อาการชาจากปลายประสาทอักเสบ คุณเองก็สังเกตได้
โดย พันเอก (พิเศษ) รศ.นพ. วรัท ทรรศนะวิภาส กองออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
โรคปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathies)
หลายๆ คนอาจเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการชาหรือรับความรู้สึกเจ็บปวด, ร้อน, เย็นต่างๆ ผิดปกติบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกายโดยเฉพาะที่แขนและขากันมาบ้าง ซึ่งอาการชาๆ แบบนี้มีอยู่หลายลักษณะด้วยกัน เช่น
ชาแบบร้อน ซู่ๆ บริเวณนิ้วหัวแม่มือ, นิ้วชี้, นิ้วกลาง ซึ่งมักพบอาการตอนดึกหรือหลังตื่นนอนใหม่ๆ
ส่วนบางคนรู้สึก ชายุบยิบที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นชาหนาๆ เหมือนใส่ถุงเท้าอยู่ตลอดเวลา มักพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน
ในขณะที่ผู้สูงอายุหลายคนที่เริ่มมีการเสื่อมของกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว อาจมีอาการปวดหลังและชาขา ร่วมไปกับอาการขาอ่อนแรงด้วย
จะเห็นได้ว่าอาการชานั้นอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อาการปวด หรืออ่อนแรง และอาจเป็นๆ หายๆ หรือเป็นอยู่ตลอดเวลาบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้ ส่วนมากมักเกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทหรือที่เรียกว่า ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathies)
โรคปลายประสาทอักเสบนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุได้แก่
1. การกดทับเส้นประสาทเฉพาะที่
เมื่อเส้นประสาทส่วนใดส่วนหนึ่งถูกกดทับเป็นระยะเวลานานๆ ตัวอย่างเช่น
- กลุ่มอาการที่เส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ หรือ Carpal Tunnel Syndrome ซึ่งมักพบในกลุ่มคนที่ใช้ข้อมืออย่างหนักจนเนื้อเยื่อที่ข้อมือหนาตัวขึ้นปละกดรัดเส้นประสาท เช่น คนที่ทำงานบ้าน, ซักผ้า, รีดผ้า ,พิมพ์ดีด หรือเล่นกีฬาที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ
- กลุ่มอาการที่เส้นประสาทถูกกดเบียดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวด ชา ช่วงหลังลามไปถึงขา หรือ เส้นประสาทที่สะโพกถูกกดเบียด ทำให้รู้สึกชาบริเวณสะโพก มักเกิดเมื่อนั่งอยู่ในท่าทางเดิมนานๆ หรือใส่กางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป พบบ่อยโดยเฉพาะคนที่ค่อนข้างอ้วน
2. เป็นผลจากโรคหรือภาวะผิดปกติชนิดอื่น
- โรคเบาหวาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานและคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมักเกิดอาการชาจากปลายประสาทอักเสบตามมาเรียกโรคนี้ว่า Diabetic neuropathies
- โรคอื่นๆ เช่นไทรอยด์บางชนิด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคติดเชื้อบางชนิด, ความผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท
3. สาเหตุอื่นๆ
- อุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ จนส่งผลให้เส้นประสาทเกิดความเสียหาย
- ยาหรือสารพิษบางชนิด เช่น ยาต้านมะเร็ง, ยากันชัก, ยาปฏิชีวนะบางชนิด, สารตะกั่ว, ปรอท เป็นต้น กลุ่มนี้ถ้าทราบและกำจัดสาเหตุตั้งแต่แรก อาการต่างๆ มักจะกลับเป็นปกติได้
จะรักษาและป้องกันอาการชาจากปลายประสาทอักเสบได้อย่างไร?
การรักษาอาการชาจากโรคปลายประสาทอักเสบนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ กันดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งการรักษาบางกรณีอาจใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน ได้แก่
1. กำจัดจากสาเหตุ เช่น
- หากเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับควรลดหรือเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทเป็นเวลานาน โดยพยายามไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานจนเกินไป
- ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานควรรักษาระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่าปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องนานๆ
2. การรักษาด้วยยา
นอกจากจะต้องรับประทานยาสำหรับโรคประจำตัวของผู้ป่วยแต่ละรายแล้ว อาจมีการใช้ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาแก้ปวดในกรณีที่มีอาการปวด และควรรับประทานวิตามิน เช่น มีโคบาลามินในขนาดสำหรับการรักษาเพื่อส่งเสริมในกระบวนการซ่อมแซมเส้นประสาทบรรเทาอาการชาและอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น
3. การผ่าตัด ในกรณีที่มีอาการรุนแรง
4. การทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
อาการชาแบบไหน อาจเป็นปลายประสาทอักเสบ
การตรวจสอบด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ ว่าท่านมีภาวะปลายเส้นประสาทอักเสบหรือไม่
- รู้สึกซู่ซ่า หรือเป็นเหน็บที่ปลายเท้า
- รู้สึกเหมือนเข็มแทงที่ปลายเท้า
- รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปลายเท้า
- รู้สึกไวต่อความเจ็บปวด เช่น การแตะสัมผัสเบาๆ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บ
- เจ็บปลายเท้าโดยเฉพาะกลางคืน
- ปลายมือ ปลายเท้าเย็น หรือร้อนผิดปกติ
- ปลายเท้าชา และไม่รู้สึกเมื่อสัมผัส
- มือและเท้าไม่รู้สึกถึงความรู้สึกร้อนเย็น
- ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อมีแผลที่เท้า
- กล้ามเนื้อที่ขาอ่อนแรง และเท้าอ่อนแรง
- รู้สึกไม่ค่อยมั่นคง และอ่อนแรงเวลายืน หรือเดิน
- เมื่อมีแผล มักเป็นแผลเรื้อรัง
- รูปร่างของเท้าผิดปกติไปจากเดิม