลุกจะเงียบลง วันรุ่งขึ้น ผู้คุมพบว่านักโทษถูกรัดคอจนตาย รอยมือที่คอของเขาสีสดและสดชื่น ในขณะที่บางคนบอกว่าในที่สุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็ตะคอกและใช้ขั้นตอนสุดท้ายเพื่อหยุดเสียงกรีดร้องของชายคนนั้น แต่การสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดก็กลับไม่มีหลักฐาน นักโทษสมัยศตวรรษที่ 19 ที่เดินไปตามทางเดินของเรือนจำก่ออาชญากรรมจากนอกหลุมศพหรือไม่

ผีแม่ม่ายไทย
ในปี พ.ศ. 2556 ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในตำบลท่าสว่างในประเทศไทยถูกผีแม่ม่ายซึ่งเชื่อว่าได้ฆ่าคนไป 10 คนในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ผู้ชายทั้งหมดเสียชีวิตภายใต้สถานการณ์ลึกลับ บางคนขณะนอนหลับและคนอื่นๆ ดูเหมือนจะเสียชีวิตขณะเดินไปมา แพทย์ทั้งหมดได้รับการประกาศให้เสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลวเนื่องจากไม่มีคนได้แสดงให้เห็นสัญญาณของการเป็นร้ายใด ๆ ชาวบ้านได้รับการว่าจ้างกลางจิตวิญญาณที่กล่าวหาว่าเป็นผีแม่หม้ายสำหรับการเสียชีวิต คนกลางแนะนำให้ชาวบ้านแขวนเสื้อแดงไว้นอกบ้านเพื่อขับไล่วิญญาณ โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกชายเพียงคนเดียว เพราะพวกเขาเสี่ยงที่จะโดนผีเข้ามากที่สุด แม้ว่านั่นอาจเป็นจุดจบของการเสียชีวิตที่อธิบายไม่ได้ในตำบลท่าสว่าง แต่ในปี 2561 อำเภออื่นของไทยก็ถูกคุกคามในลักษณะเดียวกัน มันเป็นแม่ม่ายผีคนเดียวกันหรือไม่

หลุมฝังศพต้องคำสาปของคาร์ล พรูอิท
เรื่องราวนี้ย้อนกลับไปในรัฐเคนตักกี้ในปี 1938 เมื่อชายคนหนึ่งชื่อคาร์ล พรูอิทกลับมาบ้านในวันหนึ่งเพื่อพบภรรยาของเขาในอ้อมแขนของชายอีกคนหนึ่ง ด้วยความโกรธแค้น เขาบีบคอเธอจนตายด้วยโซ่ก่อนจะฆ่าตัวตายทันทีหลังจากนั้น (ชายอีกคนหนีไป) หลังจากฝังพรูอิทแล้ว ผู้มาเยี่ยมสุสานก็สังเกตเห็นว่าการเปลี่ยนสีเริ่มปรากฏบนหลุมฝังศพของเขา และดูคล้ายกับโซ่อย่างน่าขนลุกไม่นานนัก เด็กชายคนหนึ่งพยายามสร้างความประทับใจให้เพื่อน ๆ ของเขาบิ่นหลุมฝังศพด้วยการขว้างก้อนหินและหลังจากนั้นก็ตกเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุประหลาดที่คร่าชีวิตเขา—โซ่จักรยานของเขาหลุดออกมาและรัดคอเขาขณะที่เขาขี่กลับบ้าน แม่ของเด็กชายซึ่งถูกทำลายโดยธรรมชาติ ตัดสินใจที่จะระบายความโกรธของเธอลงบนหลุมศพโดยใช้ขวานทุบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันรุ่งขึ้น เธอก็กลายเป็นเหยื่อของคำสาปของหลุมศพพรูอิทเช่นกัน เธอถูกรัดคอโดยราวตากผ้าของเธอเอง ซึ่งพันรอบคอของเธออย่างลึกลับขณะที่เธอกำลังตากผ้าอยู่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ยึดชื่อเสียงของหลุมศพว่าถูกสาปแช่ง. ชาวนายิงปืนไปที่หลุมฝังศพขณะเดินผ่านสุสานในเกวียนของเขา ม้าเร่งความเร็ว กลัวเสียงปืน และชาวนาก็ถูกโยนออกจากเกวียน เมื่อเขาล้มลง บังเหียนตัวหนึ่งก็รัดคอเขาและรัดคอเขา ถึงตอนนี้ จำนวนการบีบรัดที่เชื่อมโยงกับหลุมศพเริ่มดูเหมือนเป็นเหตุบังเอิญ แต่นั่นไม่ได้หยุดตำรวจสองคนจากการล่อลวงโชคชะตาด้วยการพยายามถ่ายรูปตัวเองที่หลุมศพ เมื่อพวกเขาขับรถออกจากสุสาน พวกเขาสังเกตเห็นว่ากำลังตามมาด้วยแสงสว่างจ้า ขณะที่พวกเขาขับออกไป รถชนเข้ากับรั้ว และตำรวจคนหนึ่งเสียชีวิต หัวของเขาเกือบจะขาดโดยโซ่ที่ห้อยอยู่ระหว่างเสารั้วสำหรับปีคนหลีกเลี่ยงสุสานกลัวของการประชุมตายน่าเกลียด แต่ในปี 1940 ชายคนหนึ่งตัดสินใจว่าเขาจะใช้ความเสี่ยงของการโจมตีหลุมฝังศพด้วยที่ค้อน ภายหลังพบว่าเสียชีวิตที่ประตูสุสาน เขาตายอย่างไร? ใช่ คุณเดาได้ เขาถูกรัดด้วยโซ่ที่ล็อคประตูสุสาน ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากนั้นไม่นาน สุสานก็ถูกรื้อถอน และศิลาหน้าหลุมศพต้องสาปก็ถูกถอดออกอย่างถาวร

คนงานสูงอายุ
ในศตวรรษที่ 19ในอังกฤษเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพและคณะลูกขุนอาศัยหลักฐานของพยานในศาลเพื่อระบุสาเหตุการตายในกรณีที่เชื่อว่าผู้ตายเสียชีวิตด้วยสาเหตุ "ผิดธรรมชาติ" ในเมืองบริสตอลในปี ค.ศ. 1841 มีการไต่สวนคดีการเสียชีวิตของแพทริก เฮย์ส ซึ่งเป็น “กรรมกรสูงอายุ” ที่ตกบันไดและเสียชีวิตแมรี โครเกอร์ ภรรยาเจ้าของโรงแรมซึ่งเขาเสียชีวิต ให้การว่าเธอได้ยินเสียงคนตายขณะที่เขาล้มลงจากบันได เธอตะโกนถามใครที่ล้มลง และคนตายตอบกลับมาว่า "ฉันเอง และฉันตายแล้ว" ในการซักถามของเธอภายใต้คำสาบาน Mary Croker แจ้งเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพว่าชายคนนั้นเห็นผีประจำบ้านอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผู้หญิงที่สวมชุดผ้าไหมซึ่งได้ฆ่าอดีตผู้พักอาศัยของเธอไปแล้วสองหรือสามคนด้วยการทำให้พวกเขากลัวจนตาย

ผีแคมโปเลน
ในช่วงกลางปี ??ค.ศ. 1800 ทางใต้ของยอร์กเชียร์ สหราชอาณาจักร ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Hannah Rallinson ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการว่าเสียชีวิตจากความหวาดกลัว Rallinson และสามีของเธอ ซึ่งเป็นชาวมอร์มอนทั้งคู่ เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในห้องใหม่ในเชฟฟิลด์ และได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแฮเรียต วอร์ด อยู่มาวันหนึ่ง Harriet ได้เข้าไปในห้องใต้ดินของบ้านของ Rallisons เมื่อเธอกรีดร้องโดยอ้างว่าได้เห็นผีของหญิงชราที่เปื้อนเลือดที่น่าสยดสยอง แฮเรียตไม่ได้เห็นการประจักษ์เพียงครั้งเดียว—อันที่จริง มันปรากฏแก่เธอถึงห้าครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงที่ตามมา ทั้งในขณะที่เธอหลับและตื่นอยู่ประชาคมมอร์มอนหมกมุ่นอยู่กับผี Campo Lane อย่างที่รู้ๆ กัน และตัดสินใจว่าจะต้องตกเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมซึ่งถูกฝังอยู่ใต้พื้นห้องใต้ดิน จึงตัดสินใจรื้อแผ่นกระเบื้องออกเพื่อค้นหาว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้ เมื่อค่ำคืนผ่านไป กลุ่มใหญ่รวมตัวกันเพื่อสังเกตการณ์การดำเนินการ และได้ตัดสินใจที่จะปิดหน้าต่างห้องใต้ดินเพื่อไม่ให้ฝูงชนมองเข้าไป ฮันนาห์ รัลลินสันก็ลงไปที่ห้องใต้ดินพร้อมกับคนตาบอด และสิ่งที่เธอเห็นในห้องใต้ดิน ขั้นบันไดทำให้เธอล้มลงเป็นลมหมดสติ มีรายงานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่าเธอเห็นผู้หญิงในชุดขาวซึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอก่อนที่จะหายตัวไปฮันนาห์ถูกพาไปที่อีกห้องหนึ่งบนชั้นหนึ่ง ซึ่งเพื่อนๆ ของเธอพยายามจะชุบชีวิตเธอ และเมื่อเธอฟื้นคืนสติได้ชั่วครู่ เธอประกาศว่าเธอยังคงเห็นผี เต็มไปด้วยแผลที่คอและชุดนอนเปื้อนเลือด เห็นได้ชัดว่าผีบอกเธอว่าคือเอลิซาเบธ จอห์นสัน วิญญาณที่ไม่สงบซึ่งถูกวิลเลียม ดอว์สัน หลานชายของเธอฆ่าไปเมื่อกว่าศตวรรษก่อนหน้านั้น นางจอห์นสันผู้ล่วงลับบอกกับเธอว่าเธอต้องออกจากบ้านเนื่องจากมีรอยเลือดของเธอ แม้จะเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง สุขภาพดี และแข็งแรง แต่ Hannah Rallinson เสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น ใบมรณะบัตรของเธอได้บันทึกสาเหตุการตายอย่างเป็นทางการว่าเป็น

The Spring-Heeled Jack Case
อีกเรื่องที่น่าเศร้าของศตวรรษที่ 19 เป็นที่ของเจน Halsall, สาวเจ็ดปีจากแลงคาเชียร์ประเทศอังกฤษที่ถูกกล่าวหาว่าเสียชีวิตด้วยน้ำมือของปีศาจที่รู้จักกันเป็นฤดูใบไม้ผลิส้นแจ็ค เรื่องราวของการปรากฏตัวที่ชื่อแจ็คส้นสูงสปริงนั้นมีการหมุนเวียนมาเป็นเวลาหลายทศวรรษก่อนที่เจน ฮัลซอลล์จะเสียชีวิตอย่างโชคร้าย และความกลัวต่อตัวละครที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็ไม่ได้ลดลงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อเจนกลับบ้านวันหนึ่งบอกว่าเพื่อน ๆ ของเธอได้เตือนเธอว่าฤดูใบไม้ผลิส้นแจ็คในทางของเขาไปที่บ้านเกิดของเธอพ่อแม่ของเธอพยายามที่จะบรรเทาเธอกลัว อย่างไรก็ตาม ในคืนนั้นเอง เจนล้มป่วยหนักและหมดสติไปเมื่อถึงเวลาที่หมอมาถึง เพียงหกชั่วโมงก่อนที่เธอจะตายก่อนวัยอันควร เธอกล่าวไว้ว่า “ผีกำลังจะมา” เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพสรุปว่าเธอเสียชีวิตด้วยความกลัวและโทษแจ็คส้นสูง (หรือเป็นคนที่เขาเชื่อว่าแอบอ้างเป็นวิญญาณชั่วร้าย) คณะลูกขุนของศาลชันสูตรศพพบว่า "แจ็ค" มีความผิดฐานฆ่าเด็กหญิงตัวน้อย ซึ่งอาจหมายถึงว่าผีถูกพิจารณาคดีและถูกตัดสินว่ามีความผิดในชั้นศาล

ฆาตกรรมฟาร์ม Hinterkaifeck
ด้วยสภาพแวดล้อมแบบบาวาเรียอันเงียบสงบ ฟาร์ม Hinterkaifeck ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับการฆาตกรรมที่น่าสงสัยที่สุดชิ้นหนึ่งของศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1922 บ้านไร่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับคดีที่จะทำให้ตำรวจเยอรมันงุนงงและไม่มีทางแก้ไขได้ ครอบครัวกรูเบอร์ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น เป็นคนนอกสังคม โดยที่สามีเป็นนักเฆี่ยนตีภรรยาที่ฉาวโฉ่ซึ่งมีความสัมพันธ์ร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องกับลูกสาวของเขา อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฟาร์มของกรูเบอร์ทำให้ชุมชนท้องถิ่นตกใจปลายปี พ.ศ. 2464 มาเรียสาวใช้ของกรูเบอร์รายงานว่าได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงรอบบ้าน เธอเดินออกจากตำแหน่งของเธอทันทีกลัวฟาร์มที่ถูกผีสิง หกเดือนหลังจากการจากไปของมาเรีย ผู้เป็นพ่อ อันเดรียส ได้เห็นรอยเท้าในหิมะที่ลึกรอบบ้านซึ่งทอดยาวจากป่าไปยังฟาร์ม ไม่มีรอยเท้าแสดงการเดินทางกลับ Andreas ดำเนินการค้นหาทันที แต่ไม่พบใคร คืนนั้น Andreas ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ในห้องใต้หลังคาเช่นกัน อีกครั้งเขาไม่พบอะไรเลยและไม่มีใครซ่อนตัวอยู่ เหตุการณ์กลับกลายเป็นคนแปลกหน้าหลังจากนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น มีหนังสือพิมพ์ที่ไม่คุ้นเคยวางอยู่บนระเบียง ไม่กี่วันต่อมา กุญแจบ้านดอกหนึ่งหายไป แอนเดรียสเห็นรอยขีดข่วนบนเครื่องมือทำให้ล็อกราวกับว่ามีใครพยายามหยิบมันขึ้นมาไม่กี่วันต่อมา ชาวกรุงเริ่มสงสัยว่าพวกกรูเบอร์ไปอยู่ที่ไหน พวกเขาไปที่ฟาร์มเพื่อตรวจสอบครอบครัวและค้นพบสิ่งที่น่าสยดสยองในโรงนา—ศพของสมาชิกสี่คนในครอบครัวที่นองเลือดออกมา กองหนึ่งทับกันและคลุมด้วยหญ้าแห้ง ในบ้านที่เหลือของครอบครัวและแม่บ้านทดแทนก็พบว่าเสียชีวิตด้วย แม้ว่าจะมีสัญญาณของการบีบรัด แต่เครื่องมือที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุการตายของพวกเขาคือพลั่วมีปัจจัยที่ซับซ้อนหลายอย่างเช่นกัน ศพทุกศพถูกปกปิดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และในขณะที่พบวันที่เสียชีวิตคือวันที่ 31 มีนาคม เพื่อนบ้านก็เห็นควันจากปล่องไฟของฟาร์มหลังจากวันนั้น มีหลักฐานว่าในบ้านมีอาหารที่เพิ่งกินเข้าไป มีเตียงนอน และสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้รับอาหารแล้ว ไม่มีหลักฐานการโจรกรรมใด ๆ และเครื่องประดับและเหรียญยังคงไม่มีใครแตะต้องในบ้าน มันเป็นวิญญาณพยาบาทที่ฆ่ากรูเบอร์หรือไม่? เป็นการบุกรุกบ้านที่น่าสยดสยองหรือไม่? ไม่ว่าความจริงของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ตำรวจก็ยังไม่สามารถคลี่คลายคดีฆาตกรรมได้ และคณะลูกขุนยังไม่ตัดสิน

ครอบครัว Jamison
ในปี 2009 ตระกูล Jamison ได้หายตัวไปจากพื้นโลกอย่างเห็นได้ชัด ไม่พบศพพวกเขาอีกสี่ปี เมื่อพบโครงกระดูกทั้งหมดนอนคว่ำอยู่ในป่า ใกล้กับจุดที่พบรถบรรทุกที่ถูกทิ้งร้างในปี 2552 ก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไปครอบครัว Jamison ได้บอกใครก็ตามที่จะรับฟัง ว่าผีกำลังหลอกหลอนพวกเขา และแมดี้สัน ลูกสาววัย 6 ขวบของพวกเขา กำลังสนทนาอยู่กับสาวผีที่พบเธอเสียชีวิตในบ้านเมื่อหลายสิบปีก่อนวันที่ครอบครัวหายตัวไปภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเก็บรถ ราวกับอยู่ในภวังค์บางอย่าง ไม่ได้ระบุสาเหตุการตาย และมีข้อเสนอแนะว่าสมาชิกในครอบครัวถูกผีที่อาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขาเข้าสิง เนื่องจากศพถูกย่อยสลายอย่างรุนแรง จึงไม่มีทางบอกได้ว่าสิ่งใดที่ฆ่า Jamisons ดังนั้นการคาดเดายังคงมีอยู่มากมายนี่เป็นเพียงหลักฐานการเสียชีวิต 10 รายที่เชื่อมโยงกับผี ในขณะที่ความจริงถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ ทั้งหมดที่เรารู้ก็คือคนเหล่านี้เสียชีวิตภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาด ใครจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริง?

10 การพบเห็นผีที่ถูกกล่าวหาว่ามีผลที่แปลกประหลาด
เมื่อใดก็ตามที่มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับการถูกกล่าวหาว่าเห็นผี เหตุการณ์นี้มักจะรวบรวมการประชาสัมพันธ์ ในขณะที่ผู้เชื่อและผู้คลางแคลงต่างเริ่มอภิปรายอย่างเผ็ดร้อน แต่เมื่อโฆษณาหมดไป ชีวิตก็ดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาต่อการถูกกล่าวหาว่าเห็นผีในบางครั้งอาจรุนแรงมากจนส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของผู้คน เรื่องผีต่อไปนี้อาจดูน่าเชื่ออย่างน่าขนลุกหรือไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องหลอกลวงที่ประดิษฐ์ขึ้น แต่ปฏิกิริยาที่มีต่อพวกเขานั้นมีเอกลักษณ์มาก

เหยื่อฆาตกรรมผี Greenbrier ช่วยตัดสินสามีของเธอ
เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2440 Zona Heaster Shue วัย 23 ปีเสียชีวิตภายใต้สถานการณ์ลึกลับที่บ้านของเธอใน Greenbrier County รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย น่าแปลกที่เมื่อแพทย์มาถึง สามีของ Zona ชื่อ Erasmus “Trout” Shue ได้ย้ายร่างของเธอจากชั้นล่างไปที่เตียงและแต่งตัวให้เธอ ตลอดสองสามวันข้างหน้า ปลาเทราท์แสดงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับการจากไปของภรรยาของเขา แต่เนื่องจากสาเหตุการตายในขั้นต้นเชื่อกันว่าเป็นภาวะหัวใจล้มเหลว จึงไม่มีใครสงสัยว่ามีการเล่นผิดกติกา อย่างไรก็ตาม หลายสัปดาห์หลังจากที่ Zona ถูกนอนพักผ่อน แมรี่ เจน เฮสเตอร์ แม่ของเธอ ได้ไปเยี่ยมอัยการในท้องที่เพื่อขอให้ขุดร่างของลูกสาวของเธอ การตัดสินใจครั้งนี้ถูกกระตุ้นโดยผู้เข้าชมที่ถูกกล่าวหาจากผี Zona ของแมรี่ เจนอ้างว่าผีของโซน่ามาเยี่ยมเธอตลอดสี่คืน และเปิดเผยว่าปลาเทราท์เป็นสามีที่ไม่เหมาะสมที่คอหักจากการบีบคอเธอด้วยความโกรธ เจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับคำขอของแมรี่ เจนที่จะขุดค้นลูกสาวของเธอ ผลชันสูตรเปิดเผยว่าคอของโซน่าหัก ปลาเทราต์ถูกจับและถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมภรรยาของเขา ถึงแม้ว่าหลักฐานที่กล่าวหาเขาว่าเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม เมื่อแมรี่ เจนถูกเรียกตัวไปเป็นพยานในการพิจารณาคดี ทนายจำเลยของเทราท์ได้ท้าทายเรื่องราวเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับ "ผีกรีนไบรเออร์" อย่างไรก็ตาม แมรี่ เจนไม่เคยลังเลใจจากเรื่องราวดั้งเดิมของเธอ และคำให้การของเธอพิสูจน์แล้วว่าน่าเชื่อถือและน่าเชื่อถือมากจนคณะลูกขุนไม่สามารถเพิกเฉยได้ ในท้ายที่สุดพวกเขาจะพบว่าเทราท์ชูมีความผิด เขาได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตที่เรือนจำเมานด์สวิลล์เสียชีวิตเมื่อสามปีต่อมา

ผีของเจมส์ แอล. แชฟฟิน ช่วยครอบครัวค้นหาเจตจำนงที่หายไปของเขา
ในปี 1921 เจมส์ แอล. แชฟฟิน เกษตรกรจากมอคสวิลล์ นอร์ทแคโรไลนา เสียชีวิตหลังจากการล้ม เขาทิ้งภรรยาและลูกชายสี่คนไว้ข้างหลัง เจตจำนงของเจมส์ ซึ่งเขียนไว้หลายปีก่อน ทิ้งฟาร์มของครอบครัวไปให้มาร์แชล ลูกชายคนที่สามของเขา อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางกฎหมายเกิดขึ้นในปีต่อมา เมื่อมาร์แชลเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดสำหรับส่วนที่เหลือของครอบครัวแชฟฟินในพินัยกรรม พวกเขาจึงสูญเสียทรัพย์สมบัติให้กับหญิงม่ายของมาร์แชล อย่างไรก็ตาม ในปี 1925 เจมส์ พิงค์นีย์ แชฟฟิน ลูกชายคนที่สองของเจมส์ ทำให้ทุกคนตกใจด้วยการยื่นฟ้องเพื่อท้าทายความถูกต้องของพินัยกรรม มากยิ่งขึ้นที่น่าตกใจคือข้อเท็จจริงที่ว่าคดีนี้ที่นำโดยการมีปฏิสัมพันธ์ที่ถูกกล่าวหากับผี James Jr. อ้างว่าเขามีความฝันหลายอย่างซึ่งวิญญาณของพ่อมาเยี่ยมเขา คืนหนึ่ง เจมส์ ซีเนียร์สวมเสื้อคลุมตัวเก่าก็ปรากฏตัวขึ้นและบอกลูกชายว่าจะพบสิ่งใหม่ๆ ในกระเป๋าด้านใน เมื่อ James Jr. หยิบเสื้อคลุมของพ่อกลับมา เขาพบว่ากระเป๋าด้านในถูกบุด้วยซับใหม่ ในกระเป๋ามีข้อความว่า “อ่านปฐมกาลบทที่ 27 ในพระคัมภีร์เก่าของพ่อฉัน” เจมส์ จูเนียร์ได้ติดตามพระคัมภีร์เก่าของปู่ของเขาในไม่ช้า และก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเจตจำนงใหม่ซ่อนอยู่ข้างใน ถัดจากปฐมกาลบทที่ 27 มันถูกเขียนโดย James Sr. ในปี 1919 ตอนนี้ James Sr. ต้องการให้ทรัพย์สินของเขาถูกแบ่งเท่า ๆ กันในหมู่ลูกสี่คนของเขา ในการพิจารณาคดี ผู้เชี่ยวชาญดูเหมือนจะเห็นด้วยว่าลายมือบนพินัยกรรมนั้นเป็นของเจมส์ แอล. แชฟฟินจริงๆว่าพินัยกรรมนั้นเป็นของแท้ดังนั้นเธอจึงตกลงให้ข้อตกลงที่คืนการควบคุมมรดกให้กับ Chaffins

Montrose Ghost Dead Pilot กลับมาเพื่อล้างชื่อของเขา
ในเช้าวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2456 ร้อยโทเดสมอนด์ อาร์เธอร์ นักบินชาวไอริชที่เกิดในกองบินรอยัล ฟลายอิ้ง คอร์ป ได้ขึ้นเครื่องบินปีกสองชั้นรุ่น BE2 เพื่อทำการบินฝึกตามปกติที่สนามบินมอนโทรสในสกอตแลนด์ อย่างไรก็ตาม ปีกขวาของเครื่องบินก็หักในทันทีระหว่างเที่ยวบิน และอาเธอร์ก็เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งต่อๆ ไป ในขั้นต้น เชื่อกันว่าโศกนาฏกรรมเกิดจากงานซ่อมที่ผิดพลาดบนเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม สามปีต่อมา การสอบสวนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจะตัดสินว่าอาร์เธอร์เองเป็นฝ่ายผิดในเหตุเครื่องบินตก เพื่อนนักบินหลายคนของอาเธอร์ไม่พึงพอใจกับรอยดำนี้ในบันทึกของเขา แต่ไม่นานก่อนที่สนามบินมอนโทรสจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่อธิบายไม่ได้หลายครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2459 บุคลากรที่ประจำการอยู่ที่มอนโทรสเริ่มมองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผีของนักบิน พยานบางคนจำร่างลึกลับนี้ได้และเชื่อว่าเป็นผีของเดสมอนด์ อาเธอร์ การพบเห็นแพร่หลายมากจนนักบินที่หวาดกลัวเริ่มละทิ้งตำแหน่งหรือขอย้ายจากมอนโทรส สุดท้าย CG Grey บรรณาธิการนิตยสารThe Flying The Airplaneตัดสินใจที่จะผลักดันทฤษฎีที่ว่าอาเธอร์กลับมาหลอกหลอนสนามบินเก่าของเขาเพื่อตอบสนองต่อการสอบสวนของรัฐบาลที่ทำให้ชื่อของเขาเปื้อน เกรย์ประสบความสำเร็จในการกล่อมให้เปิดการสอบสวนคดีดังกล่าวอีกครั้ง คราวนี้คำตัดสินคือ Desmond Arthur ไม่รับผิดชอบ หลังจากที่ชื่ออาเธอร์ก็เคลียร์วิญญาณ Montrose จะหายไปบันทึกหนึ่งเล็งสุดท้ายที่เขาดูเหมือนจะยิ้ม

ผีค็อกเลน หลอกหลอนเพื่อกล่าวหาผู้บริสุทธิ์
มีการบันทึกกรณีการหลอกหลอนที่ถูกกล่าวหาจำนวนมากซึ่งกลายเป็นการหลอกลวงโดยสมบูรณ์ แต่มีเพียงไม่กี่กรณีที่สร้างความรู้สึกเย้ายวนใจของ "ผีค็อกเลน" ในปี ค.ศ. 1759 วิลเลียม เคนท์และแฟนนี่คู่สมรสของเขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ค็อกเลน ซึ่งเป็นตรอกแคบๆ ในส่วนของสมิธฟิลด์ในลอนดอน หกเดือนต่อมา ทั้งคู่จะย้ายออกหลังจากทะเลาะกันเรื่องเงิน: เจ้าของบ้าน Richard Parsons ปฏิเสธที่จะจ่ายคืนเงินกู้ที่ William ทำไว้ให้เขา หลังจากนั้นไม่นาน ฟานี่ก็เสียชีวิตจากไข้ทรพิษ ในเดือนมกราคม 1762 วิลเลียมก็ตกใจเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับตัวเองอยู่ในบัญชีแยกประเภทสาธารณะ บทความบอกเป็นนัยว่าวิลเลียมได้ฆ่าฟานี่ ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ริชาร์ดพาร์สันส์ผู้ซึ่งอ้างว่าบ้านในไก่เลนตอนนี้ตามหลอกหลอนผีของ Fannyฟานี่ถูกกล่าวหาว่าปรากฏตัวต่อหน้าพาร์สันส์ โดยบอกเขาว่าเธอไม่ได้ตายจากไข้ทรพิษ และสามีของเธอวางยาพิษเธอด้วยสารหนู วิลเลียมได้รับเชิญให้ไปประทับที่บ้านเก่าของเขา ซึ่งนักบวชชื่อจอห์น มัวร์จะเรียกวิญญาณของแฟนนี่ เมื่อถูกถามคำถามหลายชุด ผีก็ตอบโต้ด้วยการเคาะหลายครั้งที่ทำให้วิลเลียมเป็นฆาตกร Cock Lane Ghost กลายเป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นจนผู้คนจำนวนมากแห่กันไปที่สถานที่นั้น Seances กลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในที่สุด เรื่องราวทั้งหมดส่วนใหญ่ถือเป็นการฉ้อโกงเมื่อเอลิซาเบธ ลูกสาวคนเล็กของพาร์สันส์ ถูกจับได้ว่าแร็พบนกระดานเพื่อจำลองเสียงเคาะที่น่าสยดสยอง เพื่อล้างชื่อของเขา William Kent ได้ยื่นฟ้อง Parsons, Reverend Moore, ภรรยาของ Parsons และคนใช้ที่สมรู้ร่วมคิด พวกเขาได้รับโทษจำคุกสั้นและถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่วิลเลียม

คู่รักกระท่อม Lowes ฟ้องข้อหาหลอกหลอนที่ไม่เปิดเผย
ในปี 1994 คู่รักชาวอังกฤษชื่อแอนดรูว์และโจซี่ สมิธ ย้ายมาอยู่ที่กระท่อม Lowes พร้อมลูกสามคน บ้านหลังนี้เป็นบ้านหินทรายอายุหลายศตวรรษตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Upper Mayfield Smiths ซื้อมาจากพี่สาวสองคนคือ Susan Melbourne และ Sandra Podmore อย่างไรก็ตาม ตามที่ Smiths บอก ในไม่ช้าพวกเขาจะพบว่า Lowes Cottage ถูกหลอกหลอน สิ่งของในบ้านเริ่มเคลื่อนไหวเองและนิมิตของร่างผีก็ปรากฏขึ้น มีอยู่ช่วงหนึ่ง โจซีอ้างว่าวิญญาณที่มองไม่เห็นพยายามจะข่มขืนและบีบคอเธอขณะที่เธออยู่บนเตียง ครอบครัว Smiths จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตำนานเมืองในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับสาวใช้นมสาวซึ่งเคยอาศัยอยู่ในบ้านก่อนที่เธอจะถูกข่มขืนและสังหารครอบครัวตัดสินใจหนี Lowes Cottage แต่เจ้าของคนก่อนฟ้องพวกเขาเป็นเงิน 3,000 ปอนด์สเตอลิงก์งวดสุดท้ายของเงินดาวน์ของ Smiths ในการตอบสนอง ครอบครัว Smiths ได้ยื่นฟ้องต่ออดีตเจ้าของบ้าน ฐานไม่เปิดเผยว่าบ้านดังกล่าวมีผีสิง สองพี่น้องอ้างว่าพวกเขาไม่เคยประสบกับกิจกรรมเหนือธรรมชาติใดๆ ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นั่น และเชื่อว่าครอบครัวสมิธกำลังสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อเอาเงินที่พวกเขาเป็นหนี้ คดีนี้ได้ยินที่ศาลดาร์บี้เคาน์ตี้ในปี 2542 และสมิธส์พยายามทำให้เรื่องราวที่ห่างไกลออกไปนั้นฟังดูน่าเชื่อ นักบวชชื่อ Reverend Peter Mockford ถูกพาตัวไปอวยพร Lowes Cottage และเขาจะให้การว่าเขาเชื่อว่าบ้านหลังนี้มีผีสิง แม้จะมีคำให้การนี้ ผู้พิพากษาไม่เชื่อเรื่องนั้นและตัดสินเป็นฝ่ายเห็นชอบ ของสองพี่น้องสตรี โดยสั่งให้ Smiths จ่ายเงิน 3,000 ปอนด์ให้กับพวกเขา

Stambovsky v. Ackley บ้านถูกประกาศว่าเป็นผีสิง
คดีที่เกี่ยวข้องกับบ้านผีสิงหาได้ยากมากที่จะประสบความสำเร็จในศาลยุติธรรม แต่กรณีของStambovsky v. Ackleyเป็นข้อยกเว้นที่แปลก ในปี 1989 ชายคนหนึ่งชื่อ Jeffrey Stambovsky ซื้อบ้านใน Nyack รัฐนิวยอร์ก ซึ่งก่อนหน้านี้ Helen Ackley และครอบครัวของเธอเคยครอบครอง อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่ Stambovsky และภรรยาของเขาย้ายเข้ามา เขาได้เรียนรู้ว่าบ้านหลังนี้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่มากและมีข่าวลือว่าบ้านผีสิง เป็นเวลาหลายปีที่ Ackley อ้างว่าบ้านของเธอถูกผีสิง และเธอยังขายเรื่องราวของเธอให้กับReader's Digestและสื่ออื่นๆ ปัญหาคือทั้ง Ackley และนายหน้าของเธอไม่สนใจที่จะเปิดเผยเรื่องนี้กับ Stambovsky ก่อนที่เขาจะซื้อบ้านแม้ว่า Stambovsky จะไม่เคยเห็นผีใด ๆ และไม่เชื่อในพวกเขา แต่ภรรยาของเขาก็ยังกลัวที่จะอยู่ในบ้านผีสิง เขาตัดสินใจยื่นฟ้อง Ackley และนายหน้าของเธอในข้อหาฉ้อโกงและเรียกร้องให้ออกจากสัญญา ในขั้นต้นเขาแพ้คดีในศาลล่าง แต่หลังจากประสบความสำเร็จในการอุทธรณ์ คดีของ Stambovsky จะถูกได้ยินต่อหน้าแผนกอุทธรณ์ของศาลฎีกานิวยอร์กในปี 2534 เชื่อหรือไม่ว่าศาลตัดสินให้ Stambovsky เป็นที่โปรดปราน เขาได้รับอนุญาตให้ออกจากสัญญาและได้เงินดาวน์บ้านคืน การพิจารณาคดีมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า Ackley ได้โฆษณาบ้านของเธอในที่สาธารณะว่าถูกหลอกหลอนและทำเงินจากการขายเรื่องราวนั้น ดังนั้นเธอจึงต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงนี้ต่อผู้ซื้อที่มีศักยภาพ ในคำพูดของผู้พิพากษาคนหนึ่ง : “ตามกฎหมาย บ้านนี้มีผีสิง”

ผีชายสีเทาช่วยชีวิตผู้คนจากพายุเฮอริเคน
เกาะพาวลีย์เป็นเมืองชายฝั่งเล็กๆ ในรัฐเซาท์แคโรไลนา เมืองนี้มีชื่อเสียงในด้านการปรากฏตัวของวิญญาณที่เรียกว่า “ชายสีเทา” นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2365 เป็นต้นมา มีการพบเห็นบุคคลลึกลับจำนวนมากที่เดินเตร่ไปตามชายฝั่งของพื้นที่ นิทานพื้นบ้านมากมายรายล้อมชายสีเทา และมีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับตัวตนของเขา เรื่องราวยอดนิยมเรื่องหนึ่งคือ เขาเป็นชายหนุ่มระหว่างทางไปขอคนรักของเขาแต่งงาน แต่เสียชีวิตหลังจากถูกจับในทรายดูด ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกประณามตลอดกาลให้เดินเตร่ไปทั่วพื้นที่เพื่อค้นหาความรักที่หายไปของเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยกระดับชายสีเทาจากการเป็นมากกว่าเรื่องผีทั่วไปคือความเชื่อที่มีมาช้านานว่าการได้เห็นเขาอาจช่วยชีวิตคุณได้มีข่าวลือว่าชายสีเทามักจะปรากฏตัวก่อนที่พายุเฮอริเคนลูกใหญ่จะพัดเข้ามาในพื้นที่ ถ้าเจอหน้าจะรอดจากการทำลายล้างของพายุ ผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่าชายสีเทาเตือนพวกเขาให้ออกจากพื้นที่ก่อนที่พายุเฮอริเคนจะมาถึง เมื่อพายุเฮอริเคนผ่านพ้นไป พยานเหล่านี้จะกลับไปยังพื้นที่เพื่อค้นหาบ้านของพวกเขาที่ไม่ได้รับความเสียหายอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจฟังดูเหมือนตำนานเมือง แต่ก็มีอย่างน้อยหนึ่งกรณีที่มีเอกสารเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ในเดือนกันยายน 1989 คู่สามีภรรยาสูงอายุชื่อจิมและคลารา มัวร์อ้างว่าได้เดินผ่านชายเกรย์แมนระหว่างเดินเล่นนอกบ้านที่ชายหาด ไม่นานหลังจากนั้น เฮอร์ริเคนฮิวโก้ก็เข้าโจมตีพื้นที่และก่อให้เกิดการทำลายล้างเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตามแม้ว่ารอบบ้านถูกทำลายที่อยู่อาศัยมัวเรสถูกทิ้งไว้อย่างลึกลับอันตราย

คนผีแฮมเมอร์สมิธ ยิงผู้ชายที่เขาคิดว่าเป็นผี
เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2347 ฟรานซิส สมิธ เจ้าหน้าที่สรรพสามิตจากเขตแฮมเมอร์สมิธในลอนดอน ถูกจับในข้อหายิงนายโทมัส มิลล์วูดซึ่งเป็นช่างก่ออิฐเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม Smith อ้างสิทธิ์ในการป้องกันตัวและมีข้อแก้ตัวอย่างหนึ่งคือ Millwood สวมชุดสีขาว ดังนั้น Smith จึงคิดว่าเขากำลังยิงผี ! เชื่อหรือไม่ว่า ณ เวลานั้น เรื่องนี้ไม่ได้ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว ตลอดทั้งเดือนก่อน แฮมเมอร์สมิธถูกรบกวนจากการพบเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผีสิงอยู่หลายครั้ง เรื่องร้ายแรงขึ้นเมื่อหญิงตั้งครรภ์อ้างว่าถูกผีทำร้ายและเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมาศาลเตี้ยติดอาวุธเริ่มค้นหาผีซึ่งเป็นสิ่งที่ฟรานซิส สมิธเพิ่งทำในคืนวันที่ 3 มกราคม เมื่อเขายิงโธมัส มิลล์วูด เนื่องจากชุมชนต่างหวาดกลัว "ผีแฮมเมอร์สมิธ" มาก ผู้คนจึงสงสัยว่าสมิทควรรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของมิลล์วูดหรือไม่ แต่เขายังคงถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา ในการพิจารณาคดี พยานให้การจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เสื้อผ้าสีขาวของ Millwood ได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นผี ในขั้นต้นคณะลูกขุนตัดสินใจว่าสมิ ธ ควรถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรมน้อยกว่าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาได้ลบล้างคำตัดสินของพวกเขาและบอกพวกเขาว่าพวกเขาจำเป็นต้องหา Smith ว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมหรือปล่อยตัวเขาทั้งหมด พวกเขาเลือกที่จะพบว่าเขามีความผิดฐานฆาตกรรม และเขาถูกตัดสินประหารชีวิต อย่างไรก็ตามสมิ ธ ก็เร็ว ๆ นี้ได้รับพระราชทานอภัยโทษซึ่งเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการใช้แรงงานหนักเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากเหตุการณ์นี้ ผีแฮมเมอร์สมิธก็ไม่มีใครเห็นอีกเลย

ผีของรัสเซล โคลวิน พี่น้องผู้บริสุทธิ์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1812 ชายคนหนึ่งชื่อรัสเซลล์ โคลวินหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่มีคำอธิบายจากบ้านเกิดของเขาที่แมนเชสเตอร์ รัฐเวอร์มอนต์ โคลวินเป็นพี่เขยของเจสซี่และสตีเฟน บูร์น ซึ่งไม่เคยชอบเขาเลย โคลวินจะไม่รู้ที่อยู่ของอีกเจ็ดปีข้างหน้าจนกว่าอามอส บุญอาของพี่น้องบุญธรรมจะเล่าเรื่องบ้าๆ เห็นได้ชัดว่าเอมัสได้รับมีความฝันที่เกิดขึ้นที่ผีของรัสเซลโคลปรากฏตัวขึ้นที่ข้างเตียงของเขา ผีบอกว่าเขาถูกฆ่าตายและสั่งให้อามอสไปที่ห้องใต้ดินในฟาร์มของครอบครัวบุรนซึ่งคาดว่าซากศพของเขาจะถูกซ่อนไว้ การค้นหาหลุมใต้ดินไม่พบซากใดๆ แต่พบสิ่งของบางอย่างที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นของโคลวิน ไม่นานหลังจากนั้น สุนัขตัวหนึ่งได้ขุดเศษกระดูกที่บริเวณอื่นใกล้กับที่พักของ Boornsพี่น้องบุญธรรมถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโคลวินในเวลาต่อมา หลังจากการสอบสวนอย่างหนักหน่วง ในที่สุดทั้งสองก็สารภาพความผิด แม้จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าซากศพของโคลวินเป็นของสัตว์และคำสารภาพของ Boorns ถูกบังคับ แต่ก็มีหลักฐานเพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะถูกตัดสินว่ามีความผิด เจสซีจะได้รับชีวิตในคุกในขณะที่สตีเฟนถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2362 เมื่อนิวยอร์กอีฟนิ่งโพสต์ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของ Boorns พยานคนหนึ่งออกมาอ้างว่าเขาได้เห็นรัสเซล โคลวินในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ในที่สุด Colvin ก็ถูกตามล่าและนำตัวกลับมาที่แมนเชสเตอร์เพื่อพิสูจน์ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 1819 เพียงหนึ่งเดือนก่อนการดำเนินการที่กำหนดสตีเฟนโคลตกใจชุมชนโดยการทำให้ประหลาดใจปรากฏ พี่น้องบุญธรรมได้รับการยกโทษอย่างเป็นทางการ

Booty v. Barnaby โดนฟ้องข้อหาใส่ร้ายผี
ถ้าใครจะมองผ่านศตวรรษคุ้มค่าของบันทึกของศาลที่พวกเขาจะกดยากที่จะหากรณีที่แปลกประหลาดกว่าBooty v. บาร์นาบี้ ไม่ทราบรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงบางอย่าง (เช่นชื่อแรกของผู้เข้าร่วม) และสิ่งทั้งหมดฟังดูไม่น่าเชื่อเกินจริง อย่างไรก็ตามข้อความที่ตัดตอนมาอย่างเป็นทางการของคดีนี้ถูกพบในบันทึกของ Court of the King's Bench ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1688 เรื่องราวมีอยู่ว่าเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1687 กัปตันเรือชื่อบาร์นาบีและลูกเรือของเขากำลังยิงหากระต่ายบนเกาะสตรอมโบลีในอิตาลี บ่ายวันนั้น พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งถูกไล่ตามข้ามเกาะโดยร่างในชุดดำ Barnaby จำได้ว่าชายคนนี้ถูกไล่ตามในชื่อ Mr. Booty เพื่อนบ้านของเขาจากบ้านในเมือง Gravesend ประเทศอังกฤษ ร่างทั้งสองวิ่งไปที่ภูเขาไฟและหายตัวไปอย่างลึกลับในเปลวเพลิงหลายเดือนต่อมา Barnaby กลับบ้านและตกใจเมื่อรู้ว่า Mr. Booty เสียชีวิตในช่วงเวลาเดียวกับที่ Barnaby เห็นว่าเขาถูกไล่ล่าที่ Stromboli Barnaby เชื่อว่าเขาได้เห็นผีของ Booty และถูกไล่ตามไปในเปลวเพลิงแห่งนรก ในไม่ช้า เรื่องราวของเขาก็แพร่กระจายไปทั่วเมือง แต่บาร์นาบี้ได้รับเซอร์ไพรส์อย่างน่าทึ่งเมื่อเขาพบว่าภรรยาม่ายของชายผู้ล่วงลับคือนาง Booty กำลังยื่นฟ้องเขาในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ชอบความคิดของบาร์นาบีที่แพร่ข่าวลือว่าสามีผู้ล่วงลับของเธอถูกประณามลงนรก เชื่อหรือไม่ คดีนี้มีขึ้นจริงที่ศาลราชบัลลังก์ Barnaby ได้บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก Stromboli ไว้ในบันทึกประจำเรือของเขา และมีพยานอย่างน้อย 30 คนสนับสนุนเรื่องราวของเขา หลายคนให้การว่า Booty ดูเหมือนจะสวมเสื้อผ้าเดียวกันกับที่เขาสวมในขณะที่เขาเสียชีวิต ศาลได้ข้อสรุปว่าพยานทั้ง 30 คนไม่สามารถเข้าใจผิดได้ พวกเขาตัดสินว่าบาร์นาบี้ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี นางโจรแพ้คดี

10 เรื่องผีที่น่ากลัวของโสเภณี
เมื่อเรานึกถึงเรื่องผี เราอาจนึกภาพปราสาทและสุสานเก่าแก่ที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ในเงามืด สำหรับหลาย ๆ คน เรื่องราวดังกล่าวเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้นแต่บางคนเปิดใจกว้างเกี่ยวกับกิจกรรมเหนือธรรมชาติและพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ไม่รู้ นี่คือวิญญาณที่หลงหายจากอดีตหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาเป็นใครและทำไมพวกเขาถึงยังคงอยู่?โสเภณี 10 คนนี้—ซึ่งดูเหมือนความโศกเศร้า, ความสิ้นหวัง, ความโกรธ, และพลังงานปฏิเสธที่จะจากโลกนี้ไป—อาจหลอกหลอนผู้ไม่สงสัยมานานหลายศตวรรษ

มิสเอลิซาเบธและลูกทารกของเธอ โกลด์ฟิลด์ รัฐเนวาดา
ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 โกลด์ฟิลด์ รัฐเนวาดา เป็นเมืองเหมืองแร่ที่มั่งคั่ง มีผู้คนหลายพันคนเข้ามาตั้งรกรากด้วยความฝันที่จะเป็นคนร่ำรวย ในปี ค.ศ. 1908 Goldfield Hotel ถูกสร้างขึ้นบนปล่องเหมืองและยังคงอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้พร้อมกับอารมณ์ขุ่นเคืองบางอย่างของโรงแรมนอกเหนือจากการฆ่าตัวตายที่ได้รับการยืนยันในโรงแรมในปี 1915 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพบเห็นผีเรื่องราวที่น่าสยดสยองที่สุดก็เกิดขึ้นในห้อง 109 จอร์จ วินฟิลด์ เจ้าของเดิมของโรงแรมกำลังมีชู้กับโสเภณีชื่อเอลิซาเบธที่ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ท่ามกลางความกลัวว่าจะถูกตรวจสอบโดยสาธารณะ วินฟิลด์ล่ามโซ่อลิซาเบธกับหม้อน้ำในห้อง 109 ทำให้เธอซ่อนตัวจากสายตาของสาธารณชนหลังจากที่ทารกเกิด Winfield ถูกกล่าวหาว่าโยนทารกแรกเกิดของเขาลงไปในปล่องเหมืองในห้องใต้ดินและปล่อยให้เอลิซาเบ ธ ถูกล่ามโซ่ไว้กับหม้อน้ำเพื่อตาย นับตั้งแต่ผู้เข้าชมจำนวนมากได้รายงานว่าเห็นลิซาเบ ธ ในห้องพัก 109 และความรู้สึกของเธอปรากฏตัวเป็นน้ำแข็ง เสียงร้องของทารกก็ดังก้องมาจากห้องนั้นเช่นกัน

น.ส.แซมมี่ ดีน เจอโรม รัฐแอริโซนา
ในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 30 เมืองเจอโรม รัฐแอริโซนา เป็นเมืองเหมืองแร่ที่งดงามราวภาพวาดที่ห่อหุ้มภาพของ Old West ถนนเรียงรายไปด้วยรถเก๋ง คนงานเหมืองขี้เมา และซ่องโสเภณีในย่านโคมแดงของเมืองผู้หญิงคนหนึ่งในตอนกลางคืนคือแซมมี่ ดีน เธอสวยอย่างน่าทึ่งแม้ตามมาตรฐานของวันนี้และได้รับความชื่นชมมากมาย เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2474 พบร่างไร้ชีวิตของคณบดีบนพื้นห้องของเธอในส่วนหนึ่งของเมืองที่รู้จักกันในชื่อ "ตรอกสามี" เธอถูกทุบตีและรัดคอตายในขั้นต้น ตำรวจสงสัยว่าการโจรกรรมเป็นแรงจูงใจเพราะว่าดีนเป็นที่รู้จักกันดีว่าพกเงินสดจำนวนมากติดตัวเธอตลอดเวลา เมื่อพบร่างของเธอ เงินทั้งหมดก็หายไปจากกระเป๋าเงินของเธอในช่วงหลายปีหลังการเสียชีวิตของดีน รายงานการปรากฏตัวใน “ ตรอกสามี ” เริ่มปรากฏให้เห็น บางคนอ้างว่าวิญญาณหญิงเร่ร่อนในตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับเสียงสเปกตรัมในโรงแรมที่ว่างเปล่าและตรอกซอกซอยที่ว่างเปล่า ประตูกระแทก กลิ่นน้ำหอมที่คงอยู่ เงาแปลก ๆ ความรู้สึกของการถูกจับตามอง และรอยเท้าปีศาจที่สะท้อนไปตามถนนที่ปูด้วยหินและลูกรังจนถึงทุกวันนี้ เจอโรมเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองร้างที่เปลี่ยนแม้แต่นักวิจารณ์ที่ขี้สงสัยที่สุดให้กลายเป็นผู้ศรัทธา ตัวตนของแซมมี่คณบดีฆาตกรยังคงเป็นปริศนา

Miss Lilly The Franklin Hotel
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1850 โรงแรมแฟรงคลินในสตรอเบอรี่พอยท์ รัฐไอโอวา มีผู้มาเยี่ยมเยือนหลายคน ซึ่งวิญญาณบางส่วนอาจยังคงอยู่ จากประวัติของโรงแรมนี้ ผู้คนจำนวนมากต่างแห่กันไปที่โรงแรมแห่งนี้โดยหวังว่าจะได้พบลิลลี่ ซึ่งเป็นผู้อาศัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองตามตำนานท้องถิ่น ลิลลี่เป็นโสเภณีที่ "ให้ความบันเทิง" ในห้อง 7 ที่โรงแรม แม้ว่ามันจะไม่เป็นที่รู้จักวิธีการที่เธอได้พบกับการตายของเธอจิตวิญญาณของเธอไม่ได้ในส่วนที่เหลือผู้มาเยี่ยมหลายคนรายงานว่ารู้สึกเศร้าและไม่สบายใจอยู่ในห้อง 7 รวมทั้งได้ยินเสียงแปลก ๆ สุภาพบุรุษคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในโรงแรมนี้มา 42 ปี มักจะได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญมาจากห้องข้างบนเขา แม้ว่าห้องนั้นจะว่างในตอนนั้นก็ตามบางทีเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดอาจมาจาก Doug Schmidt ผู้ขี้สงสัยและเจ้าของร่วมของโรงแรม ดึกวันหนึ่ง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดยาวลาเวนเดอร์เดินจากล็อบบี้ไปที่ห้องอาหาร เมื่อเขาบอกหญิงสาวว่าปิดแล้ว เธอก็เดินออกไปในห้องถัดไป หายตัวไปอย่างลึกลับในอากาศจนถึงทุกวันนี้ ชมิดท์ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เขาประสบได้ แต่เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเห็น

นางสาวเพ็กกี้ ซิมบับเว
ผีเพ็กกี้เป็นโสเภณีจากซิมบับเวที่เดินเตร่ไปตามถนนในตอนกลางคืนเพื่อมองหาการขี่รถและเพื่อนผู้ชาย แม้ว่ามันอาจจะเป็นแค่นิทานพื้นบ้าน แต่เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในความลึกลับที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของซิมบับเว มันกินเวลาหลายสิบปีและเกี่ยวข้องกับคำให้การเกี่ยวกับความงามยามเที่ยงคืนนับไม่ถ้วนตามตำนานเล่าว่า เพ็กกี้เป็นโสเภณีที่มีชื่อเสียงในไฮฟิลด์ ชานเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของฮาแรร์ ในวัยยี่สิบปลายๆ ของเธอ เพ็กกี้คนสวยถูกฆ่าอย่างทารุณโดยลูกค้าที่ขี้หึง ซึ่งทำให้วิญญาณที่มีปัญหาของเธอตามหลอกหลอนถนนที่มืดมิดด้วยการโบกรถข้ามเที่ยงคืนว่ากันว่าเมื่อผู้ชายหยุดรับเธอ หนึ่งในสองสิ่งที่เกิดขึ้น: พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของหญิงสาวจากรถของพวกเขาอย่างกะทันหัน หรือพวกเขาตื่นขึ้นมาที่สุสานในท้องที่ซึ่งน่าจะเป็นที่ฝังศพของเธอ

Miss Rosie The Silver Queen Hotel
เวอร์จิเนียซิตี้ รัฐเนวาดา เป็นเมืองเหมืองแร่อุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดระหว่างเดนเวอร์และซานฟรานซิสโกในศตวรรษที่ 19 ทุกวันนี้ เวอร์จิเนียซิตี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องเรื่องเล่าที่ไม่รู้จบซึ่งกระตุ้นให้เกิดทัวร์ผีรอบเมืองประวัติศาสตร์อันน่าขนลุกสถานที่ที่น่ากลัวอย่างหนึ่งคือโรงแรมซิลเวอร์ ควีน ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1800 มันก็บอกว่าห้องพัก 11 ผีสิงมากที่สุด ที่นั่น โสเภณีชื่อโรซี่ฆ่าตัวตายหลายคนเชื่อว่าโรซี่ยังอยู่ แขกหลายร้อยคนได้ยินเสียงกระซิบที่อธิบายไม่ได้ในห้องโถงที่ว่างเปล่าตอนดึก ประตูกระแทกด้วยตัวเอง เสียงฝีเท้าบนระเบียงที่ว่างเปล่า เสียงคำรามมาจากห้อง 11 และอื่นๆ สิ่งของตกจากชั้นวางอย่างลึกลับด้วยในฐานะที่เป็นจำนวนมากของลูกค้าได้หนีโรงแรมในความหวาดกลัวในช่วงเวลาตอนเช้าก็แสดงให้เห็นว่าโรซี่จิตวิญญาณไม่สงบยังคงวนเวียนอยู่ที่นั่น

นางสาวจูเลีย โลเวลล์ บิสบี รัฐแอริโซนา
ในรัฐแอริโซนาตอนใต้ตั้งอยู่ในเมืองที่เงียบสงบและเงียบสงบชื่อว่าบิสบี ในปี ค.ศ. 1902 โรงแรม Copper Queen ซึ่งเป็นอาคารสี่ชั้นสไตล์วิกตอเรียได้ถูกสร้างขึ้น และยังคงเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่สุดที่เปิดดำเนินการในรัฐแอริโซนามาจนถึงทุกวันนี้หลายคนที่อาศัยอยู่ในหรือเยี่ยมชม Bisbee คุ้นเคยกับเรื่องราวการพบเห็นผีภายในกำแพงของอาคารเก่าแก่แห่งนี้ ตามที่ประกาศบนเว็บไซต์ของโรงแรม การพบเห็นที่โด่งดังที่สุดคือการพบเห็นนางสาวจูเลีย โลเวลล์ในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 30 Miss Lowell เป็นโสเภณีที่ทำงานในโรงแรม ในที่สุดเธอก็ตกหลุมรักลูกค้ารายหนึ่งของเธอ เมื่อความรักของเธอไม่ได้รับการตอบแทน เธอฆ่าตัวตายในห้องของเธอจนถึงวันนี้ แขกจำนวนมากรายงานกิจกรรมอาถรรพณ์ที่น่ากลัว โดยเฉพาะบนชั้นสามและสี่ของโรงแรม แขกบางคนเคยได้ยินเสียงกระซิบหรือสัมผัสที่ไหล่ คนอื่นๆ เคยเห็นกุญแจลอยได้ เช่นเดียวกับประตูที่ล็อกและปลดล็อกอย่างลึกลับกิจกรรมอาถรรพณ์นี้ในขั้นต้นทำให้ลูกค้าแห่กันไปที่โรงแรม แต่หลายคนยุติการพักอาศัยด้วยการวิ่งหนีจากที่ดิน

มิสโจซี่ อาร์ลิงตัน นิวออร์ลีนส์
หลังจากสูญเสียแม่ไปในปี 2411 โจซี่ อาร์ลิงตันดูเหมือนถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวดและความยากลำบากเมื่อเธอกลายเป็นเด็กกำพร้าเมื่ออายุได้สี่ขวบ บ้านเกิดของเธอในนิวออร์ลีนส์ทำให้เธอไม่หยุดพัก ดังนั้นเธอจึงหันไปค้าประเวณีในย่านโคมแดงในช่วงวัยรุ่นเธอสร้างชื่อให้ตัวเองและกลายเป็นที่รู้จักในเรื่องความรุนแรงและก้าวร้าว มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอควรจะกัดหูและริมฝีปากของเพื่อนโสเภณี ต่อมา พี่ชายของเธอถูกแมงดาที่ทำงานในซ่องเดียวกับเธอฆ่าในที่สุด Josie ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตของเธอจากความสิ้นหวังเป็นความโชคดีและความเคารพ ในเวลาต่อมา เธอได้สร้างบอร์เดลโล่ที่ดีที่สุดในนิวออร์ลีนส์ทั้งหมด มันรองรับชนชั้นสูงและเธอก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จและร่ำรวยอย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยได้รับการยอมรับจากชนชั้นสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการอย่างยิ่ง ไม่พอใจกับวิธีที่เธอได้รับการปฏิบัติในชีวิต เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะถูกฝังในสุสานแห่งหนึ่งที่สว่างไสวกว่าและมีราคาแพงกว่าในสุสาน Metairieหลังจากการตายของเธอในปี 1914 การประจักษ์เริ่มปรากฏขึ้นที่หลุมฝังศพของเธอ ซึ่งกลายเป็นจุดที่พลุกพล่านที่สุดสำหรับกิจกรรมเหนือธรรมชาติในสุสานอย่างรวดเร็ว หลุมฝังศพของเธอถูกไฟไหม้ต่อหน้าผู้ชมที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้นจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น "สุสานเพลิง"ในเวลาต่อมา ผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่าได้เห็นรูปปั้นที่อยู่ด้านหน้าสุสานเคลื่อนตัวไปเอง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่ามีกิจกรรมเหนือธรรมชาติในไซต์นี้ แต่ผู้คนหลายร้อยคนยังคงรวมตัวกันที่หลุมศพของเธอด้วยความหวังว่าจะได้เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเพียงแวบเดียวเป็นผลให้เจ้าหน้าที่สุสานขุดศพของ Josie และย้ายไปยังตำแหน่งที่ไม่รู้จักซึ่งยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แม้กระทั่งตอนนี้ ผู้มาเยี่ยมบางคนอ้างว่าได้เห็นโกศเรืองแสงสีแดงที่หลุมฝังศพที่โจซี่เคยวาง และคนขุดหลุมศพยังคงรายงานว่ารูปปั้นนั้นเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม

The Ole Tavern Jackson, มิสซิสซิปปี้
ในแจ็กสัน รัฐมิสซิสซิปปี้ โรงเตี๊ยม Ole Tavern อันเก่าแก่บนถนนจอร์จจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่ภักดีในช่วงสุดสัปดาห์ แต่เมื่อบาร์ปิดทำการหลังเวลาทำการและเหลือพนักงานเพียงไม่กี่คน วิญญาณจากอดีตอันขมขื่นก็อาละวาดตามเรื่องราวที่ไม่รู้จบ พนักงานและเจ้าของบาร์ได้ตั้งคำถามถึงความเชื่อของพวกเขาในบางครั้งและหนีออกจากสถานที่ด้วยความกลัว สมมุติว่าเก้าอี้และโต๊ะทำงานเคลื่อนที่ไปรอบๆ ด้วยตัวเองที่ชั้นบน เปิดไฟในห้องว่าง และเสียงผู้หญิงที่อธิบายไม่ได้ก็คุยโทรศัพท์ในช่วงเช้าตรู่เมื่อโรงเตี๊ยมปิดและแม่กุญแจถูกปิด พนักงานอาจเห็นใครบางคน— อาจเป็นผี—นั่งที่บาร์ ในปี 1970 เมื่อโรงเตี๊ยมเป็นซ่องโสเภณี โสเภณีถูกพบเสียชีวิตที่นั่นสาเหตุการเสียชีวิตของเธอยังไม่ทราบ แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือการฆาตกรรม นี่อาจเป็นเสียงผู้หญิงที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ที่เอื้อมมือออกไปด้วยความสิ้นหวังจากหลุมฝังศพหรือไม่

The Headless Woman The Glen Tavern Inn
ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1910 Glen Tavern Inn ในซานตาพอลลา แคลิฟอร์เนียได้ต้อนรับคนดังมากมาย รวมถึงคลาร์ก เกเบิล แคโรล ลอมบาร์ด และริน ทิน ทิน ชาวเยอรมันเชพเพิร์ดผู้เป็นที่รักของฮอลลีวูด แม้จะมีประวัติของโรงเตี๊ยมและคนดังที่เคยเดินเข้ามาในบริเวณนี้ แต่หลายคนกลับสนใจโรงแรมนี้มากขึ้นด้วยเรื่องราวของผีมากมายที่ไม่ยอมจากไปเรื่องราวดังกล่าวรวมถึงหญิงสาวผมเปียผมบลอนด์ที่เดินเตร่เข้าไปในห้องของแขกผู้ไม่สงสัย และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กหลงทาง ผู้รับเหมายังหลบหนีทรัพย์สินหลังจากเห็นเด็กเล่นในห้องโถงแล้วหายเข้าไปในกำแพงแขกที่ต้องการมองเห็นอาถรรพณ์จะถูกดึงดูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังห้อง 218, 306 และ 307 สมมุติว่าประตูของห้องว่างเหล่านี้ได้ล็อคกลอนตายด้วยตัวเองจากด้านในไม่กี่ครั้งอย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่หนาวเหน็บที่สุดมาจากห้อง 307 ที่จิตวิญญาณของผู้หญิงยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่ไม่ปรากฏชื่อเป็นโสเภณีที่ถูกฆ่าตายและตัดศีรษะหลายวันต่อมา สาวใช้พบว่าร่างของเธอถูกยัดอยู่ในตู้เสื้อผ้า รายงานเรื่องความหนาวเย็น เสียงเคาะ เสียงสะท้อน และหมอกที่น่าขนลุกยังคงมีมาจนถึงทุกวันนี้

The Lady In Red The Mizpah Hotel
เช่นเดียวกับสถานประกอบการหลายแห่งที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงเร่งรีบในการขุดของเนวาดาต้นศตวรรษที่ 20 โรงแรม Mizpah ถูกสร้างขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานในปี 1907 และยังคงเป็นอาคารที่สูงที่สุดของเนวาดาจนถึงปี 1929 โรงแรมได้ต้อนรับแขกผู้มีชื่อเสียง เช่น Wyatt Earp และ Howard Hughes อย่างไรก็ตาม แขกรับเชิญที่มีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบันคือ Evelyn Mae Johnson (หรือที่รู้จักในชื่อ “ The Lady in Red “)ตามตำนานเล่าว่าจอห์นสันอาศัยอยู่ในโรงแรมและทำงานเป็นโสเภณีในชื่อ "โรส" ในปี 1914 อดีตคู่รักขี้หึงเดินเข้ามาหาเธอโดยไม่คาดคิดในขณะที่เธอกำลัง “ให้ความบันเทิง” กับชายอีกคนหนึ่ง สิ่งนี้ส่งอดีตคู่รักไปสู่ความโกรธแค้นโรสถูกไล่ออกจากห้องของเธอไปที่โถงทางเดินที่เธอถูกรัดคอและถูกแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่ที่เธอถูกฆาตกรรม เธอถูกพบเห็นในโรงแรมตามทางเดิน ภายในลิฟต์ และในห้อง 504 ที่เธอเคยอาศัยอยู่การพบเห็น Lady in Red มักจะมาพร้อมกับของที่ระลึกที่หลงเหลือจากอีกด้านหนึ่ง ไข่มุกเม็ดเดียววางบนโต๊ะข้างเตียงหรือหมอน บางทีเพื่อเตือนให้รู้ว่าเธอยังอยู่ที่นั่น

10 ไฟลึกลับที่เกิดจากผี
บางครั้งสาเหตุของเพลิงไหม้ก็ชัดเจน: การลอบวางเพลิง, การเดินสายไฟไม่ดี, บุหรี่ที่ประมาท, เด็กที่เล่นไม้ขีดไฟ แต่ในบางครั้ง ต้นกำเนิดของไฟเป็นเรื่องลึกลับ—บางทีอาจเหนือธรรมชาติ เป็นผลมาจากวิญญาณที่โกรธเกรี้ยวหรือโพลเทอร์ไกสต์ที่ทรมานคนเป็น หลอกลวงหรือหลอกหลอน? คุณเป็นผู้ตัดสิน ต่อไปนี้คือ 10 กรณีที่มหาอำนาจจากต่างโลกโทษว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้

The Hitchings หลอกหลอน (1954)
ในเมืองแบตเทอร์ซี ลอนดอน ครอบครัวฮิตชิงส์ต้องตกตะลึงเป็นเวลาสี่เดือนจากเหตุไฟไหม้และปรากฏการณ์อื่นๆ เช่น การแตะและนิ้วก้อยดึงเสื้อผ้าของพวกเขา สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการหลอกหลอนดูเหมือนจะมุ่งความสนใจไปที่ Shirley ลูกสาววัย 15 ปีของพวกเขา ในกรณีหนึ่ง เตียงของ Shirley ถูกไฟไหม้ อีกนัยหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าวิญญาณทิ้งเสื้อผ้าลงบนเตาไฟฟ้าและเปิดเครื่อง แม้ว่าจะตัดไฟที่เครื่องแล้วก็ตาม นักโพลเตอร์ไกสต์ชื่อโดนัลด์ ไล่ตาม Shirley ไปทำงานและทำให้เพื่อนร่วมงานของเธอหวาดกลัวในที่สุดแฮรี่ แฮงค์ส นักเวทย์มนตร์จัดพิธี s?anc e ในบ้าน และกิจกรรมเหนือธรรมชาติก็หยุดลง

Sasha K. เด็กชายโพลเตอร์ไกสต์ชาวยูเครน (1987)
ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน Yenakievo ในยูเครนต่างตกใจกับเด็กหนุ่มซึ่งระบุชื่อเพียงว่า Sasha K . รอบตัวเขาเกิดปรากฏการณ์ประหลาดๆ ขึ้น ซึ่งรวมถึงไฟที่เกิดขึ้นเองหลายครั้ง หลอดไฟระเบิด และแม้แต่ตู้เย็นก็พลิกตัวเองกลับหัวกลับหางเมื่อพ่อของ Sasha มีอาการทางประสาทและเพื่อนบ้านตื่นตระหนกเรียกตำรวจ เด็กชายถูกพาตัวไปมอสโคว์และตรวจสอบโดยนักฟิสิกส์ ดร. Adriankin มีคำอธิบายที่เป็นไปได้สองประการสำหรับเหตุการณ์: 1) ภายใต้การครอบครองของวิญญาณ Sasha K. กำลังปล่อยพลังงานที่ก่อให้เกิดไฟที่เกิดขึ้นเองเพื่อจุดแก๊สในสิ่งแวดล้อม หรือ 2) นักโพลเตอไกสต์เป็นผู้รับผิดชอบระยะเวลา ชะตากรรมสุดท้ายของ Sasha K. ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

ไฟผีแห่งทาร์พอนสปริงส์ (1952)
ผู้อยู่อาศัยในทาร์พอนสปริงส์เป็นเวลานาน—เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ผีสิงมากที่สุดแห่งหนึ่งของฟลอริดา—อ้างว่าทุกปีเมื่อลมมาจากทางใต้ ไฟจะเริ่มต้นขึ้นในพื้นที่ป่าเดียวกัน ไฟที่พวกเขาอ้างว่าชุดโดยผีในปีพ.ศ. 2495 "ไฟผี" ได้ทำลายพื้นที่ป่า 2,000 เอเคอร์ระหว่างชุมชนและอ่าวเม็กซิโก และประชาชนหลายร้อยคนเข้าร่วมอาสาสมัครดับเพลิงเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกไหม้จากการทำลายบ้านเรือนของพวกเขา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงชอบที่จะกล่าวโทษผู้ลอบวางเพลิง แม้ว่าจะไม่พบหลักฐานใดๆ และแหล่งที่มาของไฟยังไม่ได้รับการพิสูจน์

โรงแรมวิลโลว์ (1985)
ในยุคตื่นทองของกลางศตวรรษที่ 19 เจมส์ทาวน์ แคลิฟอร์เนียเป็นที่รู้จักในนาม "ประตูสู่แม่โลด" และโรงแรมวิลโลว์ก็ภาคภูมิใจในสถานที่นี้ แม้ว่าจะดูเหมือนมีผีสิงก็ตาม เชื่อกันว่านักโพลเตอร์ไกสต์ผู้ชั่วร้ายได้จุดไฟเผาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ถึงห้าครั้ง สิ่งที่น่าสังเกตมากที่สุดคือในปี 1985 เมื่อไฟลึกลับได้เผาอาคารและทำลายร้านค้าใกล้เคียงผู้ตรวจสอบพลังจิตและผู้ที่ได้เห็นการประจักษ์อ้างว่าโพลเตอร์ไกสต์เป็นวิญญาณที่โกรธแค้นของคนงานเหมืองที่เสียชีวิตในเหมืองทองคำที่ถล่มลงมาด้านล่างโรงแรม ผู้ร้ายอาจเป็นหนึ่งในคนที่เสียชีวิตในปี 2439 เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในเมืองและอาคารที่ถูกยึดครองเก้าหลังถูกระเบิดเพื่อช่วยโรงแรมวิลโลว์

ฟาร์มวิลลีย์ (1948)
ครอบครัว Willey ใน Macomb รัฐอิลลินอยส์ ทนไฟหลายร้อยครั้งในการทดสอบสองสัปดาห์ ซึ่งทำลายบ้านของพวกเขา ยุ้งฉางสองหลัง และทำให้โรงน้ำนมเสียหาย ไฟที่อธิบายไม่ได้เริ่มต้นจากจุดสีน้ำตาลบนวอลล์เปเปอร์ที่ลุกเป็นไฟ ในสัปดาห์ต่อมา ไฟในบ้านดับไปมากกว่า 200 แห่ง ซึ่งไม่ได้ต่อสายไฟฟ้า พิจารณาว่าสายไฟที่ผิดพลาดเป็นสาเหตุWilleys ย้ายเข้าไปอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวเพียงในเวลาเป็นวันถัดไปมากบ้านของพวกเขาถูกทำลายในเปลวเพลิง วันรุ่งขึ้น ยุ้งฉางแรกของพวกเขาถูกไฟไหม้ การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของรัฐไม่มีคำอธิบายใดๆ แม้ว่าเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เชื่อว่าไฟดังกล่าวอาจเกิดจากคลื่นวิทยุ กัมมันตภาพรังสี ก๊าซธรรมชาติ หรือ "พลังงานปรมาณู"

จุดไฟของโรงงาน Caledonia Mills (1922)
ฟาร์มของ Alexander McDonald ใน Caledonia Mills, Nova Scotia กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ไม่สามารถอธิบายได้และปรากฏการณ์โพลเตอร์ไกสต์อื่นๆ เหตุการณ์นี้มีศูนย์กลางอยู่ที่แมรี่ เอลเลน ลูกสาวบุญธรรมของครอบครัว เด็กหญิงอายุ 16 ปีพิการ มีความสามารถทางจิตเหมือนเด็กวัย 4 ขวบเหตุการณ์ที่สอบสวนโดยดร. วอลเตอร์ ปรินซ์แห่งสมาคมจิตแพทย์อเมริกันนั้นรวมถึงปศุสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในยุ้งฉางที่มีหางเป็นเปียกัน ไฟจำนวนมากที่ไม่ทราบที่มาในบ้านไร่ และคนร้ายที่มองไม่เห็นกำลังตบที่แขนของพยาน ดร.ปรินซ์เชื่อว่าแมรี่ เอลเลนทำสิ่งเหล่านี้ แต่เธอไม่รับผิดชอบ เพราะถูกครอบงำโดย

ไฟ Mthembu (2011)
ใน Hopewell ใกล้กับ Thornville ประเทศแอฟริกาใต้ บ้านหลักของครอบครัว Mthembu และทรัพย์สินของพวกเขาถูกทำลายลงในช่วงสองสัปดาห์แห่งความหวาดกลัวที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอม เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมาโชบะผู้เป็นแม่ตื่นขึ้นโดยที่เตียงของเธอติดไฟและที่นอนบางส่วนก็กินหมด เกิดไฟไหม้รุนแรงขึ้นในห้องนอนอีกสี่ห้อง แม้แต่บ้านฝั่งตรงข้ามของลูกสาวของเธอก็ถูกไฟไหม้ นักผจญเพลิงถึงกับเห็นไฟไหม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่มีผู้ตรวจสอบคนใดสามารถหาสาเหตุอย่างเป็นทางการได้ ไฟสุดท้ายโหมกระหน่ำเกินควบคุม อาสาสมัครไม่สามารถดับได้ และเผาบ้านหลังใหญ่ แต่โชคดีที่ครอบครัวทำสำเร็จทันเวลา

อลาบามาไฟ Poltergeist (1958)
Calvin Tuck ภรรยาของเขาและลูกหกคนถูกไฟไหม้เมื่อบ้านสี่ห้องของพวกเขา (ไม่ได้ต่อสายไฟฟ้า) กลายเป็นเป้าหมายของโพลเตอร์ไกสต์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ มีการจุดไฟ 52 ครั้ง บางคนเกิดขึ้นต่อหน้าผู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งกล่าวว่าไฟมีสีแดงและมีกลิ่นคล้ายกำมะถัน หนึ่งในเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดคือเมื่อก้อนขนมปังบนโต๊ะลุกเป็นไฟตามธรรมชาติเมื่อบ้านถูกไฟไหม้ที่ไม่สามารถควบคุมได้ Tucks ได้ย้ายไปยังที่อยู่อาศัยใหม่ แต่ไฟยังคงดำเนินต่อไป พวกเขาจากไปเพื่อครอบครองบ้านหลังที่สาม ไฟไหม้ห้าแห่งในวันแรกและตามมาอีก เมื่อบ้านหลังที่สี่ของพวกเขาถูกไฟไหม้ ทางการได้บังคับให้เด็กคนหนึ่งรับสารภาพ แม้ว่าพยานหลายคนจะสงสัยใน “คำสารภาพ” รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ นักดับเพลิง และนักข่าว

ไฟไหม้ผีสิงยายมาเลย์ (2011)
ในหมู่บ้านของ Kota Baru 78 ปีไซนับสุไลมานยายที่พบว่าตัวเองภายใต้การโจมตีในบ้านของเธอเองโดยผื่นของแปลกที่เกิดเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นเอง มีมากกว่า 200 ตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเกิดจากโพลเตอร์ไกสต์หรือ "จินน์" ไฟไหม้เสื้อผ้าเป้าหมายเช่นเสื้อผ้าเสื่อสวดมนต์และที่นอนปัญหาของเธอกลายเป็นที่รู้จักกันดีในพื้นที่นี้ คู่สามีภรรยาชาวอเมริกันในทัวร์มาเยี่ยมบ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือในการขับไล่วิญญาณ (ไซนับปฏิเสธ) นักเขียนชาวออสเตรเลียคนหนึ่งวางแผนที่จะเยี่ยมชม Zainab และบันทึกปรากฏการณ์ลึกลับ ในที่สุด หลังจากความพยายามของสื่อไทยและกลุ่มนักปราบผีในพื้นที่ล้มเหลวในการกำจัดโพลเตอร์ไกสต์ ปรมาจารย์นักเวทย์มนตร์ได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อขับไล่บุคคลนั้นออกไป และไฟก็หยุดลง

Flatrock Poltergeist (1954)
ไมค์ พาร์สันส์และครอบครัวต้องเผชิญความเจ็บปวดเมื่อภรรยาของเขาพบพจนานุกรมที่คุกรุ่นอยู่ในกล่องไม้—ในขณะที่ไม้รอบๆ นั้นยังไม่ไหม้ ต่อมา ถุงน้ำตาลในครัวก็ลุกเป็นไฟ แต่ไฟก็ดับทันทีที่ไมค์แตะกระสอบ เหตุการณ์ต่อมารวมถึงตุ๊กตาที่ถูกไฟไหม้โดยธรรมชาติขณะที่มันนั่งอยู่กลางพื้น กล่องไฟที่กำลังลุกไหม้และเผาร่องในลิ้นชัก และไฟที่ปะทุขึ้นที่มุมห้องนอนโดยไม่มีไฟฟ้าหรือเตาผิงการสอบสวนของ RCMP ยุติการลอบวางเพลิงโดยเจตนา แต่ไม่พบสาเหตุ หลังจากที่พระสงฆ์มาเยี่ยมบ้านและให้พรแล้ว ไฟก็หยุดลง ปรากฏการณ์ไม่เคยได้รับการอธิบาย

10 สัตว์ผีที่น่าขนลุกที่คุณไม่เคยได้ยิน
คนส่วนใหญ่สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังความตายและไม่มีปัญหาการขาดแคลนคำถามว่า หากมีสิ่งใด หลังจากการหยุดทำงานของร่างกาย มีชีวิตหลังความตายหรือไม่? เอลวิสจะอยู่ไหม? สัตว์เลี้ยงของฉันจะพบฉันไหมหากรายการต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องทำ คุณมั่นใจได้ว่าจะได้เจอ Nemo, Doggo หรือ Kitty ตัวน้อยอีกครั้ง! หวังว่าจะไม่น่ากลัวเหมือนหมาดำในเรือนจำนิวเกตหรือวิ่งวนเป็นวงกลมเหมือนผีไก่ที่พอนด์สแควร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปรโลก โปรดอย่าพบกับสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายเหล่านี้

The Ghost Bear หอคอยแห่งลอนดอน
กล่าวกันว่าผีหมีกำลังหลอกหลอน Martin Tower ที่ Tower of London ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเก็บมงกุฎเพชรเอาไว้ คืนหนึ่งในปี พ.ศ. 2359 ยามรักษาการณ์เห็นหมีตัวใหญ่และพุ่งเข้าใส่มันด้วยดาบปลายปืนของเขา ในเวลานั้น หอคอยมีสวนสัตว์ของตัวเอง ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปที่สวนสัตว์ลอนดอนและสวนสาธารณะรีเจ้นท์ในช่วงทศวรรษ 1830 เขาอาจจะคิดว่าหมีตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในโรงเลี้ยงสัตว์ได้หนีไปแล้ว!ดาบปลายปืนทะลุเข้าไปในหมีและกระโจนเข้าไปในป่าหลังประตูจนต้องอาศัยชายสองคนถอดมันออก การปรากฏตัวจางหายไปหลังจากที่ยามโจมตีมัน ยามเป็นลมเพราะช็อกและเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมา

The Phantom Horse of Bryn-Y-Maen North Wales
ม้าขาวตัวหนึ่งตามหลอกหลอนถนนหลังเมือง Bryn-y-maen ทางเหนือของเวลส์ รถคันนี้ถูกพบเห็นสองครั้งโดยผู้คนต่างกัน ครั้งแรกโดยชายคนหนึ่งขับรถอยู่ด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตำรวจหยุดรถ เนื่องจากรถของเขาไม่ได้ถูกเก็บภาษี ดอว์นเสียแล้ว และเขากำลังขับรถไปที่ถนน ทันใดนั้น ม้าขาวตัวใหญ่มาเหนือรั้ว และเขาคิดว่ามันจะชนฝากระโปรงรถของเขา: “มันเต็มกระจกหน้ารถ!” รถหมุนไปขณะที่เขาเหยียบเบรก แต่ในขณะเดียวกัน ม้าก็หายวับไปในโอกาสที่ 2 สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังขับรถไปตามถนนเส้นเดียวกันและใกล้จะลงน้ำ อีกครั้ง ม้าขาวมาเหนือรั้ว แต่หายไปขณะเหยียบเบรก คำอธิบายที่เป็นไปได้หรืออย่างน้อยก็เงื่อนงำที่ได้รับการเสนอคือเรื่องราวของกะโหลกม้าขนาดใหญ่ที่ถูกพบขณะกำลังซ่อมแซมถนน แต่ไม่มีใครสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้

The Chicken Ghost Of Pond Square London
วันที่อากาศหนาวเย็นวันหนึ่งในปี 1626 เซอร์ฟรานซิส เบคอน กำลังเดินผ่านจัตุรัสพอนด์ในรถม้าของเขากับเพื่อน เบคอนกำลังโต้เถียงกับแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการเก็บรักษาอาหาร ซึ่งแทนที่จะใช้เกลือเนื้อ มันอาจจะเป็นไปได้ที่จะทำให้มันเย็นจนไม่เสื่อมสภาพ เพื่อนของเขาซึ่งเป็นแพทย์ของกษัตริย์ไม่เห็นด้วย แต่กระนั้น เบคอนก็ได้ไก่ที่ฟาร์มไฮเกทในท้องถิ่น ดึงและทำความสะอาด แล้วบรรจุด้วยหิมะทั้งภายในและภายนอก น่าเสียดายสำหรับเบคอน การจู่โจมของเขาในอากาศหนาวเย็นกลายเป็นโรคปอดบวมซึ่งทำให้เขาหมดสติไม่นานหลังจากที่เขาเสียชีวิต มีรายงานข่าวว่าไก่ถูกดึงครึ่งตัววิ่งไปมาที่ Pond Square ไก่จะถูกกล่าวหาว่าหายตัวไปเมื่อมีคนพยายามเข้าใกล้และการพบเห็นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2ผู้คุมพยายามที่จะจับมัน แต่มันวิ่งทะลุกำแพงเพื่อหนี ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้ยินสิ่งที่ฟังดูเหมือนเป็นรถม้าและม้า แต่ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากไก่ที่วิ่งวนเป็นวงกลม คู่รักคู่นี้เคยขโมยจูบราตรีสวัสดิ์กันที่ประตูทางเข้าใกล้ๆ กันในช่วงทศวรรษ 1970 เช่นกัน

The Merrivale Pigs ดาร์ตมัวร์
แม่มดผีและลูกสุกรของเธอตามหลอกหลอน Merripit Hill มาเป็นเวลา 200 ปีแล้ว ตามตำนานเล่าขาน ในคืนที่มีหมอกหนาเมื่อคุณเดินไปตามถนนคุณอาจสะดุดข้ามพวกเขาไปที่ Cator Gate ด้วยความหิวโหยและค้นหาอาหาร ตามตำนานเล่าว่าแม่สุกรและลูกสุกรรู้ว่าหากพวกเขาเดินทางไปที่ประตู Cator พวกเขาจะพบม้าที่ตายแล้วกิน แต่เมื่อมาถึง ม้าก็ถูกกาเก็บมาทำความสะอาดแล้วสุกรจะกล่าวว่าพูดมากเกินไป! ลูกสุกรร้องว่า “กินกระดูก แล่กระดูก!” ซึ่งแม่สุกรตอบว่า “เลิกโกหกเถอะ เลิกโกหกเถอะ” กลับขึ้นไปบนทุ่งเพื่อค้นหาอาหาร ปรากฏขึ้นอีกครั้งในตอนกลางคืนมีหมอกและมืด

กระต่ายขาวแห่ง Thetford Warren Lodge Thetford Warren Lodge สร้างขึ้นบน Brecks ซึ่งเป็นภูมิประเทศเก่าแก่และป่าเถื่อนใน Norfolk ที่ซึ่งเกษตรกรยุคก่อนประวัติศาสตร์เคยเลี้ยงแกะและกระต่าย ที่พักนี้สร้างขึ้นในปี 1400 โดยพระภิกษุที่อยู่ใกล้เคียงใน Cluniac Priory เพื่อเป็นที่พำนักของ Warrener ชายผู้รับผิดชอบในการดูแลและจับกระต่ายบน Brecks เพื่อเป็นอาหารและผิวหนังของพวกมัน Brecks เต็มไปด้วยโพรงกระต่ายขนาดเล็กกล่าวกันว่ากระต่ายสีขาวขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่มีดวงตาสีแดงเป็นประกายนั้นตามหลอกหลอนที่พักและเป็นลางบอกเหตุถึงความตายแก่ผู้ที่โชคร้ายที่ได้เห็นมัน บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลโรคเรื้อนเก่าของเซนต์มาร์กาเร็ตที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งถูกค้นค้นเพื่อหาเงินและเผาทิ้งที่พื้นในปี ค.ศ. 1304

หมาดำแห่งเรือนจำนิวเกต ลอนดอน
Newgate Prison เคยยืนอยู่ข้าง Old Bailey และเคยเป็นบ้านของสุนัขล่าเนื้อเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นลางบอกเหตุของความโชคร้าย นักโทษคนหนึ่งในเรือนจำเขียนเกี่ยวกับหมาตัวนี้ในปี ค.ศ. 1596 และเล่าว่าในช่วงที่เกิดความอดอยากครั้งใหญ่ในลอนดอน ผู้ต้องขังในเรือนจำได้หันไปกินเนื้อคนเพื่อมีชีวิตอยู่ ในเวลานี้นักปราชญ์คนหนึ่งถูกคุมขังโดยถูกกล่าวหาว่าเป็นเวทมนตร์และไม่นานเขาก็มาถึงกว่าที่เขาถูกครอบงำโดยคนที่แข็งแรงกว่าและถูกกินไม่นานหลังจากนั้น ผู้ต้องขังก็เริ่มเห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินเตร่ไปตามทางเดินอันมืดมิด และทีละคน แต่ละคนที่กินนักวิชาการคนนั้นก็ถูกสัตว์ร้ายล่าและฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อจำนวนลดน้อยลงเหลือเพียงไม่กี่คนที่กินนักวิชาการ พวกเขาก็ตกใจกลัวและรีบออกจากคุกเพื่อหนี ว่ากันว่าไม่มีใครหนีรอดไปได้จริงๆ และสุนัขตัวสุดท้ายเหล่านั้นก็ถูกพบโดยสุนัขและพบกับชะตากรรมเดียวกันกับเพื่อนร่วมห้องขังของพวกเขา

แมวปีศาจแห่งแคปิตอล ฮิลล์ วอชิงตัน ดีซี
อาคารแคปิตอลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้เห็นประวัติศาสตร์อันน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้น แต่บางคนอาจบอกว่าไม่น่าเหลือเชื่ออย่างที่แมวปีศาจบอกว่าจะเดินไปที่ห้องโถงในตอนกลางคืน ในช่วงหลังสงครามกลางเมือง คนเฝ้ายามกลางคืนเริ่มเห็นแมวดำตัวหนึ่งที่ตัวใหญ่ขึ้นเมื่อเดินเข้าไปหาพวกเขา ชายคนหนึ่งบอกว่ามันโตจนโตพอๆ กับเสือ แล้วเมื่อมันกระโจนเข้าจู่โจม เขายกแขนขึ้นด้วยความกลัวว่าจะถูกป่าเถื่อน แต่เมื่อเขาล้มลงและไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของแมว เขาก็ลดแขนลงและพบว่ามันหายไปแล้วเรื่องราวดังกล่าวอาจเป็นเพียงเสียงอึกทึกของคนยามราตรีที่ขี้เมาซึ่งอาจเป็นเพียงเพื่อนที่ประณามจากชายผู้มีอำนาจซึ่งต้องการงานง่าย ๆ หรือไม่? คุณอาจคิดอย่างนั้น ยกเว้นว่าเมื่อเทคอนกรีตเพื่อเปลี่ยนพื้นบางส่วนหลังจากการระเบิดของแก๊สในปี 1898 พบรอยอุ้งเท้าที่สมบูรณ์แบบหกถึงแปดรอยเว้า

The Black Cat Of The Hellfire Club ไอร์แลนด์
ด้านนอกของดับลินในเทือกเขาวิคโลว์คือ Hellfire Club ซึ่งเป็นกระท่อมล่าสัตว์ที่ตั้งอยู่บนเนินฝังศพโบราณ ว่ากันว่า Speaker Conolly ผู้สร้างกระท่อมใช้หินยืนจากกองหินเป็นทับหลัง สโมสรซึ่งก่อตั้งโดย Richard Parsons ในปี 1735 เป็นที่รู้จักในเรื่องลัทธิซาตานและสมาชิกที่ฝึกมนต์ดำ แมว (และบางคนบอกว่าเป็นทาส) ถูกสังเวยให้กับมารเรื่องราวที่โด่งดังเรื่องหนึ่งเล่าถึงผู้มาเยือนในพื้นที่ในคืนหนึ่งเพื่อเยี่ยมชมที่พักแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่น่าสนใจและลึกลับเช่นนี้ เขาถูกพบเป็นศพในเช้าวันรุ่งขึ้น และโฮสต์ของเขาคิดด้วยความสยดสยองว่าเขาต้องถูกสังหารที่ Hellfire Club ในตอนกลางคืน เขาไปกับบาทหลวงในท้องที่เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเขามาถึงเฮลล์ไฟร์คลับ พวกเขาพบการจัดงานเลี้ยงที่ยอดเยี่ยมและมีแมวดำเดินเข้ามาในห้อง มันใหญ่โตและหูของมันมีรูปร่างเหมือนเขา นักบวชเทน้ำมนต์ใส่แมว ซึ่งเป็นกรรมที่ฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อนักบวชออกไปข้างนอก เขาพบศพของผู้ตายนอนอยู่บนพื้นหญ้าโดยมีคอและใบหน้าของเขาเกาอย่างลึกล้ำด้วยกรงเล็บอันทรงพลังเท่านั้น

The Ghost Dog Of Airth Castle Scotland
ปราสาท Airth มีอายุย้อนไปหลายศตวรรษและมีสุสานเก่าแก่อยู่ด้านนอก เท่านั้นยังไม่พอ ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผี ! หนึ่งในสุนัขที่โด่งดังที่สุดคือสุนัขที่จะจิกข้อเท้าของคุณหากคุณไม่ระวังเขา บางทีเร็กซ์ตัวน้อยอาจเป็นของเด็กคนหนึ่งที่ถูกไฟคลอกตายพร้อมกับพี่เลี้ยงของพวกเขาในปี ค.ศ. 1800 หรือเขาอาจจะเป็นผู้ช่วยตัวน้อยของนายบ้านก็ได้?

The Owl At Arundel Castle Sussex
ปราสาท Arundel เปิดอย่างเป็นทางการในวันคริสต์มาสในปี 1067 ซึ่งเป็นที่อยู่ของราชวงศ์และขุนนางจำนวนมาก โดยมีความเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่น Richard the Lionheart และ King Henry IIเช่นเดียวกับผีในเผ่าพันธ์ุมนุษย์จำนวนหนึ่ง บางครั้งการประจักษ์ที่บางครั้งเห็นคือนกเค้าแมวขาวที่บินอยู่รอบหน้าต่างของปราสาท ทุกครั้งที่มีผู้พบเห็น ผู้ที่อาศัยอยู่ในปราสาทหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารและผู้อยู่อาศัยในปราสาทนั้นเสียชีวิตภายใต้สถานการณ์ลึกลับ เฮ็ดวิกไม่เคยได้ข่าวแบบนี้!

10 สุดยอดองค์ประกอบเรื่องผีที่สอดคล้องกัน
เราทุกคนรักเรื่องผีที่ดีใช่มั้ย? อะไรจะดีไปกว่าการนั่งอยู่รอบๆ กองไฟ ไฟฉายที่เล็งขึ้นไปข้างบน ฉายเงาที่น่าขนลุกไปทั่วใบหน้าของคุณและให้แสงสว่างแก่เหล่านักเลงที่ไม่มีใครมีใจจะบอกคุณ อะไรจะดีไปกว่าการนั่งซ้อนในรถที่เล็กเกินไปกับเพื่อนๆ ที่ตัวใหญ่กว่าและขับรถไปที่สะพานนั้นที่พ่อแม่เล่าให้คุณฟัง? คุณรู้ไหม ที่ที่พ่อมักจะแน่นแฟ้นของคุณใช้เวลาหลายคืนที่ผจญภัยอย่างไม่เคยมีมาก่อน อะไรจะดีไปกว่าการเอาแต่โวยวายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เบาะหลังซึ่งกำลังส่งวิญญาณ "ผู้ชายหันหลังกลับเรากำลังจะถูกจับ" แม้ว่าเขาจะกลัวอย่างชัดเจนว่าคนอื่นหวังอย่างยิ่งว่าจะเกิดขึ้น ? อะไรจะดีไปกว่าการถูกตำรวจลากตัวไปในคืนที่ยาวเกินไป ใครกำลังเขียนตั๋วให้คุณเพราะมีคนอยู่ในรถมากเกินไป ครึ่งหนึ่งไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย หายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดกับฉัน: “ว้าว ความทรงจำ!แต่สำหรับเรื่องราวผีที่เป็นต้นฉบับและน่าขนลุกทุกเรื่องที่คุณได้ยิน มีอีก 10 เรื่องที่คุณได้ยินเสียงนั้นค่อนข้างเหมือนกัน เช่น "เรามีเรื่องราวเหมือนในเมืองของเรายกเว้น…” เหมือนกัน เรื่องราวทุกเรื่องมีแก่นแท้ของความจริง แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนกับว่าเคอร์เนลนั้นถูกโคลนทางพันธุกรรมจากเคอร์เนลในอีกสถานะหนึ่ง ทำให้เกิดเรื่องผีโคลนข้าวโพด 10 องค์ประกอบที่พบบ่อยที่สุดในโลกเรื่องผี

ชื่อเล่นน่าขนลุก
พนักงานรถไฟหัวขาดที่เดินเตร่ในอุโมงค์เพื่อค้นหาหัวที่หายไปนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ไปตามชื่อของเขาในชีวิต หลังจากการสวรรคต วิญญาณของเขาต้องรับเอาชื่อเล่น ซึ่งจะทำให้ bejeezus กลัววัยรุ่นที่กำลังมองหาเขา ฉันหมายถึงไม่มีใครชอบผีที่น่าเบื่อใช่ไหม ตอนนี้อัลเลนต้องขึ้นศาลเพื่อเปลี่ยนชื่อของเขาอย่างถูกกฎหมาย อเลนต้องไปแล้ว นอกจากนี้ คุณดูเหมือน Headless Hank หรือ Decapitated Dale มากกว่า

อากาศกำลังดี
คนงี่เง่าส่วนใหญ่ที่คลางแคลงใจที่นั่นจะโต้แย้งว่าปัญหาสภาพอากาศทั้งหมดมีอยู่เพียงเพื่อให้ผู้เชื่อและผู้ตามตำนานมีแพะรับบาปเมื่อคุณปรากฏตัวและผีไม่ได้ คลางแคลงโง่ ตรรกะมีไว้สำหรับเด็ก! ไม่ เป็นที่ชัดเจนว่าผีชอบสภาพอากาศที่แน่นอน ฉันหมายถึงอาจจะแสดงมันด้วยใช่มั้ย? หรือผีบางตัวปรากฏตัวได้ง่ายขึ้นในช่วงเช้าที่มีหมอกหนา หรือในช่วงพระจันทร์เต็มดวงที่มีเงามืดมาก หรือดวงจันทร์ใหม่ที่ไม่มีแสงเลย วางใจในการมองเห็นรอบข้างของคุณ เงาที่คลุมเครือหรือรูปร่างแปลก ๆ ในหมอกที่คุณแทบจะมองไม่เห็นคือผีที่ออกมาสนุกกับสภาพอากาศ

ผลของการสังหารหมู่
หลังจากพูดคุยกับซาตาน Joe Axe-Murderer ขึ้นรถปิกอัพอายุ 20 ปีของเขา พบรถโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กกำพร้าไร้บ้าน และแฮ็กพวกเขาทั้งหมดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นหินจนไม่มีเด็ก 30 คนใดคิดที่จะถอดและขอความช่วยเหลือ พวกเขาทั้งหมดเพียงแค่ดูโจแฮ็คพี่น้องของพวกเขา และรอตาของพวกเขา เหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าวจะทิ้งรอยประทับบนผืนผ้าแห่งความเป็นจริงใช่ไหม? แน่นอน! ดังนั้นเมื่อคุณกำลังขับรถไปตามถนน ให้พยายามเงี่ยหูฟังเสียงกรีดร้องของเหยื่อหรือผีของชายชราตัวมอมแมมที่แอบมองคุณจากพุ่มไม้

เหยื่อฆ่าตัวตาย
ลินดา เอ็กซ์เป็นสาวซึมเศร้า อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 18 เมื่อเห็นได้ชัดว่าเด็กสาวที่ฆ่าตัวตายนั้นน่าสลดใจมากกว่า (อย่าถามเลย ฉันไม่รู้) เมื่อเธอเดินไปตามถนน เธอมีเชือกยาวและกำลังเดินไปที่สะพานที่มีหลังคาของเมือง สะดวกไม่มีใครสังเกตเห็นเธอออกจากบ้านหรือเดินไปที่สะพานในมือ ขึ้นไปบนเชือก ลงมาจากลินดา และตอนนี้คุณสามารถเห็นมันทั้งหมดด้วยการย้อนรำลึกถึงสิ่งตกค้าง! สิ่งที่คุณต้องมีคือสะพานที่ปกคลุมและละเลยอารมณ์โดยสิ้นเชิงต่อการตายที่ทำร้ายตัวเองของหญิงสาวในสมัยโบราณ

เวลาและวันที่ระบุ
เลิกสงสัยเรื่องนี้เพราะถูกกฎหมาย วิญญาณบางตัวมีงานยุ่งและสามารถแสดงได้เฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น คุณสามารถซื้อตั๋วได้เพราะงานแบบนี้รับประกันว่าจะดึงดูดวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่าที่ฉันมีในบทแนะนำ และถ้าคุณไม่เห็น นั่นเป็นเพราะผีถูกผู้ชมจำนวนมากกลัว ไม่ใช่เพราะมันไม่มีอยู่จริง

คืนแต่งงาน
คืนแต่งงานในอุดมคติมักไม่เกี่ยวข้องกับความตาย แต่ถ้าคุณอยากเป็นผี/ตำนานท้องถิ่น นี่คือช็อตที่ดีที่สุดของคุณ และขออภัยเพื่อน ๆ นี้ไปสำหรับเจ้าสาวเท่านั้น ผู้หญิงในชุดสีขาวน่ากลัวกว่าผู้ชายในชุดทักซิโด และผู้หญิงที่เสียชีวิตในคืนวันวิวาห์นั้นน่าสลดใจมากกว่าผู้ชาย เพราะจริงๆ แล้วผู้หญิงต้องการมัน และผู้ชายส่วนใหญ่จะบอกคุณว่าพวกเขาตายในความหมายที่แท้จริงน้อยกว่ามากในวันแต่งงานของพวกเขาอยู่ดี คุณไม่เห็นเราร้องไห้ตามถนนเพื่อให้วัยรุ่นดูถูก เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าสถานภาพการสมรสของคุณหรือวันที่เกี่ยวกับวันแรงงาน ผีผู้หญิงล้วนสวมชุดเดียวกันไปงานพรอม

รอยมือปีศาจ
เด็ก ๆ ต้องสัมผัสทุกอย่างแม้หลังจากที่พวกเขาตายไปแล้ว คุณทาแป้งเล็กน้อยบนรถของคุณ เยี่ยมชมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถูกไฟไหม้ และเมื่อคุณกลับมาจากการถ่ายภาพ ฝุ่นเล็กๆ น้อยๆ ก็มีกลิ่นมือเหม็นไปทั่วรถของคุณ! ไม่สำคัญว่าคุณจะไปที่ไหน เหมือนกับว่าเด็ก ๆ ที่งอนง่ายเหล่านี้ไม่เคยเห็นรถมาก่อน และเห็นได้ชัดว่าพื้นผิวนั้นน่าทึ่งมากหลังจากที่คุณกัดฝุ่น เด็กไม่มีการพิจารณาบางครั้ง

กลิ้งลง Windows
ฉันสงสัยว่าคนนี้ถูกคิดขึ้นโดยฆาตกรต่อเนื่องที่เชื่องช้าและโชคไม่ดี ที่ไม่สามารถวิ่งขึ้นไปและมีดคนก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ยางรถกรีดร้อง แต่ฉันอาจคิดผิด บางทีมันอาจเป็นเรื่องยากมากที่จะกระซิบเสียงกระซิบจากเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์ บางทีก็น่ารำคาญที่ต้องปิดไฟหน้ารถ บางทีคุณอาจจะมีเรื่องมากมายจะพูด แต่คุณรู้ทันทีที่คุณเริ่มพยายามพูดกับพวกเขา พวกเขาจะหลุดออกมา ดังนั้นคุณจึงสงวนความพยายามที่น่ากลัวไว้จนกว่าพวกเขาจะดับรถ หรือคุณเป็นแค่ไอ้หนูเจ้าเล่ห์ที่กำลังเตรียมเหยื่อสำหรับรายการที่ 2

รถสตาร์ทไม่ติด
โอเค อย่างแรกเลย ผีปฏิเสธที่จะปรากฏตัว เว้นแต่คุณจะดับรถ จากนั้นพวกเขาจะไม่ยอมให้คุณจากไป ผีอาจเป็นหนามในบางครั้ง พวกมันจะไม่โพสท่าถ่ายรูป แต่พวกมันจะทำร้ายเครื่องยนต์ของคุณ และผีส่วนใหญ่ไม่ตายในทศวรรษ 1700 หรือ 1800 หรอกหรือ? พวกเขารู้วิธีการรื้อรถได้อย่างไร? ไม่เป็นไรฉันเดา พวกเขาแค่รอจนกว่าคุณจะเป็นไม่กี่วินาทีจากการมีโป่งพองแล้ว BAM! รถของคุณใช้งานได้อีกครั้ง

คนโบกรถหาย
ใครจะรู้ว่าทำไมคนตายเหล่านี้ถึงต้องการขี่รถตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่ขอบคุณหรืออะไรทั้งนั้น คุณเห็นพวกเขาด้วยนิ้วโป้ง และคุณแบบว่า “เฮ้ ดูเหมือนผู้หญิงในชุดขาวที่ปัดมาสคาร่าของเธอวิ่งจะขี่ได้!” เธอจะไม่คุยกับคุณตลอดเวลา ยกเว้นบอกคุณว่าจะไปที่ไหน และด้วยเหตุผลบางอย่าง สิ่งนี้จะไม่ทำให้คุณประหลาดใจ นังตัวเมียจะจ้องตรงไปข้างหน้า ไม่เริ่มบทสนทนา ไม่พูดขอบคุณ ไม่เสนอให้จ่ายน้ำมัน ไม่มีอะไรเลย จากนั้นเมื่อคุณเกือบจะถึงที่หมาย เธอก็แค่มัดคุณไว้ คุณมองไปและ *อึ* เธอจากไปแล้ว คุณโน้มน้าวใจตัวเองว่าเธอต้องกระโดดออกไป หรือว่าคุณเป็นแค่ภาพหลอน แต่ไม่มีร่างกายสาดน้ำบนทางเท้า และคุณก็ไม่ทำกรดตกตั้งแต่คอนเสิร์ตนั้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว…. บางสิ่งมีกลิ่นคาว ดังนั้นคุณไปที่บ้านของเธอ บอกพ่อแม่ของเธอว่าคุณกำลังพาเธอไปและพวกเขาบอกคุณว่าเธอตายมา 6 ปีแล้ว! Geesh คงจะดีถ้าเธอบอกคุณอย่างนั้น

10 สถานที่ล่าผีที่น่าขนลุก
ขณะค้นคว้าหนังสือHaunted Asylums, Prisons และ Sanatoriums ของเรา (พร้อมสำหรับการซื้อออนไลน์ - ลิงก์ในคำอธิบายชีวประวัติในตอนท้าย) ผู้เขียนร่วม Sam Queen และฉันมีรายชื่อสถานที่ล่าผีที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและเวลา จึงไม่สามารถรวมทุกสถานที่ที่เราต้องการเยี่ยมชมได้ ด้านล่างนี้ฉันแสดงรายการตัวเลือก 10 อันดับแรกของเราสำหรับการล่าผีในที่สาธารณะที่ไม่ได้ทำหนังสือเล่มนี้ฉันยังขอแนะนำให้ผู้อ่านสำรวจเว็บไซต์ของแต่ละสถานที่เพื่อค้นหากิจกรรมการล่าที่ไม่ใช่ผีที่อาจดึงดูดใจคุณ บ่อยครั้ง สถานที่เหล่านี้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดำเนินการโดยมูลนิธิเพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์อาคารเก่าแก่ วิธีที่ง่ายและคุ้มค่าสำหรับประชาชนในการสนับสนุนของพวกเขาคือการทัวร์ประวัติศาสตร์ ทัวร์ถ่ายภาพ หรือเข้าร่วมชั้นเรียนที่สถานที่ให้บริการ เมื่อฉันได้พูดชิ้นส่วนของฉันแล้ว ไปเก็บอุปกรณ์ผีของคุณแล้วไปล่าสัตว์กัน

โรงพยาบาล Rolling Hills Asylum East Bethany, New York
โรลลิง ฮิลส์เคยเป็นสถานสงเคราะห์คนทำงานซึ่งมีส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของอาคารย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2371 ได้เห็นผู้พักอาศัยที่โชคร้ายเป็นสัดส่วน และยังทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลบ้าอีกด้วย เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันกลายเป็นบ้านพักคนชราก่อนที่จะปิดตัวลงในปี 1974 นี่เป็นการล่าผีครั้งแรกที่ฉันกับแซมเคยเข้าร่วม และจุดประกายความคิดสำหรับหนังสือของเรา เราพบกับเงาที่คลานเข้ามาหาเราที่โถงทางเดินชั้นสอง รวบรวมEVPและเห็นไฟฉายเปิดและปิดเอง นี่คือสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีชื่อเสียงและได้รับการจัดทำเป็นเอกสารอย่างดีและนักล่าผีจะสามารถเข้าถึงอาคารได้อย่างเต็มที่ และแม้กระทั่งใช้เวลาอยู่ในห้องเก็บศพ ลองนึกถึงวิญญาณที่น่าสงสารเหล่านั้นที่เก็บไว้ในนั้นตลอดฤดูหนาว ซึ่งไม่สามารถฝังได้จนกว่าพื้นดินจะละลายอดีตผู้อยู่อาศัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Rolling Hill คือ Roy Crouse ซึ่งก่อตั้งโดยครอบครัวของเขาเมื่ออายุประมาณ 12 ปีและเสียชีวิตที่นั่นเมื่ออายุ 52 ปี Roy ถูกคิดว่าต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะยักษ์และเงาขนาด 2.3 เมตร (7.5 ฟุต) ของเขาถูกมองเห็นทั่วทั้งอาคาร แม้ว่าฉันจะไม่เชื่อว่าฉันเห็นรอย แต่ฉันมีประสบการณ์แปลก ๆ สองอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับเขา ครั้งแรกคือระหว่างการเยี่ยมชมสถานที่ ไม่มีใครอยู่ข้างหลังฉัน แต่ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างบีบชิ้นเนื้อที่ด้านหลังแขนซ้ายของฉัน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เราอยู่ในห้องสีเขียว ซึ่งเจ้าของ ชารอน คอยล์ กำลังแสดงให้เราเห็นวิธีใช้อุปกรณ์ล่าผีที่เรียกว่ากล่องของแฟรงค์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้สื่อสารกับคนตายได้ ฉันตั้งคำถามว่า “รอย เธอหนีบฉันชั้นบนหรือเปล่า” คำตอบมาจากวิทยุทันที: “แจ็คเก็ตสีเขียว คนแคระ” ฉันสวมแจ็กเก็ตสีเขียว และตัวฉันสูงเพียงเมตรครึ่ง (ห้าฟุต) เห็นได้ชัดว่าคนแคระในสายตาของรอย

Peoria Asylum Bartonville รัฐอิลลินอยส์
Peoria Asylumย้อนหลังไปถึงปีพ.ศ. 2439 เปิดให้บริการทัวร์ประวัติศาสตร์ การทัศนศึกษาเหนือธรรมชาติ และการล่าผีที่ดำเนินการโดยมูลนิธิ Save The Bowen เราไม่เคยทำมันออกมาเพื่อสิ่งนี้ แต่มันก็ยังอยู่ในรายการความปรารถนาของเราเรื่องราวที่ฉันโปรดปรานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพีโอเรียมาจากหนังสือของไมเคิล ไคลน์ ชื่อHaunting Illinoisซึ่งเล่าเรื่องราวของเอ. บุ๊คไบน์เดอร์ (“Old Book”) ผู้ป่วยที่นั่นในต้นทศวรรษ 1900 ได้รับมอบหมายให้ทำงานเกี่ยวกับรายละเอียดการฝังศพโดยดร. จอร์จ เซลเลอร์ เรื่องนี้เล่าว่า Old Book คร่ำครวญถึงวิญญาณทุกดวงที่เขาฝังไว้ เมื่อ Old Book เสียชีวิตในที่สุด Dr. Zeller เขียนว่าผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ 400 คนได้เห็นภาพลักษณ์ที่น่ากลัวของเขา "ไว้ทุกข์ในงานศพของเขาเอง" เมื่อเร็วๆ นี้ โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ออกรายการทีวีเรื่อง "Ghost Hunters" และมีกล้องจับภาพขณะเดินผ่านสุสาน พวกเขาจับวิญญาณของ Old Book หรือไม่?

โรงพยาบาล Old South Pittsburg South Pittsburg รัฐเทนเนสซี
นี่เป็นสถานที่ผีสิงชื่อดังแห่งที่สองที่แซมกับฉันสืบสวน โรงพยาบาลเป็นสถานวิจัยมากกว่าสถานที่สำหรับผู้แสวงหาความตื่นเต้นที่จะเข้ามาและตามล่าผี สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Old South Pittsburg แตกต่างออกไปคือห้องพยาบาลเก่าที่จัดไว้โดยเฉพาะเพื่อให้พนักงานสอบสวนใช้ตลอดการเข้าพัก คุณจะต้องนำถุงนอนไปด้วย แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีเตียงให้คุณนอนด้วย! ฉันขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณพาคนอื่นมาด้วย แต่ให้กลุ่มของคุณมีขนาดเล็กเพื่อเพิ่มประสบการณ์วันหยุดสุดสัปดาห์ของคุณที่นี่ ฉันถูกดึงดูดไปที่ชั้นสามโดยเฉพาะ รอบห้องผ่าตัดและแผนกจิตเวช เรื่องราวที่ดีที่สุดบางส่วนที่ออกมาจากสถานที่นี้เกี่ยวข้องกับการบันทึกสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังสนทนากันเองเกี่ยวกับนักล่าผี อย่าลืมขอดูรถที่จอดอยู่ในโรงพ
ยาบาลด้วย

เรือนจำรัฐทางตะวันออก ฟิลาเดลเฟีย เพนซิลเวเนีย
นี่คือบ้านเก่าของ Al Capone และห้องขังเก่าของเขายังคงแต่งกายเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา Eastern State เปิดประตูในปี พ.ศ. 2372 และกักขังนักโทษแต่ละคนไว้ในห้องขังของตนเอง แม้ว่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่โมเดลนี้กลับทำให้ผู้ต้องขังหลายคนเสียสติ Charles Dickens ไปเยี่ยมเรือนจำในปี 1842 และทำรายการต่อไปนี้ในบันทึกส่วนตัวของเขา: “ในเจตนารมณ์นั้น ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้มีความกรุณา มีมนุษยธรรม และมีความหมายสำหรับการปฏิรูป แต่ฉันเชื่อว่าผู้ที่ออกแบบระบบนี้ของวินัยในเรือนจำและสุภาพบุรุษผู้ใจดีที่ดำเนินการนี้ไม่ทราบว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่…. ฉันถือนี้ช้าและทุกวันยุ่งกับความลึกลับของสมองเพื่อ เลวร้ายยิ่งกว่าการทรมานร่างกายใดๆ และเพราะสัญญาณและสัญญาณที่น่าสยดสยองของมันนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…และมันกรรโชกเสียงร้องไม่กี่อย่างที่หูของมนุษย์จะได้ยิน เหตุฉะนั้นข้าพเจ้ายิ่งประณามว่าเป็นการลงโทษอย่างลับๆ ที่มนุษย์ที่หลับใหลไม่ตื่นขึ้น”จับคู่สิ่งนี้กับการฆาตกรรม "ทั่วไป" การทรมาน และการฆ่าตัวตาย พร้อมกับความเชื่อของนักโทษว่าถ้าคุณตายในคุกวิญญาณของคุณจะถูกขังอยู่ที่นั่นและคุณมีสิ่งหลอกหลอน Gary Johnson ช่างทำกุญแจที่ Eastern State ได้พูดอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวของเขาที่นั่น รวมถึงการเห็นร่างเงาที่พุ่งไปมาระหว่างห้องขัง

Pennhurst Asylum Spring City รัฐเพนซิลเวเนีย
สมาคมอาถรรพณ์เพนน์เฮิร์สต์เพิ่งเปิดอาคารเมย์แฟร์สำหรับการล่าผีในที่สาธารณะในปี 2556 บ้านเด็กที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ถูกปิดในที่สุดในปี 2530 หลังจากคดีในศาลหลายคดีและรายการโทรทัศน์โดยบิล บัลดินี เปิดเผยถึงระดับของการละเมิดที่เกิดขึ้นหลังประตูบ้าน เนื่องจากสภาพที่น่าสยดสยองที่เด็ก ๆ ได้สัมผัสจึงไม่ยากที่จะเชื่อว่ามีพลังงานตกค้างจำนวนมากที่เหลืออยู่ในอาคาร สิ่งที่รบกวนจิตใจอย่างแท้จริงคือการจินตนาการว่าวิญญาณของเด็ก ๆ ยังคงติดอยู่ที่นั่น e-zine แปลก NJเล่าเรื่องราวของกลุ่มสืบสวนอาถรรพณ์ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ นักดับเพลิง และนาวิกโยธิน ชายทั้งสามอ้างว่าเห็นร่างเต็มตัวของหญิงสาวในชุดพยาบาล เพนน์เฮิร์สต์ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่มีสิ่งกีดขวางในตอนกลางคืนเท่านั้น ผู้คนเดินออกจากอาคารเควกเกอร์โดยมีรอยขีดข่วนใหม่ และมีเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุที่ถูกโยนทิ้ง

Hillview Manor New Castle, เพนซิลเวเนีย
บ้าน Lawrence County Home for the Aged เปิดประตูในปี 1926 ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Hill View Manor สถานที่แห่งนี้เคยถูกนำเสนอในรายการโทรทัศน์อาถรรพณ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบางรายการ และเป็นที่ตั้งของผู้ป่วยลึกลับจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิต (รวมถึงการฆ่าตัวตาย 12 ราย ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่กระโจนเสียชีวิตจากหลังคา) นักท่องเที่ยวยังสามารถเยี่ยมชมสุสานด้านหลังได้เจ้าของขนมบรานิฟฟ์ได้ร่วมเปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวของเธอกับวิญญาณที่ Hillview และได้กล่าวว่าแม้กระทั่งว่าเธอได้รับตามบ้านโดยผี ปัจจุบันเธอกำลังวางแผนที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ในอาคารหลังเก่าเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งที่ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับ Hillview มาจากการสืบสวนเรื่อง "Ghost Adventures" ซึ่งใช้อุปกรณ์ PX เพื่อพยายามติดต่อกับผี หลังจากคืนอันยาวนานโดยไม่ได้ถูกโจมตีบนอุปกรณ์ ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งชื่อเอลี ซารี ผู้ซึ่งพยายามจะบอกเล่าเรื่องราวการตายของเขาให้พวกเขาฟัง เห็นได้ชัดว่า Saari ออกจากคุกและไปอยู่ที่ห้องใต้ดินของ Hillview ซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยอาการมึนเมา หากสิ่งนี้เป็นจริง อาจเป็นทั้งความหวังและน่ากลัวที่วิญญาณอาจสามารถสื่อสารรายละเอียดการเสียชีวิตของพวกเขาได้ ลองนึกดูว่าการแก้ปัญหาอาชญากรรมจะเป็นประโยชน์เพียงใด

ปราสาทเพรสตัน Ione แคลิฟอร์เนีย
โรงเรียนเพรสตันอุตสาหกรรมเปิดประตูในปี 1890 และควรจะเป็นสถานที่ของการฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับผู้กระทำผิดชายหนุ่ม J'aime Rubio's Behind the Walls: A Historical Expose of The Preston School of Industryรายงานว่านักเรียนถูกล่วงละเมิดและทรมานด้วยน้ำมือผู้กำกับ O'Brien และยังมีข้อกล่าวหาถึงการฆาตกรรมอย่างตรงไปตรงมา ในปี 1923 นักข่าวสืบสวนชื่อ Leon Adams ได้แทรกซึมเข้าไปในปราสาทและเขียนข้อความว่า “Youths Kept in Dark Basement” มีรายงานว่าผู้พิพากษาศาลสูงคนหนึ่งได้นำรายงานดังกล่าวมาพิจารณาแล้ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักโดยปี 1950 โรงเรียนเป็นที่อยู่อาศัยของผู้กระทำผิดที่มีความรุนแรงและแม่บ้านหญิงชื่อแอนนาคอร์ก็บอกว่าจะได้รับพบว่าถูกฆ่าตายอย่างไร้ความปราณีในสำนักงานของเธอ ฆาตกรของเธอไม่เคยถูกจับได้ โรงเรียนปิดตัวลงในปี 1960 แต่สุสานในสถานที่ยังคงได้รับการบำรุงรักษาต่อไป จิตใจที่กระสับกระส่ายของอันนาอาจยังคงพยายามสื่อสารและนำตัวนักฆ่าของเธอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

Old Idaho Penitentiary Boise, ไอดาโฮ
หากคุณเป็นไก่เกินกว่าจะออกไปร่วมงาน Fright Night หรืองานล่าผีที่ Old Idaho Penitentiary ก็ไม่ต้องหงุดหงิด คุณยังสามารถเห็นตะแลงแกงและห้องขังเดี่ยวในช่วงเวลากลางวัน เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2415 และอ้างว่าได้กักขังคนเลวๆ ไว้บ้างในช่วงเวลานั้น นอกจากผู้ต้องสงสัยตามปกติแล้ว ยังมี Lyda Trueblood ฆาตกรต่อเนื่องที่กำจัดสามีสี่คนด้วยพิษจากสารหนู เชื่อหรือไม่ เธอไม่ได้ถูกประหารชีวิต โดยรับโทษจำคุก 10 ปีก่อนจะเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี 2501รอบ 110 คนกำลังคิดว่าจะมีผู้เสียชีวิตที่นี่เพียง 10 จากการประหารชีวิตที่เกิดขึ้นจริง ม่านที่แขวนเสร็จแล้วเกิดขึ้นที่สวนกุหลาบ—ซึ่งยังคงเหมือนเดิมในทุกวันนี้ สภาพที่คอกนั้นโหดร้าย และพวกเขาไม่มีท่อประปาด้วยซ้ำ จนถึงปี ค.ศ. 1920 วันนี้, คู่มืออ้างอิงเซลล์เดี่ยวชื่อเล่น“ไซบีเรีย” และ“คูลเลอร์” เป็นฮอตสปอตอาถรรพณ์ วิญญาณที่คงอยู่สองอย่างที่เป็นไปได้คือ Raymond Snowden (เรียกว่า Jack the Ripper ของไอดาโฮ) และ George Hamilton แฮมิลตันถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานโจรกรรมบนทางหลวงในช่วงปลายทศวรรษ 1800 และมีการกล่าวกันว่าเขาได้ฆ่าตัวตายในคืนที่ปล่อยตัวเพราะเขาไม่ต้องการออกจากไอดาโฮ

Wyoming Frontier Prison Prison Rawlings, ไวโอมิง
เมื่อไวโอมิงเปิดเรือนจำในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2444 ยังไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปาใช้ ในปีพ.ศ. 2455 ผู้ต้องขังได้จุดไฟเผาโรงงานไม้กวาดในเรือนจำซึ่งน่าจะทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นบ้าง ผู้ต้องขังในแถวประหารชีวิตถูกตั้งอยู่ในอาคารที่แยกจากกัน พร้อมด้วยห้องแก๊สหลังปี 1936 เมื่อถูกแทนที่ด้วยการแขวนคอเป็นวิธีการประหารชีวิตที่ต้องการ สำหรับฉัน เรื่องราวที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรือนจำเกี่ยวข้องกับนักโทษแอนนี่ บรูซ ซึ่งถูกตัดสินจำคุกสี่ปีเมื่ออายุได้ 14 ปี หลังจากที่ฆ่าพ่อของเธอด้วยพายพิษ เธออ้างคำพูดว่า “ในขณะที่ฉันกำลังทำพาย ความรู้สึกหรือความปรารถนาเข้ามาหาฉันเพื่อฆ่าใครซักคน และความรู้สึกนี้ ฉันก็อดไม่ได้”เรือนจำ Frontier Prison อ้างว่าเป็นที่ตั้งของผู้เสียชีวิต 250 ราย โดย 14 รายถูกประหารชีวิต เรือนจำมีคุกใต้ดินและห้องขังเดี่ยวซึ่งน่าจะเป็นจุดสำคัญสำหรับการสืบสวนเหตุการณ์อาถรรพณ์ เสาลงโทษเป็นวิธีการทรมานที่ไม่เหมือนใคร โดยผูกมัดผู้ต้องขังที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับเสาโลหะและทุบตีด้วยสายยาง

Old Charleston Jail ชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา
หากเราเขียนเรื่องต่อจากHaunted Asylums, Prisons และ Sanatoriumsสถานที่นี้จะเป็นบทที่หนึ่ง เราไปเยี่ยมเรือนจำเก่าชาร์ลสตันในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 และสามารถจัดเตรียมงานส่วนตัวได้ สถานที่นี้แสดงให้เห็นหลักฐานทางกายภาพมากมายในตอนล่าสุดของ “Ghost Hunters” แม้ว่าเราจะไม่พบรอยขีดข่วนใด ๆ ก็ตาม แต่เราก็ทิ้ง EVPs บางส่วนไว้ เรือนจำเก่าของชาร์ลสตันอ้างว่าเป็นสถานที่ประหารชีวิตฆาตกรต่อเนื่องหญิงคนแรกของอเมริกา—ลาวิเนีย ฟิชเชอร์ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นถกเถียงถึงความผิดหรือความไร้เดียงสาของเธอ หนังสือของ Bruce Orr, Six Miles to Charleston: The True Story of John and Lavinia Fisherเป็นผลงานวิจัยมาอย่างดี ซึ่งตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เราเคยได้ยินเกี่ยวกับลาวิเนียและสามีของเธอ ซึ่งระบบยุติธรรมอาจล้มเหลวอย่างน่าสังเวช เกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาถูกประหารชีวิตและไร้เดียงสาอย่างสมบูรณ์

10 อันดับผีตัวจริงที่มีชื่อเสียง
ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรื่องผีที่ดี ในช่วงเวลาที่มืดมิดและแสงระยิบระยับของเทศกาลวันหยุดเป็นเวลานาน เป็นเรื่องง่ายเกินไปที่จะจินตนาการถึงเงาที่มากกว่าที่ควรจะเป็น เรื่องที่รู้สึกเสียวซ่ากระดูกสันหลังมากที่สุดคือเรื่องที่สาบานว่าเป็นความจริง รายการต่อไปนี้เป็นประเภทของผีเหล่านี้: การประจักษ์เฉพาะเจาะจง มีคนเห็นหลายคนในเวลาต่างกันในที่เดียวกัน ยิ่งพยานมาก ยิ่งเคารพพยานมาก ยิ่งดี ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องผีหรือไม่ก็ตาม เรื่องราวเหล่านี้สามารถถ่ายทอดจินตนาการได้

Kate Morgan โรงแรมเดล โคโรนาโด
Hotel del Coronado เป็นโรงแรมรีสอร์ทริมชายหาดสไตล์วิกตอเรียที่สวยงามในเมือง Coronado ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ทางใต้ของซานดิเอโก เพิ่งเปิดได้เพียงสี่ปีเมื่อหญิงสาวสวยคนหนึ่งชื่อเคทมอร์แกนเช็คอินเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 เห็นได้ชัดว่าเธอป่วยหนักมากในช่วงเวลาที่เธอใช้อยู่ที่โรงแรมและต่อมาสันนิษฐานว่าเธอได้กินควินินในปริมาณมาก ความพยายามที่จะทำให้เกิดการแท้งบุตรของเด็กที่ไม่ต้องการ ว่าเธอวิตกกังวลจึงมีการโต้เถียงกันเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อพบเธออยู่ที่ขั้นบันไดด้านนอกที่นำไปสู่ชายหาดในวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยมีรูกระสุนนัดเดียวในพระวิหารของเธอและมีปืนอยู่ใกล้ๆ ความตายจึงถูกตัดสินว่าฆ่าตัวตายโดยเร็ว จากจุดนั้นเป็นต้นมา มีการรายงานปรากฏการณ์ประหลาดที่โรงแรม: มีเสียงแปลก ๆ เปิดปิดไฟกะพริบเป็นที่น่าสังเกตว่าในระหว่างการค้นคว้าของฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าจำนวนห้องเฉพาะที่พบปรากฏการณ์ส่วนใหญ่แตกต่างกันไปในแต่ละบัญชี ไม่ว่าจะเพราะว่าบัญชีเป็นของมือสอง (และหลายๆ อันเป็น) หรือว่าจะเกิดความสับสนจากการเปลี่ยนหมายเลขห้องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากโรงแรมได้ขยายออกไป ฉันไม่สามารถพูดได้

Ghosts of the Stanley Hotel
หากคุณพักที่โรงแรมสแตนลีย์ในเอสเตสพาร์ค รัฐโคโลราโด และหันไปใช้ช่อง 42 ของโทรทัศน์ในห้องพักของคุณ คุณก็จะได้ชมภาพยนตร์ที่ฉันโปรดปรานตลอดกาลเรื่องหนึ่ง: The Shining ไม่ว่าจะกลางวัน กลางคืน หรือปีไหน มันเปิดตลอดเวลา แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ เพียงพยักหน้ารับบทบาทของพวกเขาในฐานะแรงบันดาลใจสำหรับนวนิยายของสตีเฟน คิง พนักงานรายงานว่าได้ยินความโกลาหลของงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ในห้องแกรนด์บอลรูมเมื่อไม่มีใครอยู่ที่นั่น ได้ยินเสียงเด็กๆ กำลังเล่นอยู่ในห้องโถงเมื่อไม่มีเด็กเลย และแขกหลายคนรายงานว่าเห็นร่างผีในห้องของพวกเขาในตอนกลางคืน เพียงแค่ยืนดู ชั้นสี่ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมมากที่สุด และมีผีตัวหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นลอร์ดดันราเวน

เลดี้บราวน์ Raynham Hall
Raynham Hall ในเมืองนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ เป็นที่อยู่ของหนึ่งในภาพถ่ายผีที่โด่งดังที่สุดที่เคยถ่ายได้ Brown Lady ได้รับการตั้งชื่อเช่นนั้นเพราะเธอปรากฏตัวในชุดเดรสสีน้ำตาลเข้ม เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเธอคือเลดี้โดโรธี วอลโพล น้องสาวของเซอร์โรเบิร์ต วอลโพล ซึ่งแต่งงานกับชาร์ลส์ ไวเคานต์ที่ 2 ทาวน์เซนด์ในปี ค.ศ. 1713 เธอเสียชีวิตภายใต้สถานการณ์ลึกลับในปี ค.ศ. 1726 และการพบเห็นเธอก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน แม้ว่ารายงานการพบเห็นจะลดลงอย่างมากตั้งแต่ภาพถ่ายถูกถ่ายในปี 1936 การพบเห็นก่อนหน้านั้นได้รับรายงานจากแหล่งที่มีชื่อเสียงพอสมควร เรื่องราวโปรดของฉันมาจาก Major Loftus ซึ่งพักอยู่ที่ Raynham Hall ในปี 1849 เมื่อต้องนอนในคืนหนึ่ง เขากับเพื่อนชื่อ Hawkins สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในผ้าสีน้ำตาลที่หายตัวไปขณะที่ Major Loftus เดินเข้ามาหาเธอ มุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับการประจักษ์, คืนถัดมา เขากลับมายังที่เดิมและพบเธออีกครั้ง เขาตกใจเมื่อเห็นว่าเมื่อเขามองเข้าไปในใบหน้าของเธอ เขาเห็นเพียงเบ้าตาสีดำเพียงสองเบ้าที่ดวงตาของเธอควรจะเป็น อึดอัดจนพูดไม่ออก

คลิฟตันฮอลล์
หากคุณมีเงินเหลือ 2.75 ล้านปอนด์ คุณสามารถเป็นเจ้าของ Clifton Hall ที่น่าภาคภูมิใจใน Nottinghamshire ประเทศอังกฤษได้ ทรัพย์สินถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 และอยู่ในมือของตระกูลคลิฟตันตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนกระทั่งขายในปี 2501 จากนั้นจึงกลายเป็นโรงเรียน ต่อมาเป็นโรงเรียนอื่น ต่อมาเป็นโรงเรียนอื่น ต่อมาเป็นชุดที่วางแผนไว้ ของอพาร์ทเมนท์สุดหรู ก่อนที่จะมาตั้งรกรากเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัวของนายอันวาร์ ราชิด ภรรยาของเขา และลูกสี่คนของพวกเขา มีห้องนอน 17 ห้อง ห้องน้ำ 10 ห้อง ห้องรับแขก 10 ห้อง ห้องออกกำลังกายส่วนตัว และโรงภาพยนตร์ โอ้และผีไม่กี่แน่นอน ครอบครัว Rashid พบกับปรากฏการณ์ที่ไม่สงบในคืนแรกของพวกเขาในบ้าน ในรูปแบบของเสียงเคาะและเสียงผู้ชายที่เรียก "สวัสดี มีใครอยู่ไหม" ในเหตุการณ์หนึ่ง นาบีลา ภริยาของอันวาร์ ลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมนมให้ลูกชายวัย 18 เดือนตอนตีห้า และสังเกตลูกสาวคนโตของเธอนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ เมื่อโทรหาเธอไม่ตอบ นาบีลามีความรู้สึกแปลก ๆ และเดินกลับขึ้นไปบนห้องของลูกสาว ซึ่งพบว่าคนโตยังหลับสนิทอยู่บนเตียง Rashids หนีออกจากบ้านหลังจาก 8 เดือนแห่งการตามหลอกหลอน แม้ว่าบัญชีของพวกเขาจะเป็นข้อมูลล่าสุดและง่ายที่สุดในการค้นหาในระหว่างการค้นคว้า แต่ก็มีข่าวลือและการพบเห็นสถานที่ให้บริการตราบเท่าที่ทุกคนจำได้ รวมถึงเด็กทารกร้องไห้และผู้หญิงที่สามารถมองผ่านหน้าต่างในห้องที่มี ถูกปิดกั้นและไม่สามารถเข้าถึงได้ เมื่อโทรหาเธอไม่ตอบ นาบีลามีความรู้สึกแปลก ๆ และเดินกลับขึ้นไปบนห้องของลูกสาว ซึ่งพบว่าคนโตยังหลับสนิทอยู่บนเตียง Rashids หนีออกจากบ้านหลังจาก 8 เดือนแห่งการตามหลอกหลอน แม้ว่าบัญชีของพวกเขาจะเป็นข้อมูลล่าสุดและง่ายที่สุดในการค้นหาในระหว่างการค้นคว้า แต่ก็มีข่าวลือและการพบเห็นสถานที่ให้บริการตราบเท่าที่ทุกคนจำได้ รวมถึงเด็กทารกร้องไห้และผู้หญิงที่สามารถมองผ่านหน้าต่างในห้องที่มี ถูกปิดกั้นและไม่สามารถเข้าถึงได้ เมื่อโทรหาเธอไม่ตอบ นาบีลามีความรู้สึกแปลก ๆ และเดินกลับขึ้นไปบนห้องของลูกสาว ซึ่งพบว่าคนโตยังหลับสนิทอยู่บนเตียง Rashids หนีออกจากบ้านหลังจาก 8 เดือนแห่งการตามหลอกหลอน แม้ว่าบัญชีของพวกเขาจะเป็นข้อมูลล่าสุดและง่ายที่สุดในการค้นหาในระหว่างการค้นคว้า แต่ก็มีข่าวลือและการพบเห็นสถานที่ให้บริการตราบเท่าที่ทุกคนจำได้ รวมถึงเด็กทารกร้องไห้และผู้หญิงที่สามารถมองผ่านหน้าต่างในห้องที่มี ถูกปิดกั้นและไม่สามารถเข้าถึงได้

The White Lady Balete Drive
โอ้ผีของฟิลิปปินส์! ไม่ต้องสงสัยเลยว่า A Lady in White เป็นผีประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก และเข้าร่วมรายการซักผ้าของวิญญาณในฟิลิปปินส์สำหรับเรื่องนี้ ฉันจะบอกว่าในการค้นคว้า ฉันพบสองบัญชีจากคนในท้องถิ่นของ Quezon City ประเทศฟิลิปปินส์ที่กล่าวว่านี่เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง แต่ฉันจะยึดติดกับความเห็นส่วนใหญ่ว่ามีบางอย่างอยู่ที่นั่น ผู้เชื่อรายงานผู้หญิงในชุดขาวที่มีผมยาวสีดำและใบหน้าของเธอว่างเปล่าหรือถูกบดบังด้วยเลือดที่ยืนอยู่กลางถนนบนถนน Balete ว่ากันว่าคุณควรหลีกเลี่ยงการขับรถไปที่นั่นในตอนกลางคืน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบาะหลังของคุณเต็มไปด้วยผู้โดยสาร เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ในเบาะหลังที่ว่างเปล่าซึ่ง White Lady จะผูกปมโดยคนขับที่โชคร้ายในมุมมองด้านหลังของพวกเขาเห็นหลังจากที่พวกเขาประสบกับความรู้สึกที่น่าสยดสยอง

Chloe and The Myrtles Plantation
ในตำนานเล่าว่า Chloe เป็นทาสในบ้านของ Myrtles Plantation ในเมือง St. Francisville รัฐลุยเซียนา ซึ่งมีนิสัยชอบฟังเสียงที่ไขว่คว้าเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย วันหนึ่งเขาถูกเจ้าบ้านจับได้ เขาได้ตัดหูของเธอเพื่อเป็นการลงทัณฑ์ บังคับให้เธอสวมผ้าพันคอสีเขียวคลุมศีรษะของเธอเพื่อปิดบาดแผล เพื่อเป็นการลงโทษ เธออบเค้กด้วยใบยี่โถ ซึ่งเป็นพืชทั่วไปในภาคใต้ที่มีพิษร้ายแรง แม้ว่าเจ้าของบ้านจะเป็นเป้าหมายของเธอ แต่เหยื่อของเธอก็กลายเป็นภรรยาและลูกสาวสองคนของเขา ซึ่งเสียชีวิตด้วยความเจ็บปวดหลังจากกินเค้กไปสองสามวัน Chloe หนีออกจากบ้านและถูกทาสชาวไร่ลงประชาทัณฑ์บนสวนเพื่อแลกกับแสงอันชั่วร้ายที่เธอร่ายใส่พวกเขาที่เหลือโชคดีที่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สนับสนุนเรื่องนี้ เป็นเพียงภาพถ่ายที่น่าสนใจ จริงหรือไม่ (อาจจะไม่) มีผีตัวอื่นๆ มากมายรอคุณอยู่ รวมทั้งเด็กสาวที่มักถูกพบเห็นในกระจกบนบันได และเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่สวดมนต์วูดูเหนือคนที่กล้านอนในห้องของเธอ Myrtles ปัจจุบันเป็นที่พักพร้อมอาหารเช้าที่ให้บริการทัวร์ตามปกติสำหรับผู้ที่อยากรู้อยากเห็นมากพอที่จะอยากเห็นบ้าน - ไม่ใช่แค่คนเดียวหลังจากมืด

แมรี่ฟื้นคืนชีพ
การเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงเหนือบน Archer Lane ระหว่าง Willowbrook Ballroom และ Resurrection Cemetery in Justice รัฐอิลลินอยส์ ชายหนุ่มอาจพบว่าตัวเองถูกล่อลวงให้ไปรับหญิงสาวที่โบกรถริมถนน เธอมีผมสีบลอนด์อ่อน ๆ ตาสีฟ้า สวมชุดปาร์ตี้สีขาว และเสียชีวิตไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 ถ้าคุณรับเธอขึ้น เธอจะหยุดคุณที่หน้าสุสานคืนชีพและหายตัวไปจากรถ เธอเป็นตัวอย่างคลาสสิกของตำนานคนโบกรถที่หายตัวไป ซึ่งเป็นเรื่องผีประเภทหนึ่งที่มีมานานอย่างน้อยสองสามร้อยปี สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นมากคือความสอดคล้องของเรื่อง- หญิงสาวก็ดูเหมือนเดิม สวมชุดเดียวกัน หายตัวไปในจุดเดิม นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่น่าสังเกตของนักโบกรถโดยเฉพาะปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันในช่วงกลางทศวรรษที่สามสิบและก็แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และไม่ใช่เฉพาะผู้รู้เท่านั้น เรื่องราวจากปี 1973 เห็นคนขับแท็กซี่คนหนึ่งสอบถามที่ Chet's Melody Lounge ฝั่งตรงข้ามถนนจากสุสานเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หนีจากแท็กซี่โดยไม่จ่ายค่าโดยสาร มีเพียงคำอธิบายของเขาเกี่ยวกับเธอเท่านั้นที่ฟังดูคุ้นเคยกับลูกค้ามาก: การฟื้นคืนพระชนม์ของแมรี่ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

The Flying Dutchman
เมื่อปี 1641 กัปตันเฮนดริก ฟาน เดอร์ เด็คเคนสาบานว่าเขาจะเดินไปรอบ ๆ แหลมกู๊ดโฮป หากต้องใช้เวลาถึงวันโลกาวินาศ ในอัตราปัจจุบันของเขาก็อาจจะ เรือของกัปตัน หรือที่รู้จักในชื่อ The Flying Dutchman ถูกพบเห็นบ่อย ๆ รอบบริเวณนั้น เรือผีมักจะอยู่ใกล้จนพยานสาบานว่ากำลังตกสำหรับเรือของพวกเขา เพียงเพื่อจะได้เห็นมันหายไปต่อหน้าพวกเขา มักถูกมองว่าเป็นลางไม่ดีที่ได้เห็นเรือ พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งอังกฤษในอนาคตได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ในปี พ.ศ. 2424 เขาเขียนว่า: “เมื่อเวลา 04.00 น. ฟลายอิ้ง ดัทช์แมนก็ข้ามคันธนูของเรา แสงสีแดงแปลก ๆ ของเรือผีสิงส่องแสงระยิบระยับ ท่ามกลางแสงที่เสากระโดง เสากระโดง และใบเรือของเรือสำเภาที่อยู่ห่างไกลออกไป 200 หลา โดดเด่นอย่างโล่งอกเมื่อเธอขึ้นไปที่ท่าเรือ” ต่อมาในเช้าวันรุ่งขึ้น กะลาสีที่เห็นเรือลำนั้นในตอนแรกก็ล้มตาย

อับราฮัม ลินคอล์น
ตำนานเล่าว่าลินคอล์นเห็นชะตากรรมของเขาก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหาร เขารายงานความฝันไปที่คณะรัฐมนตรีของเขาซึ่งเขาเดินเข้าไปในงานศพที่ทำเนียบขาว และเมื่อเขาถามถึงหนึ่งในผู้ร่วมไว้อาลัยที่เสียชีวิต ชายคนนั้นตอบว่า “ประธานาธิบดี… เขาถูกมือสังหารฆ่า”ผีของลินคอล์นถูกพบเห็นโดยผู้มาเยือนและผู้อยู่อาศัยในทำเนียบขาวจำนวนมาก รวมถึงสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เกรซ คูลิดจ์ สมเด็จพระราชินีวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ และแม้แต่วินสตัน เชอร์ชิลล์ ซึ่งแน่นอนว่ามีบางสิ่งที่ฉลาดที่จะพูดในโอกาสนี้ เขาอ้างว่าสดชื่นจากการอาบน้ำ ในชุดเปลือย (ภาพอะไร) ที่เดินเข้าไปในห้องนอนเมื่อเห็นลินคอล์นยืนอยู่ใกล้เตาผิง เขาเสแสร้งว่า “สวัสดีตอนเย็นครับท่านประธาน คุณดูเหมือนจะทำให้ฉันเสียเปรียบ” หลังจากนั้นลินคอล์นก็ยิ้มอย่างนุ่มนวลและหายตัวไป

แอน โบลีน
ภรรยาคนที่สองของเฮนรีที่ 8 และเป็นมารดาของควีนอลิซาเบธที่ 1 ในอนาคต แอนน์ โบลีนมีพระสวามีสามปีก่อนที่เฮนรี่จะเหน็ดเหนื่อยจากเธอ (นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับผิด) เรื่องการล่วงประเวณี การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องและการใช้เวทมนตร์คาถา เธอเผชิญหน้ากับดาบของเพชฌฆาตโดยเงื้อมมือขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1536 มีรายงานว่าเพชฌฆาตกล่าวว่า “ดาบของฉันอยู่ที่ไหน” ก่อนที่จะตีหนึ่งจังหวะที่จำเป็น เห็นได้ชัดว่าในความพยายามที่จะบรรเทาความคาดหมายของแอนน์โดยทำให้เธอคิดว่าเธอมีเวลาอีกสักครู่ผีของเธอถูกพบเห็นโดยผู้คนหลายคนในสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง: ปราสาท Hever, Blickling Hall, Salle Church, Marwell Hall และหอคอยแห่งลอนดอนที่โด่งดังที่สุด แม้ว่าเธอจะถูกพบเห็นบ่อยที่สุดในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่- หญิงสาวสวยในชุดยาวที่สวยงาม- การพบเห็นบางอย่างทำให้อารมณ์เสียมากขึ้น บุคคลที่โชคร้ายจะเห็นเธอเหมือนเธอหลังจากไม่มีหัวตาย มักจะเอาหัวซุกอยู่ใต้แขนข้างเดียว มันกลายเป็นภาพสัญลักษณ์ที่มักถูกล้อเลียนในภาพยนตร์และโทรทัศน์และเครื่องแต่งกายฮัลโลวีนที่ประณีตยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณต้องไม่ลืมว่าคุณคิดอย่างไรหากนิมิตดังกล่าวเข้าใกล้คุณในทางเดินมืดในคืนหนึ่ง

10เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับความลึกลับของสุสานเจงกีสข่าน

  บางคนยังคงเป็นคนลึกลับแม้ในยามที่พวกเขาจะเสียชีวิต เช่นคุณยายของฉัน ที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงใส่เกลือในจานของเธอ และเราค้นพบใครเมื่ออ่านความประสงค์ของเธอว่านั่นเป็นเพราะเธอเกลียดเรา ในระดับประวัติศาสตร์ มีหลุมฝังศพลึกลับหลายแห่งที่มีบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ และวันนี้เราจะมาดูสุสานของผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก: เจงกีสข่าน


ตำนานงานศพ

1. ตัวละครเฉพาะ

ไม่เพียงแต่เจงกิสข่านจะไม่ใช่คนสะดวกเท่านั้น แต่เขายังมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น ติดตั้งแผ่นไม้ขนาดใหญ่ใส่ศัตรูและรับประทานอาหารในขณะที่พวกเขากำลังจะตาย ความปรารถนาของเขาคือการเก็บหลุมศพนิรนามไว้เป็นความลับ ไม่ว่าจะด้วยความสุภาพเรียบร้อย (ซึ่งฉันสงสัย) หรือเพื่อไม่ให้ศัตรูมาโกรธด้วยความโกรธ (เพราะเขามีน้อย)


2. ต้นฉบับเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นที่บอกตำแหน่งของหลุมฝังศพ

ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเวลาใดที่กล่าวถึงสถานที่ฝังศพข่านได้อย่างแม่นยำ ยกเว้นต้นฉบับจำนวนหนึ่งซึ่งกล่าวถึงภูมิภาคออร์ดอสซึ่งพบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ Burkhan Khaldun มันจะอยู่ในภูมิภาคนี้ที่จะเป็นหลุมฝังศพ แต่มันมากกว่า 240km2 ดังนั้นมากที่จะบอกคุณว่ามันไม่ง่าย


3. เขาเคาะทุกคนที่ฝังเขาออก

ผู้ดูแลงานศพดูแลการนำร่างของเจงกิสและทาสไปฝังไว้สูงในภูเขามองโกเลีย ระหว่างทางคุ้มกันจะข้ามกองคาราวานของนักเดินทางที่ถูกสังหารหมู่เพราะไม่มีใครรู้ว่าศพอยู่ที่ไหน คุณจะบอกฉันว่า "แต่ผู้คุ้มกันรู้ว่าเขาถูกฝังอยู่ที่ไหน" และคุณพูดถูก นั่นเป็นสาเหตุที่สมาชิกคุ้มกันทั้งหมดถูกฆ่าตายด้วย (ในตำนานพูดถึงเกือบ 2,000 คน) มีประโยชน์เพื่อหลีกเลี่ยงการสปอยล์


4. ตำนานต่าง ๆ มากมาย

มีเรื่องเล่าตำนานมากมายรอบๆ ที่ตั้งของหลุมฝังศพของเจงกีสข่าน ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลยในการค้นหา อย่างไรก็ตาม สองเวอร์ชันสามารถค้นหาความน่าเชื่อถือได้:


– แม่น้ำจะถูกเปลี่ยนเส้นทางเพื่อครอบคลุมพื้นที่ของหลุมฝังศพ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานที่นั้นไม่สามารถมองเห็นได้


– เราจะนำม้าร้อยตัวมาเหยียบย่ำพื้นดิน เราจะปลูกต้นไม้และถวายพระพร อีกสองสามปีต่อมา เราไม่สามารถหาที่ตั้งได้อยู่แล้ว


5. แหล่งข่าวบอกว่าศพไม่เคยส่งกลับมองโกเลีย

นอกจากจะมีที่ซ่อนอย่างสมบูรณ์แล้ว บางข้อความบอกว่าหลุมฝังศพนั้นจะไม่มีแม้แต่ศพของเจงกิสข่านด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วมีบางคนโต้แย้งว่ามีเพียงเสื้อผ้าของเขาเท่านั้นที่จะถูกนำกลับไปยังมองโกเลีย และศพของเขาจะถูกฝังไว้ไกลจากแผ่นดินเกิดของเขา


การค้นหาหลุมฝังศพ


6. ในที่สุดภูเขาก็เปิดให้นักโบราณคดี

เป็นเวลาหลายปีที่ไม่อนุญาตให้เข้าถึงภูเขาและผู้คนที่เสี่ยงภัยอาจถูกฆ่า ดังนั้นจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะไปหาสมบัติ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็เปิดให้นักโบราณคดีและนักวิจัยที่เคารพสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคนี้เข้าถึงได้


7. “หากเขาต้องการถูกพบ เขาคงทิ้งป้ายไว้”

การค้นหาหลุมฝังศพของเจงกีสข่านไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชาวมองโกเลียอย่างแท้จริง ในความเห็นของพวกเขาเอง เราควรเคารพความปรารถนาของข่านที่จะมีสิทธิ์ได้รับหลุมศพที่ไม่มีเครื่องหมายและไม่ละเมิดความปรารถนาของเขา พวกเขามองว่าการขาดข้อมูลตำแหน่งเป็นข้อโต้แย้งในการสนับสนุนความปรารถนาที่จะถูกซ่อนไว้และความปรารถนาในการค้นพบนี้จึงเกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกมากขึ้น


8. งานวิจัยที่ถูกละทิ้งหรือหยุดหลายครั้ง

ในอดีต มีงานวิจัยมากมายเกิดขึ้น รวมถึงงานวิจัยที่สำคัญมากในปี 1900 ที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวมองโกเลียและชาวญี่ปุ่น แต่การประท้วงหยุดการค้นหา บางคนคิดว่าการหาหลุมฝังศพอาจทำให้เกิดคำสาปและตัดสินใจที่จะป้องกันพวกเขา แต่อีกแง่มุมหนึ่งที่ทำให้การวิจัยช้าลงมากคือธรรมชาติของภูมิประเทศ ภูมิประเทศของมองโกเลียนั้นกว้างใหญ่และบางครั้งก็ไม่เอื้ออำนวย ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าแทบไม่มีถนนเลย ค่อนข้างน่าเบื่อที่จะมองหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่อย่างดีอยู่แล้ว


9. เราเริ่มมองหาตำแหน่งดาวเทียม

เพื่อที่จะค้นหาร่องรอยที่มองเห็นได้ก่อนที่จะไปที่นั่นและเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อไซต์ที่ได้รับการคุ้มครอง นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อทำการวิจัย การดำเนินการเปิดกว้างสำหรับอาสาสมัคร จึงมีการตรวจสอบสถานที่หลายพันแห่ง ซึ่งทำให้สามารถค้นหาสถานที่เกือบร้อยแห่งซึ่งอาจเป็นสุสานและสุสานสืบเนื่องมาจากยุคต่างๆ และบางแห่งมีอายุย้อนไปถึงยุคสำริด


10. การค้นพบหลุมฝังศพของเขาสามารถเปิดเผยได้ว่าเขาตายอย่างไร

ความลึกลับอีกประการหนึ่งที่ล้อมรอบเจงกิสข่านคือสาเหตุที่แท้จริงของการตายของเขา โดยการค้นหาศพของเขา เราน่าจะสามารถระบุได้ว่าความตายของเขารุ่นใดเป็นเรื่องจริง แหล่งข้อมูลบางแห่งพูดถึงการลอบสังหาร อื่นๆ เกี่ยวกับการตกจากหลังม้า อื่นๆ เกี่ยวกับลูกศรที่หัวเข่าและการติดเชื้อ... เป็นการยากที่จะบอกว่าถูกจากผิด แต่การพบศพของข่านอาจช่วยให้มีการเสียชีวิตของเขาในเวอร์ชันที่เป็นทางการได้ .

หลังจากกว่า 800 ปีของการวิจัย หลุมฝังศพยังคงเป็นหนึ่งในความลับที่ดีที่สุดของประวัติศาสตร์ คุณสามารถไปดูรูปที่ไม่ใช่ของปลอมของมองโกเลียได้ แล้วคุณจะรู้จักประเทศที่สวยงามแห่งนี้มากขึ้น


จักรพรรดิปูยี มังกรไร้บัลลังค์
"สูงสุดคืนสู่สามัญ" น่าจะเป็นนิยามที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับ "อ้ายซินเจี๋ยหลอ ปูยี" จักรพรรดิองค์สุดท้ายของแดนมังกร จากคนที่ถือกำเนิดมาอย่างสูงศักดิ์ เพียบพร้อมด้วยอำนาจและทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าผู้คนทั้งหลาย แต่แล้วบั้นปลายชีวิตของพระองค์กลับจบลงด้วยการเป็นเพียงคนงานทำสวนจนๆ ไม่มีแม้แต่เงินทำศพตัวเอง กลายเป็นหน้าหนึ่งทางประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นและปวดร้าวอย่างเหลือเชื่อเท่านั้น

ประวัติศาสตร์, บทความประวัติศาสตร์, เรื่องราวในประวัติศาสตร์, ผู้นำสงคราม, สงคราม, สงครามเย็น, สงครามนิวเคลียร์, ทหารในสงคราม, อาวุธสงคราม, ประวัติศาสตร์จีน, จักรพรรดิปูยี, ปูยี

ย้อนกลับไปตอนปลายราชวงศ์หมิง ในราชสำนักเต็มไปด้วยขุนนางทรราชย์โกงกินขูดเลือดขูดเนื้อราษฎร สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนประเทศชาติอ่อนแอไม่ต่างจากคนอ่อนเปลี้ยเสียขาที่ไม่สามารถจะป้องกันตนเองได้ เป็นโอกาสให้ชนเผ่าเร่ร่อนทางตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียกตัวเองว่าชาวแมนจู กรีธาทัพมารุกราน และสามารถรวบเอาแผ่นดินมังกรไว้ในอุ้งมือได้สำเร็จ จากนั้นชาวแมนจูก็สถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นครองประเทศ ต่อมาเพื่อกลืนกินราษฎรให้กลายเป็นแมนจูให้หมด จักรพรรดิชิงก็ออกกฎบังคับให้ผู้ชายชาวฮั่นทุกคนโกนผมครึ่งศรีษะไว้ผมเปียยาวและสวมเสื้อผ้าอย่างชาวแมนจู ใครฝ่าฝืนจะมีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการโกนศรีษะนั้นขัดแย้งกับประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมของชาวฮั่นที่ถือว่า เส้นผมเป็นสมบัติจากพ่อแม่ ห้ามตัด หรือทำลายอย่างเด็ดขาด แต่ผู้ชายชาวฮั่นในสมัยนั้นก็ต้องเลือกเอาว่าจะเก็บผมไว้แต่เสียหัว หรือจะเลือกหัวที่มีผมแค่ครึ่งเดียว

ราชวงศ์ชิงใช้การประณีประณอมในบางเรื่องและแข็งกร้าวในบางส่วนได้อย่างแยบยล จึงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม จนสามารถปกครองประเทศจีนได้นานถึง 260 ปี จวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิถงจื้อ แผ่นดินจีนก็มีโอกาสให้จักรพรรดิหญิงคนแรกและคนเดียว ผู้ซึ่งนำความหายนะมาให้ประเทศชาติ นั่นก็คือพระนางซูสีไทเฮา ผู้เป็นดั่งดาวมัจจุราชที่สวรรค์ส่งมาทำลายประเทศจีน

พระนางซูสีไทเฮาทรงหลับหูหลับตาเชื่อมาตลอดว่าจีนนั้นเป็นศูนย์กลางงแห่งความยิ่งใหญ่เหนือกว่าอาณาจักรใดๆ และมองชาติตะวันตกว่าเป็นชนป่าเถื่อนหยาบช้า พระนางจึงไม่ใส่ใจภัยคุกคามจากชาติตะวันตกที่กำลังล่าอาณานิคม จนพม่า อินเดีย และอีกหลายประเทศในเอเชียต้องสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินกันในขณะนั้น

หลังจากที่จักรพรรดิถงจื้อทรงสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท พระนางซูสีไทเฮาก็นำหลานชายของพระนางเอง นามว่า กวางซวี ซึ่งมีอายุเพียงสามขวบ ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป แล้วทำตัวเป็นฮ่องเต้หญิงบัญชาการอยู่เบื้องหลัง  จวบจนจักรพรรดิกวางซวีทรงเจริญพระชนมายุพร้อมจะครองราชย์ได้เองแล้ว พระนางซูสีไทเฮาก็ถูกเหล่าขุนนางเฒ่าชราที่ภักดีต่อชาติบีบให้สละอำนาจให้กับจักรพรรดิหนุ่ม กระนั้นอำนาจที่แท้จริงก็ยังอยู่ในกำมือของพระนางซูสีไทเฮาเหมือนเดิม ส่วนจักรพรรดิกวางซวีก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่พระนางใช้บังหน้าเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎมณเฑียรบาลเท่านั้น

เมื่อได้ครองราชย์ใหม่ๆ จักรพรรดิกวางซวีทรงพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบเก่าคร่ำครึหลายอย่างในประเทศ เพื่อให้ทันต่ออารยธรรมตะวันตกที่คืบคลานเข้ามา แต่ความหัวสมัยใหม่ของพระองค์กลับไปขวางหูขวางตาพระนางซูสีไทเฮาเข้า พระนางจึงใช้กำลังทหารทำการปฏิวัติยึกพระราชอำนาจจากองค์จักรพรรดิ และขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการอีกครั้ง ความมัวเมากระหายอำนาจของพระนางกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้จีนล้าหลัง จนไม่สามารถต้านทานการรุกรานอย่างหนักของชาติตะวันตกได้ ในที่สุดปักกิ่งก็ถูกอังกฤษเข้ายึดครอง และพระนางซูสีไทเฮาก็ต้องทำการปฏิรูปประเทศตามข้อตกลงที่ชาติตะวันตกต้องการ

ปี พ.ศ.2451 จักรพรรดิกวางซวีทรงเสด็จสวรรคตอย่างตรอมตรมในพระราชวังฤดูร้อนที่พระนางซูสีไทเฮาขังพระองค์ไว้ หลังจากนั้นเพียงวันเดียวพระนางก็คัดเลือก อ้ายซินเจี๋ยหลอ ปูยี พระโอรสอายุเพียง 2ปี 10เดือน ขององค์ชายชุน ให้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ใช้ชื่อรัชสมัยว่า "ซวนถ่ง" ปูยีจึงมีพระนามที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าจักรพรรดิซวนถง โดยให้พระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน

ประวัติศาสตร์, บทความประวัติศาสตร์, เรื่องราวในประวัติศาสตร์, ผู้นำสงคราม, สงคราม, สงครามเย็น, สงครามนิวเคลียร์, ทหารในสงคราม, อาวุธสงคราม, ประวัติศาสตร์จีน, จักรพรรดิปูยี, ปูยี

จักรพรรดิปูยี มีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2449 เป็นพระโอรสองค์โตขององค์ชายชุนที่ 2 และพระนางยู่หลาน มีพระอนุชานามว่าปูเจี๋ย ที่พระนางซูสีไทเฮาแต่งตั้งให้เจ้าชายน้อยเป็นจักรพรรดิ ก็เพราะเล็งเห็นว่าปูยียังเป็นเพียงทารกจึงง่ายที่จะควบคุมให้อยู่ในโอวาท แต่สิ่งที่พระนางลืมคิดไปก็คือคนเราไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แม้แต่ตัวพระนางเองที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินก็ยังต้องตายเหมือนคนทั่วไป หลังจากองค์ชายปูยีขึ้นครองราชย์ไม่กี่วัน พระนางซูสีไทเฮา นางมังกรที่แผ่กรงเล็บครอบคลุมแผ่นดินจีนมาอย่างยาวนานก็สวรรคตลงอย่างสงบ ทิ้งความยุ่งเหยิงและย่อยยับไว้ในประเทศจนสุดจะประมาณได้

และเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระนางนี่เอง ชีวิตของเด็กน้อยปูยีจึงต้องประสบกับความผกผันตั้งแต่ยังไม่ทันรู้เดียงสาในฐานะฮ่องเต้ พระองค์ต้องประทับอยู่แต่ในพระราชวังต้องห้ามที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงแม้จะพรั่งพร้อมด้วยวัตถุมีค่า แต่ก็ต้องพลัดพรากจากบิดามารดาผู้เป็นที่รัก มีเพียงพระพี่เลี้ยงเก่าแก่เพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งทางใจ จนกระทั่งอีก 6 ปีต่อมา จึงทรงได้รับอนุญาตให้พบกับครอบครัวอีกครั้ง แต่ก็เป็นการพบที่ห่างเหินเย็นชาไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเลย จักรพรรดิองค์น้อยจึงเติบโตขึ้นมาอย่างว้าเหว่อ้างว้าง และสิ้นไร้อิสรภาพไม่ต่างจากนักโทษชั้นดีในคุกที่เรียกว่าพระราชวังนั่นเอง

ประวัติศาสตร์, บทความประวัติศาสตร์, เรื่องราวในประวัติศาสตร์, ผู้นำสงคราม, สงคราม, สงครามเย็น, สงครามนิวเคลียร์, ทหารในสงคราม, อาวุธสงคราม, ประวัติศาสตร์จีน, จักรพรรดิปูยี, ปูยี

ชีวิตของจักรพรรดิปูยีพบกับความพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อราชวงศ์ชิงภายใต้การสำเร็จราชการแทนขององค์ชายชุนที่ 2 ปราชัยอย่างย่อยยับให้กับกองทัพของฝ่ายปฏิวัติ ภายใต้การนำของ ดร.ซุนยัตเซ็น ความพ่ายแพ้ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นผลมาจากการปกครองที่อ่อนแอมาตั้งแต่รัชสมัยของพระนางซูสีไทเฮา เมื่อมาถึงมือขององค์ชายชุนที่ 2 ก็ไม่ทรงมีวิจารณญาณที่เข้มแข็งพอที่จะพาชาติรอดพ้นจากอำนาจของชาติตะวันตกได้ กระแสความเกลียดชังที่มีต่อราชวงศ์แมนจูทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนจีนระส่ำระสายไปทั่วประเทศ เมื่อบวกกับถูกโจมตีจากกองกำลังของ ดร.ซุนยัตเซ็นเข้าไปอีก สุดท้ายองค์ชายชุนที่ 2 จึงจำต้องยอมจำนน ในตอนนั้นจักรพรรดิปูยี ทรงมีพระชนมายุเพียง 6 ขวบ ยังพระเยาว์เกินกว่าที่จะรับรู้ความขัดแย้งทางการเมือง แต่ก็ทรงถูกให้จับมือเซ็นให้ทรงมีพระบรมราชโองการยินยอมสละราชสมบัติไปด้วย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2455

ประวัติศาสตร์, บทความประวัติศาสตร์, เรื่องราวในประวัติศาสตร์, ผู้นำสงคราม, สงคราม, สงครามเย็น, สงครามนิวเคลียร์, ทหารในสงคราม, อาวุธสงคราม, ประวัติศาสตร์จีน, จักรพรรดิปูยี, ปูยี

ในพระราชโองการนั้น จักรพรรดิปูยีแห่งรัชกาลซวนถ่งทรงมอบหมายให้นายพลหยวนซือไข่ สมัครพรรคพวกคนสำคัญของดร.ซุนยัตเซ็น มีอำนาจสมบูรณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐได้ตามใจชอบ ส่วนฝ่ายรัฐบาลของ ดร.ซุนยัตเซ็นก็ให้สิ่งแลกเปลี่ยนด้วยการจัดสรรรายได้ถวายจักรพรรดิปูยีปีละ 4 ล้านเหรียญ และอนุญาตให้ประทับอยู่ในวังต้องห้ามส่วนเหนือและพระราชวังฤดูร้อนต่อไปได้ แต่ก็ทรงเป็นจักรพรรดิเพียงชื่อเท่านั้น ไม่มีอำนาจทางทหารและอำนาจในการปกครองประเทศอีกต่อไป ทั้งยังถูกจำกัดอิสรภาพเป็นอย่างมาก จะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องให้รัฐบาลยินยอมก่อน แม้กระทั่งงานพระศพของพระมารดาก็ยังไม่สามารถออกไปคารวะศพได้ เพราะรัฐบาลไม่อนุญาต

ในปี พ.ศ.2460 จักรพรรดิปูยีทรงถูกผู้ใหญ่บ้าอำนาจให้กลับเข้าสู่วงจรความวุ่นวายอีกครั้ง คราวนี้ตัวการใหญ่มีชื่อว่าแม่ทัพฉางซุน หัวหอกสำคัญคนหนึ่งในคณะปฏิวัติ แม่ทัพฉางซุนเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง คิดจะรวบอำนาจการปกครองมาเป็นของตนเองบ้าง จึงผลักดันให้เด็กน้อยหุ่นเชิดกลับไปเป็นประมุขแผ่นดินอีก แล้วตนเองจะได้บัญชาการอยู่เบื้องหลังเหมือนพระนางซูสีไทเฮาผู้ล่วงลับ เพราะแผนการนี้ปูยีจึงต้องกลับไปครองราชย์อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นครั้งที่สอง แต่การกลับคืนบัลลังก์ก็ยืนยาวเพียง 12 วัน แม่ทัพฉางซุนก็ถูกพรรคพวกแซะกระเด็นไปจากอำนาจ ปูยีจึงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์อย่างน่าเวทนาเป็นครั้งที่สองอีกจนได้

หลังจากนั้นชีวิตของปูยีก็ประสบแต่ความขมขื่น พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในจีนให้ขึ้นครองราชย์อีก แต่เนื่องจากคนจีนเกลียดญี่ปุ่นเข้ากระดูกดำ ปูยีจึงถูกคนจีนทั้งแผ่นดินมองว่าเป็นคนทรยศต่อชาติ พอญี่ปุ่นสิ้นอำนาจวาสนาไปด้วยอิทธิฤทธิ์ของระเบิดปรมาณู อดีตจักรพรรดิก็ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏและถูกจับขังคุกนานถึง 9 เดือน จากที่เคยมีความเป็นอยู่สุขสบายมาตลอด พระองค์ต้องไปอยู่ร่วมกับนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ทำหน้าที่ใช้แรงงานในเรือนจำ ทั้งๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาปูยีไม่เคยแม้แต่จะล้างเท้าเองสักครั้งเดียว

ประวัติศาสตร์, บทความประวัติศาสตร์, เรื่องราวในประวัติศาสตร์, ผู้นำสงคราม, สงคราม, สงครามเย็น, สงครามนิวเคลียร์, ทหารในสงคราม, อาวุธสงคราม, ประวัติศาสตร์จีน, จักรพรรดิปูยี, ปูยี

เมื่อออกจากคุก ปูยีก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอำนาจ เงินทอง หรือแม้แต่หลังคาคุ้มหัว สิ่งเดียวที่ทรงเหลืออยู่ก็คือสภาพการเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลจีนเท่านั้น ปูยีถูกบังคับให้ประกาศตนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อให้ชาวจีนที่ยังกระด้างกระเดื่องต่อระบอบนี้เห็นว่า แม้แต่อดีตจักรพรรดิก็ยังเห็นดีเห็นงามกับระบอบคอมมิวนิสต์ ทรงถูกจัดหน้าที่ให้ไปเป็นคนสวนของสถาบันพฤกษศาสตร์และต้องแต่งงานกับหญิงชาวฮั่นที่พรรคคอมมิวนิสต์เลือกมาให้ ทั้งๆ ที่ธรรมเนียมชาวแมนจูผู้สูงศักดิ์จะต้องแต่งงานกับชาวแมนจูด้วยกันเท่านั้น แต่ที่พรรคคอมมิวนิสต์ทำอย่างนี้ก็เพื่อกลืนกินความเป็นแมนจูให้หมดสิ้นไปนั่นเอง

นี่คือเรื่องราวชีวิตจริงที่เข้มข้นและปวดร้าวยิ่งกว่านิยายของจักรพรรดิองค์สุดท้ายผู้เป็นดั่งพญามังกรที่ไร้บัลลังก์ และเป็นหุ่นเชิดของผู้มีอำนาจตั้งแต่วันแรกจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

ประวัติแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
เจ้าฆาตกรแจ็คเดอะริปเปอร์ฆ่าอย่างน้อยห้าลอนดอนหญิงโสเภณีใน 1888 ไม่เคยถูกจับ และตนเป็นหนึ่งในภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดปริศนาความลึกลับ
ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ถึง 10 กันยายน ปี 1888 , " แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ " ข่มขวัญฆาตกรในย่านลอนดอนตะวันออก . เขาถูกฆ่าตายอย่างน้อย 5 โสเภณีและใช้ร่างกายของพวกเขาในลักษณะที่ผิดปกติ ระบุว่า คนร้ายมีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ไม่เคยจับ และยังคงเป็นหนึ่งของอังกฤษ และโลกของอาชญากรที่น่าอับอายที่สุด

แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
ที่รู้จักกันสำหรับการฆาตกรรมสยองจาก 7 สิงหาคม 10 กันยายนในปี 1888 , " แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ " ซึ่งเป็นชื่อสำหรับฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อน ที่ยังไม่เคยระบุยังคงเป็นหนึ่งของอังกฤษ และโลกของอาชญากรที่น่าอับอายที่สุด

ผู้ร้ายรับผิดชอบการตายของห้าโสเภณีทั้งหมด เกิดขึ้นในรัศมีหนึ่งไมล์ของแต่ละอื่น ๆและที่เกี่ยวข้องกับเขตไวท์ชาเพล spitalfields aldgate , และเมืองของลอนดอนในลอนดอนตะวันออกในฤดูใบไม้ร่วงของ 1 ไม่เคยถูกจับได้แล้ว แม้จะมีการอ้างหลักฐานแน่นหนานับไม่ถ้วนของตัวตนโหดร้าย ฆาตกรที่ฆ่า ชื่อของเขาคือ ยังแจ้งให้ทราบ ชื่อเล่นว่า " แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ " มาจากจดหมายที่เขียนโดยคนที่อ้างตัวว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง , ตีพิมพ์ในเวลาของการโจมตี

เพิ่มความลึกลับของเรื่องก็คือ ตัวอักษรหลายส่งนักฆ่าไปลอนดอนตำรวจนครบาลบริการ เรียกว่านามสกอตแลนด์ ยั่วยุเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับกิจกรรมที่น่ากลัวของเขาและคาดเดาเกี่ยวกับการฆาตกรรมมา ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับแจ็คของริปเปอร์ตัวจริงได้ถูกผลิตในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องกล่าวหาจิตรกรวิคตอเรียที่มีชื่อเสียง วอลเตอร์ ซีเกิร์ต , แรงงานโปแลนด์และแม้แต่หลานชายของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ตั้งแต่กว่า 100 คนได้รับการตั้งชื่อ ให้เกิดความเชื่ออย่างกว้างขวางและปอบความบันเทิงรอบลึกลับ

ในปลาย 1800 , ลอนดอนตะวันออกเป็นสถานที่ที่ถูกมองจากประชาชนด้วยเมตตา หรือ การหมิ่นประมาท แม้จะเป็นพื้นที่ที่ผู้อพยพที่มีทักษะ ส่วนใหญ่เป็นชาวยิวและชาวรัสเซีย มาเริ่มต้นธุรกิจและเริ่มชีวิตใหม่ ต. เป็นฉาวโฉ่สำหรับความสกปรก , ความรุนแรง และอาชญากรรม การค้าประเวณีเป็นเพียงผิดกฎหมายถ้าปฏิบัติเกิดความวุ่นวายต่อสาธารณะ และพันซ่องและต่ำ เช่าที่พักบ้านให้บริการทางเพศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

ตอนนั้น ตาย หรือ ฆาตกรรม สาวทำงานรายงานไม่ค่อยในกดหรือกล่าวถึงในสังคมสุภาพ ความจริงที่ " ผู้หญิงกลางคืน " อยู่ภายใต้การโจมตีทางกายภาพ ซึ่งบางครั้งส่งผลให้เกิดการตาย ในหมู่เหล่านี้โดยทั่วไปอาชญากรรมรุนแรง คือการโจมตีภาษาอังกฤษโสเภณี Emma Smith ที่ถูกทำร้ายและข่มขืนกับวัตถุโดยสี่คน สมิธ ซึ่งต่อมาเสียชีวิตของเยื่อบุช่องท้องอักเสบเป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในเหยื่อผู้โชคร้ายมากมาย หญิงถูกฆ่าโดยแก๊งเรียกร้องเงินคุ้มครอง

แต่ชุดของการฆาตกรรมที่เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 1 ยืนออกจากอาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆของเวลาที่พวกเขาทำเครื่องหมายโดย sadistic การสังหารหมู่แนะนำจิตใจมากขึ้นต่อต้านสังคม และน่าเกลียดกว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าใจ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ไม่ได้ออกรสชาติชีวิตด้วยมีด เขาเสียหายและอับอาย ผู้หญิง และ อาชญากรรมของเขาดูเหมือนจะร่วม abhorrance สำหรับเพศหญิงทั้งหมด
เมื่อแจ็คของริปเปอร์ฆาตกรก็หยุดลง ในฤดูใบไม้ร่วงของ 1 , ประชาชนลอนดอนต้องการคำตอบว่า จะไม่เข้ามามากขึ้นกว่าศตวรรษต่อมา ส่วนกรณีอย่างต่อเนื่องซึ่งมี spawned อุตสาหกรรมหนังสือ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ได้พบกับจำนวนของปัญหาอุปสรรค รวมทั้งขาดหลักฐาน ขอบเขตของข้อมูลที่ผิดและเท็จ และแน่นข้อบังคับโดยหลา สกอตแลนด์ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ได้หัวข้อข่าวมานานกว่า 120 ปี และอาจจะยังคงเป็นมานานหลายทศวรรษที่จะมา
ใน ปี ล่าสุด

เมื่อเร็วๆ นี้ ใน 2011 , อังกฤษ นักสืบ เทรเวอร์แมริออทที่ได้รับการตรวจสอบแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ฆาตกร ทำให้พาดหัวเมื่อเขาถูกปฏิเสธการเข้าถึงเอกสาร Uncensored แวดล้อมกรณี โดยตำรวจนครบาล ตามโครงการ ABC ข่าวตำรวจกรุงลอนดอนได้ปฏิเสธที่จะให้ในไฟล์เพราะพวกเขารวมถึงการป้องกันข้อมูลจากตำรวจ และมอบเอกสารที่อาจขัดขวางความเป็นไปได้ในอนาคตของพยาน โดยปัจจุบันข้อมูล
ในปี 2014 , รัสเซลล์เอ็ดเวิร์ด นักเขียนและนักสืบสมัครเล่น อ้างว่า เขาได้พิสูจน์ตัวตนของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ โดยผลตรวจดีเอ็นเอที่ได้จากผ้าคลุมไหล่เป็นของหนึ่งในเหยื่อ แคทเธอรีน eddowes . รายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่เอ็ดเวิร์ดยืนยันพวกเขาจุดที่อาโรน kosminkski , ผู้อพยพชาวโปแลนด์และหนึ่งใน grisley ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม

เจ้าชายลีเมียงบอคมีพระประสูติกาลเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2395 ทรงกำเนิดมาอย่างเจ้าชายปลายแถวที่ไม่มีหวังจะได้ครองราชย์เพราะราชบัลลังก์ในตอนนั้นอยู่ในกำมือของพระเจ้าซอลจง ซึ่งเป็นเจ้านายต่างตระกูลกับพระองค์


แต่ในช่วงที่ทรงพระเยาว์นั้น พระเจ้าซอลจงก็สวรรคตลงโดยไม่มีรัชทายาท ราชบัลลังก์แห่งโชซอนจึงกลายเป็นเนื้อชิ้นงามที่ใูงแร้งในคราบเชื้อพระวงศ์หมายมั่นจะรุมทึ้ง โดยมีเจ้าชายลีแฮอง พระบิดาของเจ้าชายลีเมียงบอคเป็นหัวหอกใหญ่ในการชิงอำนาจ และเมื่อกรุยทางไปสู่บัลลังก์โดยใช้เลือดของฝ่ายตรงข้ามเป็นเครื่องสังเวยเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายลีแฮองก็ทรงตั้งโอรสของตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ หรืออาจจะเรียกว่าหุ่นเชิดก็ยังได้ โดยมีพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการที่กุมบังเหียนอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่เถลิงราชสมบัติ เจ้าชายลีเมียงบอคก็เปลี่ยนพระนามเป็นกษัตริย์โกจง ส่วนเจ้าชายลีแฮองพระบิดา ได้รับพระยศใหม่เป็นองค์ชายแดวังกุน


ปกติยุวกษัตริย์จะต้องถูกกวดขันให้เรียนรู้วิชาการปกครองทุกๆ ด้าน เพื่อเตรียมรับภาระสำคัญในวันข้างหน้า แต่ชีวิตในวัยเยาว์ของพระเจ้าโกจง ทรงถูกสั่งสอนให้เอาแต่เล่น การศึกษาก็ได้รับเพียงงูๆ ปลาๆ  ไม่มากไปกว่าลูกขุนนางทั่วไป เพื่อไม่ให้ปีกกล้าขาแข็งลุกขึ้นมาต่อกรกับพระบิดาได้ พระเจ้าโกจงจึงเติบโตขึ้นมาแบบหนุ่มน้อยรักสนุกคนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อทรงเจริญชันษาได้ 15 ชันษา ก็ถึงเวลาที่พระเจ้าโกจงจะต้องมีมเหสีเสียที แน่นอนว่าองค์ชายแดวังกุนจะต้องกุลีกุจอมาจัดหาลูกสะใภ้ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายได้เมียหัวแข็งที่อาจจะงัดข้อกับพ่อผัวในวันข้างหน้า ผู้หญิงที่ทรงมองว่าเหมาะที่สุดเป็นสาวน้อยจากตระกูลมิน ชื่อว่าคุณหนูมินจายอง


เหตุผลที่องค์ชายแดวังกุนทรงเลือกคุณหนูคนนี้มาเป็นสะใภ้เจ้า คนนอกอย่างเราอาจฟังเป็นเรื่องตลก แต่มันช่างเป็นตลกร้ายสำหรับประชาชนเกาหลีตาดำๆ เสียนี่กระไร เพราะมันไม่ได้มาจากความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม หรือคุณสมบัติโดดเด่นกว่าผู้หญิงบ้านไหนเลย เหตุผลมีอยู่ข้อเดียวก็คือคุณหนูมินเธอเป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อแม่กับใครเขา จึงน่าจะปกครองง่ายกว่าคุณหนูจากครอบครัวใหญ่ที่มีพ่อแม่พี่น้องอยู่ครบเท่านั้นเอง

แต่สิ่งที่องค์ชายแดวังกุนมองข้ามไปก็คือภายใต้ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานแบบลูกผู้ดีนั้น มอนจายองเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยว เป็นตัวของตัวเอง และเป็นศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่าสตรีทุกนางที่องค์ชายแดวังกุนเคยพบมา

20 มีนาคม 2409 พระเจ้าโกจงทรงอภิเษกกับมินจายอง และสถาปนาเธอขึ้นเป็นพระนางมิน ราชินีคู่บัลลังก์ เวลานัเนตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ของไทยเราพอดี

ชีวิตข้าวใหม่ปลามันของกษัตริย์หนุ่มกับราชินีสาวเริ่มต้นอย่างศรศิลป์ไม่ค่อยจะกินกันนัก เพราะนิสัยใจคอที่ต่างกันสุดขั้ว ขณะที่พระเจ้าโกจงทรงเป็นหนุ่มรักสนุก เอาแต่สำเริงสำราญอยู่กับงานเลี้ยงฟุ่มเฟือยไม่เว้นแต่ละวัน ราชินีมินกลับเป็นผู้หญิงเจ้าปัญญา ทรงรักการอ่านตำราการปกครอง ชอบแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักปราชญ์ราชบัณฑิต การทำตัวเหลวไหลไร้สาระของพระสวามีจึงไม่ถูกพระทัยราชินีสาวเอาเสียเลย จงทรงแอบตรัสกับเพื่อนๆ ว่า "เขาทำให้ฉันขยะแขยงมาก"

แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว คนฟังก็คงจะเห็นภาพแล้วว่าชีวิตฉันสามีภรรยาของพระเจ้าโกจงกับราชินีมินจะหวานชื่นขนาดไหน

แต่ความรักมีวิธีของมันเองที่จะทำให้คนสองคนที่แม้แต่หน้ายังไม่อยากจะมอง กลับร้อยดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สำหรับพระเจ้าโกจงกับราชินีมิน วิธีนั้นมาในรูปของเกมการเมือง

จากเด็กหนุ่มรุ่นกระทงที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย พระเจ้าโกจงทรงเริ่มเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มเต็มตัว พร้อมๆ กับที่เกาหลีต้องเผชิญหน้ากับความละโมบของมหาอำนาจเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น ซึ่งจ้องจะฮุบประเทศนี้ตาเป็นมันมาหลายทศวรรษแล้ว แม้แต่ข้าราชการระดับสูงของเกาหลีก็ยังเอาใจออกห่างไปประจบประแจงญี่ปุ่นกันอย่างออกหน้าออกตา ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็เริ่มขยายอิทธพลเข้ามาในคาบสมุทรเกาหลีด้วย แต่เมื่อไรที่เกิดกรณีพิพาทกันขึ้น องค์ชายแดวังกุนผู้สำเร็จราชการก็มักจะจัดการปราบปรามชาวตะวันตกด้วยความรุนแรง จนมีการนองเลือดกันอยู่บ่อยครั้ง นโยบายทางการเมืองแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่านี้สวนทางกับแนวความคิดของราชินีมินอย่างแรง พระนางจึงเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาททางการเมืองขึ้นทีละน้อยๆ


มันสมองของพระมเหสีกลับกลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าโกจงทรงปรารถนาอย่างที่สุด เพราะทรงเริ่มเห็นแล้วว่าถ้ายังขืนบริหารประเทศตามแบบของพระบิดา ไม่นานแผ่นดินนี้จะต้องล่มจมอย่างแน่นอน กษัตริย์หนุ่มจึงเริ่มหันไปพึ่งราชินีสาวขึ้นเรื่อยๆ ฐานะของราชินีมินในตอนนี้จึงเปลี่ยนจากสะใภ้หัวอ่อนไปเป็นหนามแทงใจพ่อผัวอย่างองค์ชายแดวังกุนไปเสียแล้ว

และในที่สุดวันที่องค์ชายแดวังกุนไม่อยากให้มาถึงก็เกิดขึ้นจนได้นั่นคือวันที่ราชินีมินทรงร่วมมือกับพระประยูรญาติบังคับให้องค์ชายแดวังกุนลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการโดยอ้างว่าพระเจ้าโกจงทรงเจริญชันษามากพอจะครองบัลลังก์ได้ด้วยพระองค์เองแล้ว จากนั้นก็เนรเทศองค์ชายแดวังกุนไปอยู่นอกเขตพระราชฐาน ไม่ให้มีสิทธิมีเสียงในทางการเมืองได้อีก

กำจัดพ่อผัวตัวร้ายไปได้แล้ว ราชินีมินก็ยังต้องเป็นเสาหลักให้พระสวามีบริหารบ้านเมืองและต่อกรกับพิษภัยจากญี่ปุ่นต่อไป ราชินีมินช่วยให้พระสวามีรอดพ้นจากการถูกลอบสังหารโดยกลุ่มอำนาจเก่าหลายครั้ง จนทรงกลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพระสวามี พร้อมๆ กับที่ความรักความผูกพันก็ก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองพระองค์ ถึงขนาดที่ทรงเป็นเงาของกันและกัน เห็นคนหนึ่งก็ต้องเห็นอีกคนด้วยเสมอ...สองปีต่อมาราชินีมินก็มีพระประสูติกาลองค์ชายซุนจง พยานรักและรัชทายาทแห่งโชซอน

มันสมองอันฉลาดล้ำของราชินีมิน ทำให้ทรงกลายเป็นก้างชิ้นโตสำหรับญี่ปุ่นที่มุ่งมั่นจะครอบครองเกาหลีให้ได้ ประกอบกับการที่ทรงนำวิทยาการตะวันตกหลายอย่างเข้ามาใช้ในประเทศ จนขุนนางหัวเก่าหลายคนต้องสูญเสียอำนาจที่เคยมี ทำให้เกิดการวางแผนกำจัดราชินีมินขึ้นอย่างลับๆ โดยมีองค์ชายแดวังกุนพ่อผัวที่ยังรอวันชำระแค้นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดตัวสำคัญ

องค์ชายแดวังกุนทรงลอบขอความช่วยเหลือจากกองทัพญี่ปุ่น จนมั่นใจว่าจะสามารถกลับมากุมบังเหียนอำนาจในเกาหลีได้เหมือนเก่า จากนั้นแผนการลอบปลงพระชนม์ราชินีมินก็ถูกกำหนดขึ้น!

เช้าตรู่วันที่ 8 ตุลาคม 2438 หน่วยลอบสังหารกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในที่ประทับของราชินีมิน จัดการฆ่าทุกชีวิตที่อยู่ในพระตำหนักจนไม่เหลือหรอ และหนึ่งในนั้นก็มีราชินีมิน ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของพระเจ้าโกจงรวมด้วย!!

หลังจากสูญเสียพระมเหสีผู้เป็นมันสมองไป พระเจ้าโกจงก็เหมือนนกปีกหัก ทรงถูกลิดรอนอำนาจจนสิ้นและถูกบีบให้สละาชบัลลังก์ด้วยน้ำมือขององค์ชายแดวังกุน พระบิดาของพระองค์เอง แต่ก่อนจะหมดอำนาจ พระเจ้าโกจงทรงฮึดสู้พระบิดาเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อองค์ชายแดวังกุนสั่งให้ทรงถอดถอนราชินีมินผู้วายชนม์ลงมาเป็นสามัญชน พระเจ้าโกจงทรงตรัสใส่หน้าพระบิดาว่า

"ลูกยอมเชือดข้อมือตัวเองเสียยังดีกว่าที่จะลดศักดิ์ศรีของสตรีที่พยายามปกป้องประเทศนี้เอาไว้"

เพราะความเข้มแข็งเฮือกสุดท้ายของพระสวามี ราชินีมินจึงยังคงเป็นราชินีในบันทึกราชวงศ์เกาหลีมาจนถึงทุกวันนี้

อัลเบิร์ตไอน์สไตน์สุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล
อัลเบิร์ตไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในศตวรรษที่ 20 เขาเป็นคนคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพที่เป็นที่มาของการสร้างระเบิดปรมาณูที่มีอานุภาพร้ายแรงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐอเมริกานำไปโจมตีที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมพ.ศ 2488 มีคนเสียชีวิตไปประมาณ 140000 คน และเมืองนางาซากิวันที่ 9 สิงหาคมพ.ศ 2488 มีคนเสียชีวิตประมาณ 80000 คน ในที่สุดประเทศญี่ปุ่นก็ต้องยอมแพ้ต่อกองทัพของพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมพ.ศ 2488

 เมื่อปีพ.ศ 2482  เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์ ยูเกน พอลวิกเนอร์ และ ลีโอ ซีลาร์ค ชาวฮังกาเรียนที่ทำงานเกี่ยวกับนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ทั้ง 3 คนหลบหนีจากเยอรมนีมาอยู่อเมริกา และได้มาพบกับไอน์สไตน์ให้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสเวลท์ให้ทราบว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศเยอรมนีจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ซึ่งจะเป็นภัยร้ายแรงมากแต่เรื่องก็เงียบหายไป

ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคมพ. ศ. 2484 ที่เพิร์ลฮาเบอร์ฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ฮาวายถูกกองทัพญี่ปุ่นโจมตีทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทันทีและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติโครงการแมนฮัตตันเพื่อผลิตระเบิดนิวเคลียร์ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ได้นำระเบิดนิวเคลียร์ไปโจมตีที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิจนประเทศญี่ปุ่น ประกาศยอมแพ้ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เมื่อไอสไตน์ทราบข่าวความสูญเสียชีวิตผู้คนและอาคารบ้านเรือนที่ถูกทำลายอย่างย่อยยับจากพิษสงของระเบิดนิวเคลียร์ ที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิ เขาเสียใจมากและได้กล่าวกับผู้คนในตอนหลังว่า

"หากทราบว่าประเทศเยอรมนีไม่สามารถระเบิดนิวเคลียร์ได้ เขาจะไม่ลงนามในจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสเวลท์ให้อนุมัติโครงการแมนฮัตตันอย่างแน่นอน"

หลังจากนั้นเป็นต้นมาไอสไตน์ได้ร่วมรณรงค์คัดค้าน ต่อต้านสงครามเรื่อยมา และมีคำพูดของเขาที่ถือเป็นคำคมที่มีผู้ยกไปอ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่น

"ข้าพเจ้าขอเรียกร้องต่อหญิงชายทั้งหลายไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตามขอให้ท่านประกาศว่าท่านจะไม่เป็นผู้ให้การช่วยเหลือใดๆแก่การสงครามหรือเตรียมการให้เกิดสงคราม ในความเชื่อของข้าพเจ้าการนำสันติภาพมาสู่โลกบนพื้นฐานความเป็นอยู่ของชนชาติต่างๆก็โดยการนำวิธีการของมหาตมะคานธีคือการสู้โดยสงบ สันติ อหิงสา มาใช้อย่างกว้างขวาง ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าถ้าหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษย์จะใช้อาวุธอะไรประหัตประหารกันรู้แต่เพียงว่าหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 "

ไอสไตน์คงคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้นมนุษย์จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ประหัตประหารกันย่อยยับจนไม่มีอาวุธอะไรเหลืออยู่เลยเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 จึงเหลือแต่ก้อนหินและกระบองไม้เป็นอาวุธ

"สันติภาพไม่สามารถรักษาไว้ได้โดยใช้กำลังแต่การรักษาสันติภาพจะสามารถบรรลุได้ด้วยการทำความเข้าใจกัน"

 เมื่อปี 2483 ไอสไตน์ได้เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาและได้รับคำเชิญเป็นศาสดาอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยปริ๊นซ์ตันรัฐนิวเจอร์ซีย์ไอน์สไตน์กล่าวสุนทรพจน์ในการบรรยายหลายแห่งว่า

" ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเลิศแต่อย่างไรแต่ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความกระหายอยากรู้อยู่เสมอมีความพากเพียรในการค้นหาสิ่งที่อยากรู้อย่างอดทนรวมทั้งวิจารณ์ตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยนำมาซึ่งความคิดของข้าพเจ้า"

คำพูดดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าไอน์สไตน์เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ที่มีความกระหายในความอยากรู้และค้นหาความรู้นอกจากนี้เขาได้ให้หลักในการสอนซึ่งครูอาจารย์น่าจะนำไปเป็นแบบอย่างในการสอนนักเรียน

" ผมไม่เคยสอนลูกศิษย์ของผมผมเป็นแต่เพียงผู้พยายามเต็มเงื่อนไขภาวะแวดล้อมให้เขาได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองเท่านั้น"

และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ให้ความสำคัญต่อการจินตนาการมาก ทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เขาคิดได้สำเร็จมาจากการจินตนาการทั้งนั้น เข้าได้ย้ำว่า จินตนาการมีความสำคัญมากกว่าความรู้

อัลเบิร์ต ไอสไตน์นั้นเคยแต่งงาน 3 ครั้งภรรยาคนแรกชื่อว่าคอช ซึ่งเป็นสาวใช้ในบ้าน ภรรยาคนที่ 2 ชื่อ มิเลว่า มาริค เธอมีลูกกับไอสไตล์ 2 คน ตอบมาได้หย่าขาดจากไอสไตล์และไอน์สไตน์ได้แต่งงานใหม่กับ เอลซ่า โรเวนธัล ซึ่งได้อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต

เกี่ยวกับเรื่องความรักนั้นไอสไตน์ได้กล่าวเปรียบเปยเป็นคำคมที่มีผู้นำไปกล่าวอ้างอิงโดยนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์กับความรัก อย่างเช่น

แรงโน้มถ่วงของโลกไม่รับผิดชอบในการที่บุคคลจะตกหลุมรักกัน

วางมือบนเตาไฟ 1 นาทีมันช่างยาวนานเหมือน 1 ชั่วโมงแต่ถ้านั่งคุยกับสาวงาม 1 ชั่วโมงเวลามันช่างหมดไปเร็วเหมือนเวลา 1 นาทีนี่แหละหลักสัมพัทธภาพ

มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าวันหนึ่งมาริลินมอนโร ดาราสาวเซ็กซี่สตาร์ของ Hollywood ได้พบกับไอน์สไตน์เธอจึงได้พูดสัพยอกทีเล่นทีจริงกับไอสไตน์ว่า

"ท่านศาสตราจารย์ท่านว่าไหมหากเราได้แต่งงานกันลูกชายที่เกิดมาคงจะมีใบหน้าเหมือนกับฉันและมีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับท่าน"

ไอสไตน์ได้ฟังก็หัวเราะหึหึพร้อมกับตอบสวนกลับไปว่า

"ผมกลัวว่ามันจะตรงกันข้าม เกรงว่าเด็กคนนั้นจะมีใบหน้าเหมือนผมแต่โง่เหมือนคุณนะสิ"

คำตอบดังกล่าวทำเอามาริลีนมอนโรอายม้วนไปเลยทีเดียว

ปกติอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นคนอารมณ์เย็นสุภาพไม่มักใหญ่ใฝ่สูงไม่ยึดถือชื่อเสียงเงินทองและมีอารมณ์ขันอยู่เสมอเมื่อคราวที่อาศัยอยู่ในเยอรมันนีเป็นช่วงที่คิดเริ่มมีอำนาจ ไอสไตน์ถูกหมายหัวว่าเป็นศัตรูต่อประเทศเยอรมนีและทางการเยอรมนีได้ตั้งค่าหัวไอสไตน์ไว้ $5000 มีนักข่าวคนหนึ่งได้ถามไอน์สไตน์ว่า

รู้ไหมว่ารัฐบาลเยอรมันตั้งรางวัลค่าหัวท่านไว้ถึง 5000 ดอลลาร์สหรัฐ

ไอสไตน์ยิ้มและตอบว่า

ค่าหัวของผมแพงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ

คนบางคนอาจจะเคยสงสัยว่าเคยเห็นภาพถ่ายของอัลเบิร์ต ไอสไตน์แลบลิ้นปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ทราบว่าทำไมไอสไตน์จึงทำเช่นนั้น

คำตอบก็คือไอสไตน์เป็นคนมีอารมณ์ขันเขาขี้เล่นและเป็นกันเองกับสื่อมวลชน ทราบว่าตอนนั้นมีนักหนังสือพิมพ์หลายคนไปสัมภาษณ์และขอถ่ายรูปและขอให้ยิ้มเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม ไอสไตน์นึกสนุกขึ้นมาจึงแลบลิ้นให้สื่อมวลชนถ่ายภาพเสียเลย สิ่งที่ยืนยันว่าไอสไตน์เป็นผู้ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ก็คือเมื่อปีพ.ศ 2495 เดวิด เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรีแห่งอิสราเอลได้เสนอให้ไอสไตน์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอิสราเอลต่อจากประธานาธิบดีไซม์ ไวซ์แมน ประธานาธิบดีคนแรกที่เสียชีวิต แต่ไอสไตน์ก็ปฏิเสธ โดยกล่าวว่า

"ข้าพเจ้าได้จากประเทศอิสราเอลมาเป็นเวลานานข้าพเจ้ามีความละอายและมีความเสียใจที่จะบอกว่าข้าพเจ้าไม่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้เพราะข้าพเจ้าไม่มีความสามารถในการบริหารการปกครองและไม่มีประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์"

อัลเบิร์ต ไอสไตน์นั้นเกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคมพ. ศ. 2422 ที่เมืองอูล์มในเวือเทมเบิร์ก (Wurttemberg) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี และ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายนพ. ศ. 2498 ที่โรงพยาบาลพรินซ์ตันรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา รวมอายุได้ 76 ปี

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เรื่องทฤษฎีการแผ่รังสีในปีพ. ศ. 2464

ด้วยความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์เมื่อปีพ.ศ 2542  นิตยสารไทม์ได้ยกย่องว่าไอน์สไตน์เป็นบุคคลแห่งศตวรรษ

และกัลลัพ โพล ได้บันทึกว่า
เขาเป็นบุคคลผู้ได้รับการยกย่องสูงสุดอันดับที่ 4 แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลสูงในประวัติศาสตร์ไอน์สไตน์นั้นได้รับยกย่องให้เป็น นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล

Popular Posts