google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic: สุขภาพ | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์
Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts
Showing posts with label สุขภาพ. Show all posts

กินอยู่แบบนาฬิกาชีวิต พิชิตไวรัสได้อย่างไร

กินอยู่แบบนาฬิกาชีวิต พิชิตไวรัสได้อย่างไร

จากหนังสือนาฬิกาชีวิต อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา
สืบเนื่องจากเรื่องหนังสือนาฬิกาชีวิตเล่ม 1 ขอย้อนว่าทำไมถึงนำมาพูดอีก ตลอดเวลา 20 ปีที่พูดมา เราจะพบว่าเด็กรุ่นใหม่กินนอนไม่เป็น คือไม่เป็นอันกิน ไม่เป็นอันนอน ถึงเวลาควรจะนอนกลับไม่ได้นอน ถึงเวลาควรจะกินกลับไม่ได้กิน แล้วเป็นเหตุให้เจ็บป่วย เช่น ถึงเวลาที่จะต้องกินอาหาร เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยกินอาหารเช้านะครับ ลองทำสำรวจหรือวิจัยดูก็ได้ว่าเด็กที่กินอาหารเช้ามีซักเท่าไหร่ บางคนต้องรีบไปโรงเรียนก็กินไม่ทัน บางคนตื่นสายก็กินไม่ทัน บางคนก็ไม่มีจะกินนะครับ มันมีหลายสาเหตุ คราวนี้การไม่กินอาหารเช้ามันมีโทษยังไงบ้าง

พอเราไม่ได้กินอาหารเช้า ช่วงเช้าสมองต้องการน้ำตาลและกรดอะมิโนจากโปรตีนไปเลี้ยงสมองก่อน ถ้ากินอาหารเช้าก็แล้วไป เขาไม่ต้องไปเบียดเบียนอวัยวะอื่น แต่ถ้าไม่กินอาหารเช้า รู้ไหมครับว่า หัวใจ ตับ ไต ม้าม ปอด อวัยวะสำคัญๆ จะต้องส่งส่วย ส่งน้ำตาลที่เขาเอาไว้เลี้ยงชีพของเขา ตับจะต้องมีน้ำตาลไว้เลี้ยงชีพของเขา ไต หัวใจ ต้องมีน้ำตาลไว้เลี้ยงชีพเขา เขาต้องแบ่งปันน่ะ คือต้องส่งส่วยของตัวเองเพื่อไปเลี้ยงสมองนะครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ ในที่สุด หัวใจ ตับ ไต ม้าม ปอดของเราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในแต่ละวัน วันข้างหน้าเขาจึงเสื่อม เราก็ได้โรคหัวใจ โรคไต อะไรแถมมาเพียบ เพียงแค่เราไม่กินอาหารเช้านะครับ



แล้วในที่สุดทำไมได้โรคเกี่ยวกับสมองมา ถ้าหากตับ ไต หัวใจ ม้าม ปอดเขาไม่มีจะให้ นึกภาพออกไหม เขาโดนรีดภาษีทุกวัน แล้วเขาไม่มีจะให้อีกแล้ว สมองเราไม่มีน้ำตาล ไม่มีกรดอะมิโนมาเลี้ยง สมองก็เสื่อมนะครับ นี่เรากำลังทำลายชีวิตตัวเองนะครับ แล้วถึงเวลานอนไม่ได้นอนเนี่ย ในแต่ละวันมีอวัยวะบางส่วนที่ต้องการซ่อมแซม ถ้าเราไม่นอนเขาก็ซ่อมไม่ได้ เขาต้อง Standby ไว้คอยทำอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ เป็นอย่างนี้ คือ คนไม่รู้อยู่ รู้กิน รู้นอนกัน ก็เลยต้องนำทฤษฎีเมื่อ 5,000 ปีก่อนมานำเสนอใหม่ คือเรื่องนาฬิกาชีวิตว่า ช่วงเวลาไหน ร่างกาย อวัยวะตัวไหนดูแลอะไร แล้วการกินอาหารตามนาฬิกาชีวิตนี่ มันช่วยได้เยอะ เช่น ถ้าเราอยากจะรักษาเบาหวาน

ต้นเหตุของ "เบาหวาน" อยู่ที่ "ตับอ่อน" ตับอ่อนจะทำงานเวลาเดียวกับม้าม คือเวลา 09.00-11.00 น. เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถให้สารอาหารที่ไปฟื้นฟูตับอ่อนในเวลานั้น มันจะออกฤทธิ์แรงกว่าให้เวลาอื่นถึง 40 เท่า เข้าใจไหมครับ มันจะมีกระบวนการดูดซึมที่เอาไปใช้ได้ตรงเลย ไม่งั้น...สารอาหารต้องวิ่งอ้อมผ่านอวัยวะอื่น อวัยวะอื่นเวลารับฝากไว้ก็ทำไม...ก็ดูดซึมเอาไปใช้บ้าง กว่าจะถึงต้นตอมันก็เหลือนิดเดียว มันก็ไม่พอใช้ อันนี้เป็นความไม่เข้าใจของคนรุ่นใหม่นะครับ อีกประการหนึ่งก็คือ นอกจากการดูแลตามนาฬิกาชีวิต ถ้ามีเวลาอาจจะพูดซ้ำนะครับ เพราะว่าได้พูดไปแล้วในเล่ม 1 ว่า ช่วงเวลาไหนเป็นช่วงเวลาของอวัยวะอะไร

ประการที่สำคัญก็คือว่า ในเรื่องร่างกายของคน รูปกายเรา ถ้าเป็นการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ตะวันตก แพทย์จีน หรือแพทย์แผนไทย งานของแพทย์คือการแก้ที่ปลายเหตุ เขาจะดูว่าร่างกายของคนมีอาการอะไรเกิดขึ้น อาการแบบนี้จะรักษายังไง แต่จริงๆ แล้วอาการที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากต้นเหตุที่ต่างกันก็ได้นะครับ เราจึงต้องไปดูที่ต้นเหตุ การศึกษาถึงต้นเหตุ เป็นการศึกษาสุขภาพตามแนววิถีพุทธครับ วิถีพุทธเป็นวิถีเดียวที่ลงไปศึกษาต้นเหตุ ภาษาธรรมเขาเรียกว่า ศึกษาตามหลัก "อิทัปปัจจยตา" คือทุกอย่างมีเหตุซ้อนเหตุ เขาเรียก "เหตุของเหตุของเหตุ" แต่ถ้าวงการแพทย์สมัยใหม่ หรือแพทย์าอายุรเวทของอินเดียที่เผยแพร่อยู่ในบ้านเราก็ศึกษาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น เป็นลมวิงเวียน ปวดหัว คำว่าลม วิงเวียน ปวดหัว ต้นเหตุมันมาเป็นสิบๆ อย่างเลยนะครับ ต้นเหตุมันต่างกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาถึงต้นเหตุในทางพระพุทธศาสนาจะแบ่งตามหลักธรรมเรียกว่า "สังคตธรรม" สังคตธรรมหมายความว่าธรรมทั้งหลายย่อมประกอบไปด้วยปัจจัย 4 ปัจจัย

ปัจจัย 4 อย่างที่ว่ามานี่ไม่ใช่ บ้าน อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคนะครับ ปัจจัย 4 ของสังคตธรรมหมายถึง กรรม จิต อุตุ อาหาร เพราะฉะนั้นเวลาเราศึกษาอะไร ก็จะดูว่าเหตุที่มันเกิด เกิดจากพื้นฐานตัวไหน ที่เป็นอยู่นี่เป็นจากกรรมหรือเปล่า หรือว่ามาจากอุตุ มาจากจิตหรือจากอาหาร

คราวนี้พอคนเรามีอาการนอนไม่หลับก็จะแก้อาการนอนไม่หลับนั้นทันที จริงๆ แล้วอาการนอนไม่หลับมันมีที่มาหลายอย่างนะครับ อาการนอนไม่หลับมีที่มาจากกรรมก็ได้ เช่น เป็นคนที่ชอบทำเสียงเอะอะโวยวายรบกวนข้างบ้าน กรรมอันนี้ก็ทำให้นอนไม่หลับ เป็นเหตุให้นอนไม่หลับได้ นี่เป็นเรื่องของกรรมที่หลายคนนึกไม่ถึงว่า แค่นอนไม่หลับมาจากกรรมเก่าที่เราเคยทำเสียงโหวกเหวกไว้ให้คนนอนไม่หลับ ก็เป็นเหตุให้เรานอนไม่หลับได้เหมือนกันนะครับ หรือกรรมบางอย่าง เช่น คนถ่ายไม่ค่อยออกเกิดจากกรรมก็มี กรรมคืออะไร... ชอบจอดรถขวางประตูหน้าบ้านคนอื่น การจอดรถขวางประตูทางออกเป็นเหตุให้เราถ่ายไม่ออก อยู่ๆ ก็ถ่ายไม่ออกมาเฉยๆ บางคนก็ชอบคิดว่าจอดเดี๋ยวเดียว เขาคงไม่เดือดร้อนอะไร ที่ไหนได้... เขาจะเข้าออกเพื่อนำคนเจ็บออกจากบ้านไปโรงพยาบาล...แต่ออกไม่ได้ มีรถมาขวางประตูซะอย่างนั้น

นี่เป็นเรื่องของกรรม ยกตัวอย่างให้เห็นนะครับว่า กรรมบางอย่างเป็นเหตุให้เจ็บป่วย เรื่องนี้สามารถยืนยันได้จากแพทย์คนไทยที่ไปทำมาหากินอยู่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาครับ วันหนึ่งโทรศัพท์มาหาผมกลางดึก คือดึกบ้านเราแต่มันสว่างบ้านเขา เธอบอกว่าเธอเป็นหมอและป่วยเป็นมะเร็ง ให้คีโมรักษาตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่หาย อยากขอคำแนะนำ ก็ตรวจพบว่าเธอมีปัญหาเรื่องกรรมเก่า ก็สอนให้เธออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร พอรู้สึกมีอาการไม่สบาย เธอก็จะโทรมา เราก็จะพบเจ้ากรรมนายเวร เราก็สอนให้อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปนะครับ ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็หายจากมะเร็ง และก็มีการเล่าลือกันในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าผมสามารถรักษามะเร็งทางโทรศัพท์ ที่จริงไม่ใช่นะครับ...ไม่ใช่หมอ เป็นคนที่ไม่ใช่หมอ แต่เราศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและรู้ว่าต้นเหตุมันมาจากไหน 

เมื่อต้นเหตุมันมาจากกรรม เราก็แก้กรรมด้วยการอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเขาไปเกิด เขาก็ไม่รังควาญอีก อาการป่วยจึงหาย มันก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เราไปรักษาให้นะครับ อันนี้เป็นเรื่องของกรรม คือบางทีมันเป็นกรรมในอดีต อาจจะงงนะว่ามันมีที่มาเป็นยังไง แต่กรรมปัจจุบันเป็นตัวทำร้ายเรานะครับ เช่น ในประเทศอเมริกาจะมีคนมีปัญหาเรื่องระบบเพศ เรื่องต่อมไร้ท่อ เรื่องอะไรล่ะ... เรื่องระบบย่อยกันมาก ในที่สุดต้องไปผ่าเข่า สาเหตุเกิดจากการนั่ง คนอเมริกันเขาจะไม่นั่งตัวตรงๆ แบบบ้านเรานะ เวลานั่งที่ไหน เขาจะเอนตัวไถลน่ะ การนั่งเอนตัวไถลไปกลายเป็นไม่ได้เอาก้นนั่ง ต้องเอากระดูกเอวที่เรียกว่า "กระดูกกรามบ้า"  ไปนั่งแทน พอกระดูกเอวไปนั่ง กระดูกมันก็เคลื่อนจากข้อต่อกระดูกไปกดทับเส้นประสาท ทำให้หมอนรองกระดูกทรุดอะไรไปอย่างนี้ แล้วก็เจ็บป่วยตามมาอีกเยอะแยะ อันนี้เกิดจากท่านั่ง เพราะฉะนั้นเวลาไปไหนขอให้นั่งตัวตั้งๆ ไว้ เวลานั่งในรถก็อย่าปรับเบาะเอนนอน เพราะการนั่งเอนนอนแบบนี้ เวลารถกระแทก กระดูกหลังเราจะเคลื่อน

กระดูกหลังนี่เขาไม่มีอะไรยึดนะครับ ไม่มีลวดยึด เขาเรียงตั้งไว้เฉยๆ กระดูกหลังเรานี่ เอามาเรียงต่อๆ กันเฉยๆ เพราะฉะนั้นมันพร้อมจะเคลื่อนหลุดได้ตลอดเวลาถ้าเราไม่นั่งตัวตั้งๆ ไว้ ถ้าเป็นโรงเรียนพาณิชย์ในสมัยก่อน ใครที่เรียนพาณิชย์คงรู้ดีว่าเวลานั่งพิมพ์ดีดครูบาอาจารย์จะเน้นมาก ต้องนั่งตัวตรงตลอด จะพิมพ์ 2 ชั่วโมง กี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ล่ะ ต้องนั่งตัวตรง ถ้าไม่ตรงครูบาอาจารย์เอาไม้เรียวหวดหลังเลยนะครับ เดี๋ยวนี้ตีไม่ได้แล้วใช่ไหม ก็ปล่อยให้ลูกศิษย์นั่งหลังค่อมต่อไป เพราะเตือนก็ไม่ฟังอีกนะครับ แล้วในที่สุดก็จะเกิดภาวะกระดูกไปกดทับเส้นประสาท แล้วก็ป่วยตามมา อันนี้ก็มาจากกรรมที่ทำไว้กับตัวเองนะครับ กรรมจากการกินผิด นั่งผิด อะไรพวกนี้ เป็นเรื่องที่ทำไว้กับตัวเอง เป็นกรรมปัจจุบันนะครับ

ประการต่อมาเรื่องสภาวะจิต เราก็ไม่รู้ว่าการที่เราเป็นคนตื่นเต้นง่ายเป็นเหตุให้ร่างกาบสร้างโคเลสเตอรอลสูงกว่าไปกินของมันๆ อีกนะครับ บางคนเคยมาปรึกษาบ่อยๆ ว่าเขาไปพบแพทย์มา หมอบอกว่ามีโคเลสเตอรอลสูง หมอให้งดของมันๆ เธอก็บอกว่าเธองดทุกอย่างแล้ว ของมันๆ ทุกชนิดก็ไม่กิน รวมทั้งงดแต่งงานด้วย เราก็งง มันเกี่ยวอะไรกับของมันๆ แกคงตีความไปไกลน่ะ แต่งงาน หมอให้งดของมันๆ ไง งดแต่งงานด้วย 555 แล้วก็ยังบอกว่าไม่หาย...ไม่หาย ก็เลยบอกว่าการงดของมันๆ ไม่ได้แปลว่าจะทำให้โคเลสเตอรอลลดลง เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว โคเลสเตอรอลเกิดจากความคิด 80% เพราะเราตื่นเต้น... การตื่นเต้นง่าย แล้วเดี๋ยวนี้เหตุการณ์บ้านเมืองบ้าง หนังบ้าง ละครบ้าง เป็นเหตุให้เราตื่นเต้นตลอดเวลา เรามาลุ้นรัฐบาลจะไปรอดไม่รอด เศรษฐกิจจะดีไม่ดี คนตกงานหรือไม่นะครับ ที่จริงคนตกงานมีทุกวันแหละ แต่มีคนช่วยพูดเขย่าขวัญอีกว่าตลาดแรงงานจะน้อยลงอะไรอย่างนี้ ทุกคนก็ตื่นเต้นตลอดว่าลูกศิษย์เรียนไปจะได้งานไหม นั่นก็เป็นเหตุให้โคเลสเตอรอลขึ้นสูงได้เพราะเรื่องของความคิด

หรืออย่างบางคน คนที่วิตกกังวลบ่อยๆ เช่น อย่างชาวบ้านนี่นะครับ เขาจะมีปัญหาปวดตามข้อ ปวดเข่า ปวดข้อเท้า แล้วไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นเก๊าท์-รูมาตอยด์บ้าง ชื่อมันก็แปลกๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง แต่รู้สึกว่าชื่อมันเท่ดีใช่ไหม ไปหาหมอมา หมอให้ชื่อโรคเพราะเชียว โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ก็จำมาพูดนะครับ แต่ไม่คิดจะรักษาให้หายนะ เจอใครก็เล่าให้ฟังตลอดน่ะ เพราะว่าชื่อมันเท่ จริงๆ แล้วโรคเก๊าท์-รูมาตอยด์นี่มีที่มา 2 ประการนะครับ

อันดับแรกเพราะเราไปกินอาหารที่มีพิวรีน (Purine) สูง อาหารที่มีกลิ่นฉุนทั้งหลายแหล่จะมีพิวรีนสูง เช่น ผักแพว สัตว์ปีก อาหารพื้นบ้านที่พอจะกินได้ก็คือสัตว์ปีกนี่แหละ อีกประเภทหนึ่งคือกลุ่มเครื่องในสัตว์ ซึ่งบางทีจะไม่กินก็ไม่ได้ ล้มวัวไปตัวเครื่องในมันเยอะนะครับ ก็ต้องกิน พวกนี้เป็นพวกมีพิวรีนสูง แต่การกินอาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเดียวยังไม่ทำให้เป็นเก๊าท์ เป็นรูมาตอยด์นะครับ มันต้องเครียดด้วย ต้องเป็นคนที่มีความวิตกกังวลบ่อย แล้วคนทางภาคอีสานนี่เป็นแชมป์วิตกกังวลเลยนะ ที่เป็นแชมป์วิตกกังวลเพราะเป็นคนมีน้ำใจ คือจะเป็นห่วงเขาไปหมดน่ะ เขาเรียกอะไรล่ะ มันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนอีสาน เป็นคนเอื้ออาทร ห่วงเขาไปทั่ว บ้านตัวเองไม่มีเรื่องห่วง ยังห่วงข้างบ้านได้เลยนะ เจ็บร้อนแทนเขาไปหมด ความเป็นห่วง ความมีน้ำใจก็เป็นคนวิตกกังวลง่าย พอกินอาหารที่มีพิวรีนบวกกับความวิตกกังวล คราวนี้มันก็เกิดเป็นกรดยูริค กรดยูริคมันก็จะตกตะกอนแล้วกลายเป็นหินปูน ไปหาหมอ...หมอบอกกระดูกงอกอย่างนี้นะครับ เป็นหินปูนไปเกาะตรงนู้นตรงนี้ทั่วไปหมดแหละ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะขจัดยังไง ไปหาหมอ หมอก็ให้ยาลดกรดยูริค ซึ่งมันลดไม่ได้หรอกนะครับ ก็ให้เข้าใจว่าสภาวะจิตก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนเจ็บป่วยได้

สุดท้ายก็เป็นเรื่องของอาหารน่ะแหละ พูดครบไหม คือ เรื่องกรรมของจิต เรื่องอุตุ อ้า...อุตุนี่หลายคนอาจไม่ค่อยเข้าใจ อุตุ หมายถึง อากาศภายนอก อากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้คนป่วยได้ บางคนไวต่ออุตุภายนอก อากาศเปลี่ยนทีก็ไม่สยบายที อุตุอีกประการหนึ่งก็คือการมีอุจจาระตกค้าง การมีอุจจาระตกค้างก็เป็นเหตุให้คนเจ็บป่วยได้สารพัดรวมทั้งเป็นเบาหวานด้วยนะครับ อุจจาระตกค้างทำให้คนโดนตัดถุงน้ำดี ทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้โดนตัดมดลูก แค่มีอุจจาระตกค้างนี่เป็นเหตุใหญ่โตขนาดนี้เลยนะครับ และอุตุอีกเรื่องก็คือ กระดูกมันเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท สุดท้ายก็เป็นเรื่องของเส้นลมปราณตามตัวที่เลือดลมมันไม่ไหลเวียน น้ำเหลืองไม่ไหลเวียน เส้นประสาทเสื่อมก็เป็นผลของอุตุนะครับ นั่นก็คือ เมื่อเราเจ็บป่วยพยายามตั้งสติว่า เหตุที่มันเกิดนี่มันเกิดจากกรรม จิต อุตุ หรืออาหารนะครับ

คราวนี้มาเข้าเรื่องสำคัญพื้นฐานกันก่อน ตอนนี้คนเป็นโคเลสเตอรอลกันมากนะครับ อาหารที่ลดโคเลสเตอรอลสูตรเด็ดเลยนะ สูตรที่ลดได้ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ ต้มจืดมะละกอ เอามะละกอต้มแทนฟัก คือ มะละกอที่มันเหมือนใกล้จะสุก สีเริ่มออกเหลืองแต่มันยังแข็งอยู่ นั่นล่ะ เป็นตัวที่ลดโคเลสเตอรอลดีที่สุดระยะนั้น เอามาต้มกับกุ้งแห้ง ต้มกับซี่โครงหมู ซี่โครงไก่ได้ทั้งนั้นนะครับ แล้วกินเป็นประจำ รับรองท่านไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอลอีก กินเอาไว้เรื่อยๆ นี่เป็นสูตรที่ลดโคเลสเตอรอลดีที่สุด รองลงมาเป็น กระเจี๊ยบกับพุทราแห้ง เพราะฉะนั้นที่ท่านตำมะเขือ ยำมะเขือยาวอะไรพวกนี้ เป็นอาหารกลุ่มลดโคเลสเตอรอลได้ดี

ประเด็นเบาหวาน ถ้าจะป้องกันเบาหวานได้ดี ทำยังไงจึงจะลดผงชูรสได้ เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่าคนอีสานหลายจังหวัดไม่กินผงชูรสแล้ว หันไปกินซุปก้อนแทน มันก็เหมือนกันแหละ...เพียงแต่เปลี่ยนจากผงมาเป็นก้อน หนักเข้าไปอีก เขาก็เอาซุปก้อนคลุกลงไปในน้ำปลาร้า ต้มลงไปในน้ำปลาร้าเวลาทำส้มตำ แล้วพอเราบอกว่าไม่ใส่ผงชูรสนะ เขาก็ยิ้มเลย คือไม่ใส่ใหม่แล้วเพราะใส่ในปลาร้าแล้ว หรือต้มลงไปในไหน...ร้านก๋วยเตี๋ยวหลายแห่งก็ใช้ซุปก้อนเป็นจำนวนมากๆ เทลงไปในหม้อก๋วยเตี๋ยว แต่ว่า...นิสัยอย่างนี้เราจะไปรณรงค์ให้เลิกกินไม่ได้หรอก กินไปเถอะ ต้องยุส่งไปเลยนะ กินไปเถอะ แต่ต้องรู้วิธีแก้ ถ้าเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของการกินผงชูรส เรากินซุปก้อนเป็นประจำ ตัวที่จะไปแก้เรื่องนี้ก็คือ เห็ดสามอย่าง หรือเห็ดสามชนิด คือเมื่อรู้ตัวว่ากินสารพิษเข้าไป ก็ต้องรู้วิธีกินแก้สารพิษ คือหาเห็ด 3 ชนิดมาปรุงเป็นอาหารเป็นประจำ หรือในหม้อก๋วยเตี๋ยว ก็ไหนๆ ใส่ซุปก้อนเต็มหม้อแล้ว ก็โยนเห็ดสามชนิดลงไปด้วย จะได้ไม่เกิดบาปกรรมมากนัก มันก็จะไปล้างสารพิษของผงชูรสในนั้นนะครับ ก็ชักชวนแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวว่า ขอให้เอาเห็ดสามชนิด ใส่หม้อก๋วยเตี๋ยวลงไปด้วย แล้วหม้อก๋วยเตี๋ยวหม้อนั้นจะกลายเป็นยาขึ้นมา ช่วยล้างสารพิษได้

คนมีโคเลสเตอรอลสูงนี่จะกินผลไม้สดไม่ได้ กินแล้วจะทำให้หัวใจโต เหนื่อยง่าย แล้วจะกลายไปเป็นนิ่ว คือตัวโพแทสเซียมในผลไม้จะไปทำปฏิกิริยากับโคเลสเตอรอล ทำให้กลายเป็นนิ่วได้ ถ้ารู้สึกปวดหลังขึ้นมา ปวดหลัง เจ็บเอว อย่างนี้นะ วิธีแก้ก็คือให้ใช้น้ำมะพร้าวอ่อนใส่แก้วแล้วเอาสารส้มแกว่ง 2-3 รอบ แล้วดื่มจะแก้อาการนิ่วได้ จะไปช่วยล้างนิ่วออก ไม่ต้องไปเสียเงินยิงนิ่ว-สลายนิ่วนะครับ ใช้สูตรนี้ น้ำมะพร้าวอ่อนแกว่งด้วยสารส้ม กินเป็นประจำ ประมาณ 5-7 วัน จะหายปวดหลังเป็นปลิดทิ้ง แปลว่านิ่วหมดแล้ว มี 2 สูตร ถ้าสูตรพื้นบ้านของชาวอุบลเลยก็คือ ใช้เหล้าขาวผสมมะนาว สูตรนี้พวกเม็กซิโกชอบมาก ก็คือสูตรมากาเร็ตต้าของเขานั่นแหละ เหล้าขาว 1 ก๊ง บีบมะนาว 2-3 ลูกลงไป กินเป็นประจำก็ลดนิ่วได้ แต่ถ้าไม่ชอบเหล้า ก็ใช้น้ำมะพร้าวอ่อนแกว่งสารส้ม 2-3 รอบนะครับ ก็ลดนิ่วเหมือนกัน

กรณีที่เป็นคนที่มีโคเลสเตอรอลสูงแต่ชอบกินผลไม้ จะได้ของแถมมาอย่างนี้นะครับ คราวนี้บางทีเราจะยึดถือว่า เราเป็นพวกกินผลไม้ไม่ได้ตลอดชีวิต ไม่ใช่นะ มันไม่เสมอไป บางครั้งร่างกายเราก็ต้องการผลไม้ บางครั้งไม่ต้องการ แล้วจะรู้ได้ไงว่าช่วงไหนเราต้องการผลไม้ ช่วงไหนไม่ต้องการแล้วจะรู้ได้ไงว่าช่วงไหนเราต้องการผลไม้ ช่วงไหนไม่ต้องการ ช่วงไหนเรามีโคเลสเตอรอล ช่วงไหนไม่มี

การวัดโคเลสเตอรอลง่ายๆ แบบภูมิปัญญาชาวบ้านก็เหมือนกันนะครับ คือการเดินไปในที่มืด กลางแจ้ง แล้วถ้าเผื่อมียุงมาตอม แปลว่าตอนนั้นเรามีโคเลสเตอรอลสูง ถ้ายุงมาตอมนะ เพราะยุงมันไม่ได้มากินเลือด ยุงมันมากินโคเลสเตอรอล แต่ถ้าเดินในที่มืดแล้วยุงไม่ค่อยมาตอมเรา ไปตอมเพื่อนแทน แปลว่าเราเป็นประเภทกินผลไม้ได้ นี่วิธีวัดแบบหนึ่ง ถ้ายุงมาตอมนี่ใช้ได้เลย แสดงว่าเรามีโคเลสเตอรอลสูงแล้วควรงดผลไม้สดก่อน เราจึงพบว่าผู้ชายทางภาคอีสานไม่ค่อยชอบกินผลไม้สังเกตไหม มันอาจจะเกิดจากสัญชาตญาณของเขาก็ได้ว่าถ้ากินผลไม้แล้วเขาจะไม่มีแรง เขาเลยไม่กิน การไม่กินผลไม้เป็นเหตุให้คนบางคนขาดโพแทสเซียม แล้วเมื่อไปกินข้าวเหนียว กินเหล้า มันทำให้โพแทสเซียมลดเกินขนาด หัวใจจึงวายได้ ที่เรียกโรคไหลตาย โรคผีแม่ม่าย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องตรวจสอบตัวเองเป็นนะครับว่าทำยังไง

ท่านลองคลำนิ้วก้อยลงมานะ คลำลงมาจะมีปุ่มกระดูกนิ้วก้อยอยู่แถวข้อนิ้วใต้โคนเล็บด้านใน ปุ่มกระดูกโปนๆ ขึ้นมานะ ให้บี้ไปแรงๆ เลย ถ้าเจ็บจรงนี้ แปลว่าเราอยู่ในกลุ่มขาดโพแทสเซียม มีโอกาสเป็นไหลตายได้ถ้ากินข้าวเหนียวพร้อมกับเหล้า วิธีแก้ก็คือให้นวดตรงนี้ไว้ หัวใจจะแข็งแรงขึ้น จะลดการปวดไหล่ ปวดต้นคอ ลดการเป็นตะคริว ชาตามมือตามเท้า ถ้ามีปัญหาขาดโพแทสเซียมให้นวดตรงนิ้วก้อย ถัดมามันมีปุ่มกระดูกตรงนิ้วนางเหมือนกัน ให้ลองนวดปุ่มกระดูกตรงนิ้วนาง แล้วลองเทียบกันว่า ตรงนิ้วนางหรือนิ้วก้อยเจ็บกว่ากัน ถ้าปุ่มนิ้วนางเจ็บ แปลว่าเราอยู่ในกลุ่มมีโคเลสเตอรอลสูง เป็นพวกที่ต้องงดผลไม้สด ให้กินผลไม้แปรรูปที่ตากแห้ง กล้วยบวชชี กล้วยต้ม ห้ามกินกล้วยสดๆ เราคอยตรวจของเราทุกวัน จะรู้การเปลี่ยนแปลงว่า ช่วงนี้เราเป็นประเภทหัวใจขาดโซเดียมหรือขาดโพแทสเซียม ถ้าขาดโซเดียมจะมีโคเลสเตอรอลสูงคู่ด้วย

ถ้าขาดโพแทสเซียมมันจะมีโอกาสเป็นโรคไหลตาย โพแทสเซียมมาจากนิ้วก้อย โซเดียมวัดจากนิ้วนาง ให้นวดเปรียบเทียบทุกวัน การนวดเปรียบเทียบทุกวัน อย่างน้อยทำให้หัวใจแข็งแรงนะครับ เพราะเวลาเราออกกำลังกาย เราก็บริหารแต่กล้ามเนื้อนะ ไม่เคยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจเลย วิธีบริหารกล้ามเนื้อหัวใจก็คือให้นวดตรงปุ่มกระดูกนิ้วก้อยกับปุ่มกระดูกนิ้วนางเป็นประจำ หัวใจจะแข็งแรงขึ้นนะครับ แค่ทดสอบวันนี้ว่า เราเป็นพวกกินผลไม้ได้หรือไม่ได้ด้วยการนวดตรงปุ่มกระดูกนิ้วก้อยนิ้วนางเป็นประจำ อย่างนี้จะทำให้เราหัวใจแข็งแรงขึ้น แล้วก็ระวังเรื่องการกินอาหารด้วย

ย้อนมาดูเรื่องเบาหวาน พืชผักสมุนไพรที่เป็นตัวฟื้นฟูตับอ่อนมีแค่ 5 ตัว ที่เราเคยได้ยินเรื่องบอระเพ็ดพุงช้าง เรื่องว่านเงาะ เรื่องอะไรต่ออะไรนั้น พวกนั้นเป็นตัวคุมน้ำตาลเท่านั้นนะครับ ตัวคุมน้ำตาลนี่มีเยอะแล้ว ยาของหมอก็คุมน้ำตาลอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาสมุนไพรที่ไหนมาคุมอีกหรอก แต่ให้กินอาหารที่ไปฟื้นตับอ่อน การฟื้นตับอ่อนจะทำให้เบาหวานหายขาดได้ ตรงนี้พอจะเปรียบเทียบได้ สมมติว่าเราเป็นพนักงานบัญชี วันหนึ่งเราป่วย งานเราคั่งค้าง เจ้าของบริษัทเขาเลยไปจ้างคนอื่นมาทำบัญชี พอเราหายป่วยกลับมา เขาบอกว่า แกไม่ต้องทำแล้ว ฉันหาคนมาทำแล้ว แต่เงินเดือนยังจ่ายนะ คืออยู่เฉยๆ เหอะ ไม่ต้องทำอะไรเพราะจ้างคนใหม่มาทำแล้ว แต่ไม่ให้ออกนะ ยังให้ทำงานต่อ จ่ายเงินเดือนด้วย เราจะรู้สึกยังไง เช่นเดียวกัน ตับอ่อนก็เหมือนกัน ตอนที่เขามีเหตุขัดข้อง เขาผลิตอินซูลินไม่ได้ หมอก็บอกว่าแกไม่ต้องผลิตแล้ว เดี๋ยวฉันฉีดอินซูลินเข้าไปแทนที่ คือไม่ต้องทำงาน แต่ยังไม่ตัดทิ้งนะ ตับอ่อนยังเอาไว้ ยังให้อยู่ เหมือนยังไม่ไล่ออก แต่ถ้าเป็นเราจะรู้สึกอย่างไร มันทำร้ายจิตใจเขามากเลย ไม่ได้ฟื้นฟูให้กลับมาทำงานปกติ แต่กลับเอาคนอื่นมาทำงานแทนอย่างนี้นะครับ เช่นเดียวกัน ในวงการแพทย์ก็จะแก้ตรงนี้แหละ คือแกผลิตอินซูลินไม่ได้ก็ฉีดอินซูลินจากภายนอกเขาไป ไม่ได้ฟื้นฟูตับอ่อนให้สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ

อย่างที่บอกว่า ตัวฟื้นฟูตับอ่อนมี 5 ตัว จำให้ได้นะครับ มี 1.ใบมะยม 2.ใบมะรุม 3.อบเชย 4.รากเตย รากเตยคือส่วนของต้นเตยทั้งหมด ที่ไม่ใช่ใบเราเรียกว่ารากหมดนะครับ ให้กินวันละ 1 คืบของผู้ป่วย เอารากเตยมา 1 คืบ ต้มน้ำให้ดื่มทุกวัน เบาหวานก็หายขาดได้ เฉพาะตระกูลที่ถูกกับรากเตยนะครับ สุดท้าย 5.หญ้าหวาน เดิมหญ้าหวานหรือสเตเวียร์นี่เป็นไม้พื้นเมืองทางอีสาน ขึ้นตามหัวไร่ปลายนาทั่วๆ ไป ตอนหลังโดนถอนทิ้งหมด แล้วกลายเป็นว่าตอนนี้ไปปลูกทางภาคเหนือนะครับ และเนื่องจากหญ้าหวานสายพันธุ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกคือหญ้าหวานจากประเทศไทย เพราะฉะนั้นหญ้าหวานจึงถูกถอนไปขายเมืองนอกหมด เพื่อสกัดเอาน้ำเชื่อมออกมา รสชาติจะหวานกว่าน้ำตาลเป็นกิโลเสียอีก เพราะฉะนั้นน้ำอัดลมในญี่ปุ่นจึงเป็นน้ำอัดลมที่รักษาเบาหวานได้ แต่ก่อนเราเผยแพร่ว่า ใบมะยมรักษาเบาหวานได้ มันก็ไม่ได้ทุกคนไง คือตอนหลังจึงได้รู้ว่า สายเลือดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และก็ได้อาหารที่ต่างกัน อย่างสายเลือดตระกูลผมต้องกินหญ้าหวานเท่านั้น เพราะฉะนั้นลูกหลานรุ่นหลังพอเกิดมา ผมก็จะให้เขากินหญ้าหวาน เพราะฉะนั้นเขาก็จะอารมณ์ดี แข็งแรง ไม่ร้องไห้โยเย สมองดีตลอด อย่างตระกูลไหนที่ถูกกับใบมะยม ลองให้กินใบมะยมตั้งแต่เล็กเลย อาจจะต้มน้ำให้ดื่ม ต้มน้ำใบมะยมแล้วไปชงนมก็ยังได้ ก็จะช่วยให้เด็กสมองแจ่มใสตลอดนะครับ

เอาล่ะ เรื่องเบาหวานจะได้เอาไปเผยแพร่นะครับ แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็นว่ามันลดลง ที่โรงพยาบาลที่มหาสารคาม เขาทดลองแยกกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานออกเป็น 5 กลุ่ม ทดลองเอามาเข้าค่ายแล้วให้กินกลุ่มละอย่าง ปรากฏว่าน้ำตาลลดลงได้ผลเป็นที่น่าพอใจ คือมัน สดชื่นขึ้นน่ะ น้ำตาลลดเฉยๆ นี่บางทียังเพลียนะ แต่ตับอ่อนเวลามันดีขึ้น สมองจะแจ่มใสกว่าเดิมนะครับ จะแข็งแรง มีแรงกว่าเดิม



เรื่องของคนที่มีปัญหาปวดเมื่อยเนื้อตัวง่าย ถ้าสงสัยว่าเรามีหินปูนเกาะ จะเป็นหินปูนจากไหนก็ตาม ถ้าได้ยินเรื่องหินปูน มีหินปูนในสมอง หินปูนตามข้ออะไรอย่างนี้นะครับ เช่นเก๊าท์หรือรูมาตอยด์ หินปูนไปเกาะตามข้อนิ้วแล้วมันปวด ตัวที่ลดหินปูนได้ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ ใช้ใบรางจืด 5 ใบ ต้มกับใบเตย 5 ใบ ต่อน้ำ 1 ขวดแม่โขง แล้วดื่มให้หมดวันต่อวัน จะลดการเป็นเก๊าท์-รูมาตอยด์ได้ดีมาก แล้วหลายคนที่มือหงิกก็กลับมาดีขึ้นได้ ที่เหมือนกระดูกที่มันเสื่อมจากรูมาตอยด์ แล้วถ้าเป็นรูมาตอยด์ด้วย เป็นเบาหวานด้วยล่ะ ก็สมมติว่าเป็นเบาหวานที่ถูกกับใบมะยม ก็ใส่ใบมะยมต้มไปด้วยกันเลย ถูกไหม หรือถ้าถูกกับอบเชย ก็ใส่อบเชยลงไปด้วย ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องกินใบอะไรกันแน่ ก็ใส่มัน 5 ใบไปเลย มันจะไปเสียหายตรงไหนล่ะ ต้มน้ำผักกินอยู่แล้ว ใส่มันทั้งใบมะยม ใบมะรุม อบเชย รากเตย อ้าว ขาดหญ้าหวาน ขาดไม่เป็นไร เอา 4 อย่างก่อน เผื่อมันจะฟลุคนะครับ เพราะว่าคนตระกูลที่จะกินหญ้าหวานมีจำนวนน้อยมาก ในประเทศไทยมีแค่ 5% ที่มีโอกาสโดน ส่วนใหญ่ก็จะถูกกับใบมะยม ใบมะรุม อบเชย เพราะสำรวจแล้วประมาณ 5% พวกสายเลือดที่ต้องกินหญ้าหวานนี่นะ นอกนั้นส่วนใหญ่จะกินใบมะยม ใบมะรุม ก็ต้มไปสิ ที่อเมริกายังไม่สอนวิธีกดนิ้วนะครับ เขาก็เอาสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดป่นใส่แคปซูลหมดเลย ปรากฏว่าอาการก็ดีขึ้น คือมันต้องโดนซักตัวหนึ่งน่ะ ใน 5 ตัวนี้ ...เรื่องเบาหวาน เรื่องรูมาตอยด์ผ่านไปแล้วนะครับ โคเลสเตอรอลผ่านไปแล้ว

19 ความฝันที่พบบ่อยที่สุดในโลกและความหมาย

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงประตูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกฮูกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเรือหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาวาฬหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช็อกโกแลตหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นดวงดาวหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงงานหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช้างหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหิมะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นทองหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นผีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงดาราคนดังเซเลบหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาโลมาหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันของการเดินทางหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงหมีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันถึงสงครามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฝนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฉลามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นวัวกระทิงหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นจระเข้หมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหอยทากหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าช่วยชีวิตใครสักคนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นขยะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าจัดกระเป๋าหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหมอกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นการผ่าตัดหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเครื่องประดับหมายความว่าอย่างไร

ประวัติหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ ตามรอยหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

ชุ่มฉ่ำรับสงกรานต์ สรงน้ำพระธาตุตามปีเกิดด้วยหัวใจอิ่มบุญ

วิธีตั้งเลขพยากรณ์ ดูดวงตำราพรหมชาติ

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีชวด

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีฉลู

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีขาล

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีเถาะ

ดูดวงทำนายฝัน ความหมายของความฝัน


สรรพคุณรากสามสิบ สรรพคุณตะลิงปลิง สรรพคุณอะเซอโรลา
สรรพคุณดาวอินคา สรรพคุณหมามุ่ย สรรพคุณกวาวเครือ
สรรพคุณถั่งเช่า สรรพคุณมะเฟือง สรรพคุณใบเตย
สรรพคุณดอกอัญชัน สรรพคุณเหงือกปลาหมอ สรรพคุณชาเขียว
สรรพคุณเห็ดหลินจือ สรรพคุณพลูคาว สรรพคุณเถาวัลย์เปรียง
สรรพคุณหอมแดง สรรพคุณพริก สรรพคุณฟักข้าว
สรรพคุณสมุนไพร เครื่องดื่มต้านมะเร็ง สรรพคุณมะระ
สมุนไพรครัวเรือน สรรพคุณผักสวนครัว สมุนไพรรักษาโรค
สมุนไพรแก้ปวดเมื่อย สมุนไพรผิวขาว สรรพคุณมะหาด
สมุนไพรแก้มะเร็ง สมุนไพรรักษาสิว สมุนไพรรากสามสิบ

บทความแนะนำ

ยก Weight ดีอย่างไร หัวเข่ามักจะมีเสียงดัง โรคไตวายที่ไม่ควรมองข้าม 4 โรคทางประสาทน่ารู้ 8 กีฬาช่วยเพิ่มความสูง 9 วิธีบำรุงตับ ฝังเข็มสลายไขมัน ฟื้นชีวิตหลังคืนดื่มหนัก


ดูบทความเมนูอาหารทั้งหมด ดูบทความภัยอันตรายทั้งหมด ดูบทความสุขภาพทั้งหมด ดูบทความวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความสยองขวัญทั้งหมด ดูบทความชีวิตสัตว์ทั้งหมด ดูบทความประวัติศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความจัดอันดับทั้งหมด สารบัญบทความ


โรคไตวายที่ไม่ควรมองข้าม

โรคไตวายที่ไม่ควรมองข้าม

เมื่ออายุมากขึ้นไตจะเริ่มเสื่อมไปตามอายุขัยธรรมชาติ เป็นไปอย่างช้าๆ และบางภาวะที่ไตเกิดโรคพบว่าไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ หรือไตหยุดทำงานทันที เรียกว่า "โรคไตวายเฉียบพลัน" ซึ่งถ้าได้การรักษาที่เหมาะสมไตจะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าไตเสื่อมลงอย่างช้าๆ ต่อเนื่องทำให้ไตเกิดความผิดปกติถาวร เรียกว่า "โรคไตเรื้อรัง" ในกรณีที่ไตเกิดความเสื่อมอย่างมาก (ทำงานได้น้อยกว่า 15%) เรียกว่า "โรคไตวายระยะสุดท้าย" ถ้าไม่รักษาจะทำให้เสียชีวิตในเวลาอันสั้น โรคไตเรื้อรังเป็นมหันตภัยเงียบ เพราะผู้ป่วยโรคนี้จำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรค และเมื่อโรคนี้ลุกลามไปมากผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการล้างไตซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากและต่อเนื่องยาวนานจนกว่าผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตหรือเสียชีวิต



โรคไตเรื้อรัง(ไตเสื่อมเร็วกว่าปกติ)/ไตวาย หมายถึง ไตไม่สามารถกำจัดของเสีย ขับน้ำ ขับเกลือแร่ ออกไปทางปัสสาวะ

สาเหตุการเกิดโรคไตวายเรื้อรัง
1. โรคเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิต SLE(ภูมิคุ้มกันผิดปกติ) โรคเกาต์ นิ่วในไต ไตอักเสบ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำๆ เป็นต้น
2. ผลข้างเคียงจากการใช้ยา และสารเคมีต่างๆ ได้แก่ แก้ปวด "เอ็นเสด" ยาลดความดันโลหิต ยาปฏิชีวนะ ยาลดความอ้วน เป็นต้น
3. กรรมพันธุ์ หรือความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด

อาการโรคไตเรื้อรัง
การแบ่งระยะของโรคไต
ระยะที่ 1 เริ่มตรวจพบความผิดปกติของไต
ระยะที่ 2 "ไตเรื้อรังระยะเริ่ทต้น" ไตเสื่อมระยะเริ่มต้น ไตทำงานเหลือ 60-90% หรือประมาณ 3 ใน 4 ส่วน
ระยะที่ 3 "ไตเรื้อรังระดับปานกลาง" ไตทำงานได้ครึ่งหนึ่งของคนปกติ หรือไตทำงานเหลือ 30-60%
ระยะที่ 4 "ไตเรื้อรังเป็นมาก" ไตทำงานประมาณ 1 ใน 4 ส่วน หรือ ไตทำงานเหลือ 15-30%
ระยะที่ 5 "ไตวาย" ไตทำงานน้อยกว่า 15%

เมื่อไตทำงานผิดปกติ
เมื่อไตทำงานผิดปกติในระยะแรกๆ อาจจะไม่มีอาการใดๆ ของไตวายเลย เมื่อไตเสื่อมจนเป็น "ไตเรื้อรังระยะที่ 3" ไตจะเริ่มขับน้ำและของเสียออกทางปัสสาวะไม่ได้ตามปกติทำให้มีอาการผิดปกติของอวัยวะทุกส่วนของร่างกายดังนี้
1. คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ง่วงซึม สับสน ปวดกระดูกและข้อ
2. โลหิตจาง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
3. บวมบริเวณข้อเท้า เท้า ปัสสาวะน้อยลง อาการบวมเป็นๆ หายๆ เมื่อเป็นมากขึ้นจะทำให้เกิดน้ำท่วมปอดและหายใจลำบาก
4. ความดันโลหิตสูง ทำให้ปวดศรีษะเรื้อรังและเป็นโรคหัวใจได้

การดูแลตนเองตามระยะการทำงานของไต
ระยะที่ 1 ต้องงดสูบบุหรี่ รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ
ระยะที่ 2 จำกัดอาหารเค็ม
ระยะที่ 3 จำกัดอาหารโปรตีน
ระยะที่ 4 จำกัดการกินผลไม้

โรคไตเรื้อรังควรกินอย่างไร
กลุ้มโปรตีน โรคไตระยะที่ 2 ขึ้นไป จำกัดอาหารโปรตีน ถ้ากินโปรตีนมากจะมีของเสียผ่านไตมาก ไตก็จะเสื่อมเร็ว ปริมาณโปรตีนที่ทานได้คือ ประมาณ 0.6-0.8 กรัม/น้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ ประมาณมื้อละ 2 ช้อนโต๊ะและไข่ มื้อละ 1 ฟอง (อาจงดไข่แดงในกรณีที่ไขมันในเลือดสูง) ปลา ปลาทู นมพร่องมันเนยวันละ 1-2 กล่อง ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนที่ได้จากถั่วต่างๆ เช่น ลูกชุบ ซาลาเปาไส้ถั่ว เต้าหู้ โปรตีนเกษตร นมถั่วเหลือง

กลุ่มผักและผลไม้
ผู้ป่วยโรคไตระดับ 2-3 สามารถทานผักใบเขียวและผลไม้ได้ไม่อั้น แต่ในรายที่เป็นโรคไตระดับ 4-5 โรคไตระดับนี้ไม่สามารถขับโปแตสเซียมส่วนเกินออกได้เท่าคนปกติ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจะต้องระวังในการรับประทานผักและผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูง คือต้องทานในปริมาณน้อยจึงจะปลอดภัย

โปแตสเซียมมากที่สุด     ปริมาณ 100 กรัมมีโปแตสเซียม 437-544 มก.     หัวปลี ผักชี ต้นกระเทียม ทุเรียน
โปแตสเซียมมาก             ปริมาณ 100 กรัมมีโปแตสเซียม 200-400 มก.     โหระพา หน่อไม้ฝรั่ง หอมแดง มะเขือเปราะ/พวง กวางตุ้ง เห็ดฟาง แครอท ผักบุ้งไทย ลำไย กล้วย
โปแตสเซียมปานกลาง   ปริมาณ 100 กรัมมีโปแตสเซียม 100-200 มก.     เห็ดนางฟ้า แตงกวา ฟักเขียว พริกฝรั่ง พริกหยวก ผักกาดขาว มะเขือยาว ผักบุ้งจีน สับปะรด ฝรั่ง มะละกอ ส้ม มะม่วง องุ่น ลิ้นจี่ ละมุด ขนุน
โปแตสเซียมค่อนข้างน้อย ปริมาณ 100 กรัมมีโปแตสเซียมน้อยกว่า 100 มก.  บวบเหลี่ยม ถัวพู หอมหัวใหญ่ แตงโม
โปแตสเซียมน้อยที่สุด     ปริมาณ 100 กรัมมีโปแตสเซียม 25 มก.               เห็ดหูหนู

19 ความฝันที่พบบ่อยที่สุดในโลกและความหมาย

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงประตูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกฮูกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเรือหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาวาฬหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช็อกโกแลตหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นดวงดาวหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงงานหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช้างหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหิมะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นทองหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นผีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงดาราคนดังเซเลบหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาโลมาหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันของการเดินทางหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงหมีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันถึงสงครามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฝนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฉลามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นวัวกระทิงหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นจระเข้หมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหอยทากหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าช่วยชีวิตใครสักคนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นขยะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าจัดกระเป๋าหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหมอกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นการผ่าตัดหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเครื่องประดับหมายความว่าอย่างไร

ประวัติหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ ตามรอยหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

ชุ่มฉ่ำรับสงกรานต์ สรงน้ำพระธาตุตามปีเกิดด้วยหัวใจอิ่มบุญ

วิธีตั้งเลขพยากรณ์ ดูดวงตำราพรหมชาติ

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีชวด

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีฉลู

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีขาล

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีเถาะ

ดูดวงทำนายฝัน ความหมายของความฝัน


สรรพคุณรากสามสิบ สรรพคุณตะลิงปลิง สรรพคุณอะเซอโรลา
สรรพคุณดาวอินคา สรรพคุณหมามุ่ย สรรพคุณกวาวเครือ
สรรพคุณถั่งเช่า สรรพคุณมะเฟือง สรรพคุณใบเตย
สรรพคุณดอกอัญชัน สรรพคุณเหงือกปลาหมอ สรรพคุณชาเขียว
สรรพคุณเห็ดหลินจือ สรรพคุณพลูคาว สรรพคุณเถาวัลย์เปรียง
สรรพคุณหอมแดง สรรพคุณพริก สรรพคุณฟักข้าว
สรรพคุณสมุนไพร เครื่องดื่มต้านมะเร็ง สรรพคุณมะระ
สมุนไพรครัวเรือน สรรพคุณผักสวนครัว สมุนไพรรักษาโรค
สมุนไพรแก้ปวดเมื่อย สมุนไพรผิวขาว สรรพคุณมะหาด
สมุนไพรแก้มะเร็ง สมุนไพรรักษาสิว สมุนไพรรากสามสิบ

บทความเมนูอาหาร บทความภัยอันตราย บทความสุขภาพ บทความวิทยาศาสตร์ บทความสยองขวัญ บทความชีวิตสัตว์ บทความประวัติศาสตร์ บทความจัดอันดับ สารบัญบทความ

โรคกระดูกสันหลังตีบรัดเส้นประสาท

โรคกระดูกสันหลังตีบรัดเส้นประสาท

โรคกระดูกสันหลังตีบรัดเส้นประสาทคืออะไร
คือโรคที่เกิดจากเส้นประสาทส่วนปลายบริเวณกระดูกสันหลังถูกบีบรัด อันมีสาเหตุจากช่องไขกระดูกสันหลังที่ตีบแคบทำให้เกิดอาการปวดและชาจากสะโพกร้าวลงที่ขาถึงปลายเท้า บางรายถ้าปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานจนอาการรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของขาคล้ายอัมพาตของกล้ามเนื้อบางส่วนได้ โรคนี้บางตนชอบเรียกว่า "โรคกระดูกทับเส้น"

โรคนี้เกิดได้อย่างไร
โรคนี้มักพบบ่อยในคนสูงอายุ เช่น คนที่อายุมากกว่า 45 ปี เพราะคนในวัยนี้กระดูกสันหลังจะมีการแห้งและเสื่อมสภาพตามกาลเวลา หรือตามการใช้งานอย่างหนัก ทำให้ความสูงของหมอนรองกระดูกลดลง มีเส้นเอ็นและพังผืดหนาตัวขึ้นในช่องไขกระดูกรวมทั้งมีแคลเซียมหรือ หินปูน (Osteophyte) เกิดขึ้นใกล้ช่องทางออกของเส้นประสาท เป็นผลให้เส้นประสาทที่มาเลี้ยงขาถูกกดตีบรัด เกิดความผิดปกติในการทำงาน ที่พบบ่อยคือมีอาการปวดที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือปวดจากด้านหลังของสะโพก ต้นขา ร้าวลงมาหลังข้อพับเข้าไปจนถึงน่องและปลายเท้า โดยอาจจะเป็นทั้ง 2 ข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้



บางคนที่มีอาการมากจะมีความรู้สึกปวดชาไปทั้งขา ไม่มีแรง ก้าวขาไม่ออก โดยเฉพาะเวลายืน เดิน นานๆ จนกระทั่งเดินไม่ไหว แต่พอหยุดเดินแล้วก้มตัวลงพักอาการเหล่านี้จะดีขึ้นและเดินต่อไปได้อีก หรือในบางรายที่การกดทับมีมากขึ้นอาจเกิดการอ่อนแรงคล้ายอัมพาตของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทนั้นได้ เช่น กระดกข้อเท้าหรือปลายนิ้วโป้งเท้าไม่ขึ้น เป็นต้น

ผู้ป่วยส่วนใหญ่พบในคนอายุมาก ดังนั้นจึงอาจพบความผิดปกติอื่นๆ ของร่างกายร่วมด้วยได้ เช่นอาการปวดบริเวณเอวจากกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังโค้งผิดรูป เดินตัวเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือการมีกระดูกโปร่งบางหรือกระดูกพรุนก็พบได้เช่นกัน

การรักษาโรคประดูกสันหลังตีบรัดเส้นประสาท
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าถ้ามาพบแพทย์จะต้องได้รับการผ่าตัด และกลัวว่าการผ่าตัดจะทำให้เป็นอัมพาต จริงๆ แล้วมีผู้ป่วยมากกว่าครึ่งที่สามารถรักษาได้โดยวิธีอื่นๆ ที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น การทำกายภาพบำบัด รับประทานยาต้านการอักเสบของกระดูกและข้อ  การฉีดยาระงับการอักเสบที่เส้นประสาท ดังนั้นผู้ป่วยจึงไม่ต้องทนต่ออาการปวดหรือชาจนมีอาการหนักมากเสียก่อนจึงมาพบแพทย์ โปรดวางใจว่าแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ และเลือกการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายเนื่องจากรักษาวิธีอื่นๆ มาแล้วไม่ได้ผล

การรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด
เป็นการรักษาโดยแพทย์ผู้ชำนาญด้านการทำกายภาพบำบัด เช่น การดึงหลังเพื่อยึดกระดูกสันหลัง การทำการประคบและนวดกล้ามเนื้อด้วยความร้อนและไฟฟ้า บางรายอาจต้องใช้เครื่องพยุงหลังเพื่อเพิ่มความมั่นคงต่อข้อต่อที่มีปัญหาด้วย โดยปกติแพทย์ทางโรคกระดูกและข้อจะส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาทางกายภาพบำบัดเป็นช่วงเวลานานระดับหนึ่งแล้วประเมินผลการรักษาว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลแพทย์อาจแนะนำให้รักษาในขั้นตอนต่อไป เช่น ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฉีดสารทึบแสง ฉีดยาระงับการอักเสบที่เส้นประสาท หรือการผ่าตัดเป็นต้น

การรักษาโดยการบริหารร่างกายและควบคุมน้ำหนัก
เป็นการรักษาที่ผู้ป่วยทุกรายควรทำควบคู่กันไปกับการรักษาวิธีอื่นๆ เสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมาก การบริหารร่างกายในโรคนี้จะเน้นที่การเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกระดูกสันหลัง ทำให้การตีบอคบลดลง เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง หน้าท้อง และเพื่อประคองกระดูกสันหลังให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น

ท่างอเข้าชิดอก เพื่อเปิดช่องของเส้นประสาทที่ถูกกดทับงอค้างไว้ 10 วินาที วันละ 20-30 ครั้ง

ท่ากดหลังติดพิ้นเตียง (ยกก้นเล็กน้อย) กดค้างไว้ 10 วินาที วันละ 20-30 ครั้ง การแขม่วท้องเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง



ข้อปฏิบัติเมื่อปวดหลัง
1. พักการทำงานทันที หรือนอนพัก
2. การใช้ความเย็นประคบ กรณีมีอาการปวดเฉียบพลันภายใน 24 ชม. ใช้ได้ทั้งความร้อนตื้นและลึก อาจเป็นเพียงแผ่นประคบหรือกระเป๋าน้ำร้อนก็ได้ ใช้ผ้าขนหนูห่อแล้ววางบนบริเวณที่ปวดหรือตรงที่กล้ามเนื้อมีการเกร็งตัวมากๆ
3. ใช้ยารักษา ส่วนมากจะเป็นยาลดปวด ลดอักเสบ ควรพบแพทย์
4. การใช้เครื่องพยุงหลัง เช่น เสื้อพยุงหลังเพื่อช่วยจำกัดการเคลื่อนไหวและเพิ่มความมั่นคงให้แก่หลัง แต่ไม่ควรใส่ไว้นานๆ จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากไม่ได้ใช้งาน ควรบริหารกล้ามเนื้อหลังร่วมด้วยเมื่ออาการปวดลดลง
5. ปรับเปลี่ยนท่าทางในชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง เช่น การนั่ง ยืน เดิน หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เดินไกล ไม่สวมรองเท้าส้นสูง ไม่นอนที่นอนนุ่มเกินไป
6. พบแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดเมื่ออาการไม่ดีขึ้น

สรรพคุณรากสามสิบ สรรพคุณตะลิงปลิง สรรพคุณอะเซอโรลา
สรรพคุณดาวอินคา สรรพคุณหมามุ่ย สรรพคุณกวาวเครือ
สรรพคุณถั่งเช่า สรรพคุณมะเฟือง สรรพคุณใบเตย
สรรพคุณดอกอัญชัน สรรพคุณเหงือกปลาหมอ สรรพคุณชาเขียว
สรรพคุณเห็ดหลินจือ สรรพคุณพลูคาว สรรพคุณเถาวัลย์เปรียง
สรรพคุณหอมแดง สรรพคุณพริก สรรพคุณฟักข้าว
สรรพคุณสมุนไพร เครื่องดื่มต้านมะเร็ง สรรพคุณมะระ
สมุนไพรครัวเรือน สรรพคุณผักสวนครัว สมุนไพรรักษาโรค
สมุนไพรแก้ปวดเมื่อย สมุนไพรผิวขาว สรรพคุณมะหาด
สมุนไพรแก้มะเร็ง สมุนไพรรักษาสิว สมุนไพรรากสามสิบ

บทความแนะนำ


บทความเมนูอาหาร บทความภัยอันตราย บทความสุขภาพ บทความวิทยาศาสตร์ บทความสยองขวัญ บทความชีวิตสัตว์ บทความประวัติศาสตร์ บทความจัดอันดับ สารบัญบทความ

อาการของมะเร็งที่คนคิดไม่ถึง

อาการของมะเร็งที่คนคิดไม่ถึง

ที่มา นิตยสารชีวจิต คอลัมน์ประสบการณ์จากวิชาชีพ โดย ใบเหมียง
การทำสงครามถ้าจะให้ชนะอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ต่อสู้จะต้องใช้กลวิธีโจมตีชนิดที่ไม่ให้ข้าศึกได้ทันรู้ตัว และต้องโจมตีฐานที่มั่นที่สำคัญให้ได้จึงจะชนะเด็ดขาด


เรื่องการต่อสู้กับมะเร็งขณะนี้ก็เหมือนกัน คล้ายๆ กับการทำสงคราม มะเร็งคือตัวข้าศึก เวลานี้ที่ทั้งหมอและคนไข้ต่อสู้กับมะเร็งแล้วไม่ค่อยชนะ ก็เพราะว่าไปสู้ในขณะที่มะเร็งโจมตีถึงฐานสำคัญของชีวิต เช่น โจมตีถึงระบบสมอง ก็ทำให้คนเจ็บหัว คิดไม่ออก ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ กินไม่ได้ โจมตีถึงระบบกระดูก ก็ทำให้คนเดินไม่ได้ เพราะเจ็บหลัง เจ็บขา โจมตีถึงระบบทางเดินหายใจ ก็ทำให้คนหายใจไม่ออก ขาดอากาศ ตาย เป็นต้น



ส่วนในเวลาที่มะเร็งยังโจมตีมาไม่ถึง เราก็ไม่ได้ไปสู้ เหตุที่ไม่สู้ก็เพราะไม่รู้และไหวตัวไม่ทันว่านั่นคืออาการของมะเร็ง คนคิดไปไม่ถึงว่ามะเร็งจะมีเล่ห์เหลี่ยมที่แยบยลยิ่งกว่ากองโจร หลายคนคงเคยเห็นโฆษณาของแผนกมะเร็ง หรือแผนกสุขศึกษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่แจกเป็นแผ่นพับ และที่เขียนไว้ตามบอร์ดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนเรื่องมะเร็งว่าอาการและอาการแสดงของมะเร็งเป็นดังนี้

มะเร็งปอด จะไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด มีอาการหอบเหนื่อย
มะเร็งลำไส้และทวารหนัก ถ่ายปนเลือด มีการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย เช่น ท้องผูก ท้องเสีย
มะเร็งตับ มีอาการแน่น อึดอัดท้อง
มะเร็งเต้านม มีก้อนที่เต้านม หรือมีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกจากหัวนม เป็นต้น

อยากจะบอกว่า อาการที่แสดงออกลักษณะอย่างนี้ ไอเป็นเลือด ถ่ายปนเลือด แน่นอึดอัดท้อง มีน้ำเหลืองไหลออกจากหัวนม คืออาการของมะเร็งเต็มขั้นแล้ว หรือเกือบระยะสุดท้ายแล้วทั้งนั้น ซึ่งตัวอย่างก็คงไม่ต้องยกมาให้ดูกันอีกแล้ว เพราะตรงไปตรงมา ถ้าใครมีอาการอย่างนี้มาโรงพยาบาล ส่วนใหญ่หมอก็วินิจฉัยไม่ยากนัก แต่ที่ยากและสร้างความเวียนหัวอยู่ คืออาการที่ไม่ตรงไปตรงมา และมีอาการเพียงเล็กๆ น้อยๆ และยิ่งกว่านั้นยังแสดงออกมาภายนอกอย่างคลุมเครืออีกต่างหาก

อาการเหล่านี้ล่ะที่คนคิดไม่ถึงว่ามันคืออาการอย่างหนึ่งของมะเร็ง แต่ความจริงในทางทฤษฎีนั้น ผู้รักษาก็รู้แบะจำได้ขึ้นใจกันทุกคนว่านี่คืออาการของมะเร็ง แต่ในภาคสนามกลับลังเลและสับสน เครื่องมือก็จับไม่ค่อยได้ เพราะไม่ไวพอ และอายุการใช้งานก็เกือบปลดเกษียณแล้ว งานนี้อย่าไปโทษใครเลยให้ศึกษาไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการสังเกตตัวเอง และเพื่อเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้กับมะเร็งกันเสียใหม่

ต่อไปนี้คือตัวอย่างจริงของอาการมะเร็งบางอย่างที่คนทั่วไปไม่ค่อยคิดถึงกัน ตัวอย่างที่ได้มาส่วนใหญ่เป็นคนไข้ที่คลินิกและคนไข้มะเร็งที่มาปรึกษาเป็นการส่วนตัว ซึ่งมีจำนวนมาก แต่จะขอยกตัวอย่างที่สำคัญๆ มาเท่านั้น

รายที่ 1 มาด้วยอาการปวดหลัง แต่เป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย
เป็นชายวัย 49 ปี อาชีพรับราชการ มาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการปวดหลังมากสองอาทิตย์ โดยความปวดมีความรุนแรงเป็นลำดับดังนี้ เมื่อห้าเดือนก่อนมาโรงพยาบาลเริ่มปวดหลังที่ด้านซ้าย ร้าวไปทั่วเอว อาการเป็นไม่มาก ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หมอบอกเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ ก็ได้ยาไปกิน แต่อาการปวดก็ยังไม่ดีขึ้น เวลาสามเดือนผ่านไป ทีนี้ปวดลุกลามไปทั้งสองข้าง ถ้ายืนนานๆ จะปวดมากขึ้น เวลาเดินต้องพยุง ช่วงนี้รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลดไป 10 กิโลกรัมต่อเดือน ก็ไปนอนโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งอยู่สองอาทิตย์ อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทางโรงพยาบาลจึงส่งมาที่คลินิก ด้วยเหตุผลว่าไม่มีเครื่องเอ็กซ์เรย์ จึงไม่สามารถรักษาได้มากกว่านี้แล้ว

มาถึงโรงพยาบาลก็ไปอยู่ตึกกระดูกและข้อ ผลเอ็กซ์เรย์พบว่าบางส่วนของกระดูกสันหลังบริเวณทรวงอกหายไปและกระดูกซี่โครงก็หายไป 2 ซี่ ส่วนเอ็กซ์เรย์ปอดก็มีเนื้องอกอยู่ พอเอาชิ้นเนื้อนี้ไปตรวจก็พบว่าเป็นมะเร็ง นอกจากนี้ที่ตับก็มีเนื้องอกอีกด้วย หมอวินิจฉัยว่าคนไข้รายนี้เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เพราะกระจายไปกระดูก ไปตับแล้ว ฉันเจอคนไข้บนเปลนอน นอนอยู่นิ่งๆ แทบไม่ขยับเลย ได้แต่พูดกับยกมือดูดน้ำหวานเท่านั้น คนไข้บอกว่า "ไม่ได้เหนื่อยอะไร มีแต่ปวดหลังมากเท่านั้น"

รายที่ 2 พบเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายจากอุบัติเหตุขาหัก
เป็นชายวัย 58 ปี อาชัพค้าขาย มาที่แผนกฉุกเฉินเช่นกัน ด้วยประวัติว่าเพียงแค่เอาขาซ้ายไปยันรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น ขาก็ดังกร๊อบ จึงรู้ว่าขาหัก ไปรักษากับหมอบ้านอยู่หนึ่งเดือน โดยเข้าเฝือกและนวด แต่ก็ยังยืนไม่ได้ บวมและปวดมากขึ้นจึงมาโรงพยาบาล หมอได้ผ่าตัดต่อกระดูก และเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ก็พบว่าเป็นมะเร็งที่กระจายมาจากที่อื่น จึงไปเอ็กซ์เรย์ปอด และคีบชิ้นเนื้อมาตรวจ ก็พบแหล่งจากปอดนี่เอง หมอก็สรุปการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย เพราะกระจายไปกระดูกแล้ว

รายที่ 3 รู้ว่าเป็นมะเร็งปอดก็เพราะจะผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูก
เป็นหญิงวัย 38 ปี อาชีพนับเงินของบริษัทตัวเอง เธอเล่าให้ฟังว่า "พี่ไม่ได้มีอาการทางปอดเลยนะ พี่ยังออกกำลังกายได้ แต่ที่รู้เพราะว่าพี่จะมาผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูกซึ่งเป็นมาตั้งแต่ตอนตั้งท้อง ตอนนี้ลูกพี่คลอดแล้วได้ 8 เดือน ก็เลยว่าจะมาผ่าให้เสร็จๆ ไป แต่พอจะผ่า พี่ก็ต้องไปเอ็กซเรย์ปอดก่อน หมอบอกว่ามีเนื้องอกอยู่ พอคีบชิ้นเนื้อมาดูก็เป็นเนื้อไม่ดี หมอจึงงดผ่าทางโน้น แล้วให้มารักษาทางปอดก่อน"

รายนี้ปรากฏว่าเมื่อไปเอ็กซเรย์กระดูกก็พบว่ากระจายไปกระดูกไหล่ กระดูกไหปลาร้า กระดูกหน้าอกแล้ว สรุปคือ เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายอีกเช่นกัน และสิ่งที่น่าสนใจในรายนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ เคยมีประวัติมาโรงพยาบาลด้วยอาการไอมากเมื่อสองปีที่ผ่านมา แต่รักษาเพียงแค่ได้ยาแก้ไอ ยาแก้ปวด อาการก็หายไป และเมื่อสองเดือนก่อนจะรู้ว่าเป็นมะเร็งปอดก็เคยมาที่แผนกฉุกเฉินด้วยอาการเจ็บหน้าอกข้างขวา โดยก่อนหน้านี้สามวันมีอาการปวดไหล่ซ้ายมาก่อน ปวดเวลาเอี้ยวตัว พออาการปวดไหล่ซ้ายหายไปก็มาปวดหน้าอกขวาแทน ปวดจี๊ดจนทนไม่ไหว

คนไข้เล่าว่า "นึกจะปวดก็ปวด ถ้าเวลาไม่ปวด แม้ไปกดไปทำอะไร มันก็ไม่ปวด ก็ได้ยามาทาน อาการก็หายไป จนถึงตอนนี้ อาการปวดไหล่ ปวดหน้าอก ไม่มีเลย"

รายที่ 4 มะเร็งหลังโพรงจมูกระยะสุดท้าย มาด้วยต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตสามารถบ่งบอกถึงโรคได้เป็นสิบโรค ตั้งแต่โรคธรรมดาๆ จนถึงโรคร้าย มีสิทธิ์เป็นได้ทั้งนั้น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ วัณโรค เอดส์ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งโพรงจมูก ดังกรณีรายนี้

เป็นชายวัย 47 ปี อาชีพนักธุรกิจโรงแรมและเล่นหุ้น เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกไปหาหมอที่คลินิกเพราะว่ามีก้อนที่คอด้านซ้ายโต มันมีหนึ่งเม็ดก่อน หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อมากิน หมอบอกผมว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบ กินอยู่สองเดือน ก้อนก็ยังไม่ยุบ หมอก็ให้ยาขนานเดิมมาอีก ก็ยังยืนยันกับผมว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบนั่นแหละ ผมก็กินยาต่ออีกสองเดือน ยิ่งกินยิ่งมีก้อนโผล่ออกมาอีกเม็ดหนึ่ง แต่อยู่ต่ำลงมา ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิทีนี้ ก็เลยเปลี่ยนหมอไปที่โรงพยาบาล หมอคนนี้จับผมส่องกล้องคีบชิ้นเนื้อมาดู ทีเดียวแค่นั้นก็รู้เลยว่าเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก และเป็นขั้นสุดท้ายด้วย

"แกไม่ซักประวัติอะไรผมมากมาย และผมก็ไม่มีอาการอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดนี้ด้วย ไม่ว่าหูอื้แ หน้าชา ตาเข เลือดกำเดาออก ผมไม่มี จะมีก็คัดจมูกนิดๆ หน่อยๆ ผมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา"

คนไข้คิดว่าคัดจมูกเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว มันกลายเป็นมะเร็งไปเรียบร้อยแล้ว

รายที่ 5 แค่ไอแห้งๆ ก็เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายได้
ปัญหาเรื่องไอก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่ผู้รักษาวินิจฉัยยากว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ บางครั้งแค่รักษาตามอาการ ให้ยาแก้ไอ อาการก็หายดี แต่บางครั้งรักษากันจนเกือบครบโรคของระบบทางเดินหายใจและระบบทางหู คอ จมูกแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตั้งแต่หวัด คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดบวม วัณโรค ถุงลมโป่งพอง และสุดท้ายไปจบที่มะเร็งปอด ซึ่งบางรายก็ใช้เวลาหลายปี ส่วนบางรายก็โชคดีเจอเร็วหน่อย ดังกรณีรายนี้

เป็นแม่บ้านวัย 39 ปี ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนด้วยอาการไอแห้งๆ มา 4 เดือน มีไข้หวัดร่วมด้วย รักษาแล้วอาการไอแห้งๆ ก็ยังมีอยู่ ไม่หายขาด ก็ไปอีกรอบหนึ่ง หลังจากรักษาอยู่ 2 เดือน ด้วยอาการเดิม ได้ยามากินอีก อาการก็ยังมีอยู่ ทีนี้จึงเปลี่ยนโรงพยาบาล คนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ก็ได้ยาฆ่าเชื้อ อาการดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายขาด และผลเอกซเรย์ยังคงผิดปกติอยู่ หมอจึงส่องกล้องคีบชิ้นเนื้อมาดู ผลเป็นมะเร็งปอด และไปเอกซเรย์กระดูกก็ปรากฏว่ากระจายไปกระดูกหลายชิ้นแล้ว หมอจึงสรุปว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

รายที่ 6 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นสุดท้าย แต่มาด้วยอาการแน่นหน้าอก
เป็นนักศึกษาหญิง ปวส.ปีสุดท้าย เธอเล่าให้ฟังว่า "ความจริงตอนแรกที่มีอาการเป็นตั้งแต่เรียนอยู่ปี 1 มันเจ็บแปล๊บๆ น่ะ ไม่ใช่แน่นหน้าอก หนูคิดว่าเป็นโรคหัวใจก็ไปตรวจ แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ อาการก็หายไปเอง พออยู่ๆ ก็มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เพิ่งเป็นปีนี้นี่เอง พี่ดูสิ มาเป็นเอาปีสุดท้ายเสียด้วย ตอนนี้หนูก็กำลังสอบ หนังสือก็ทิ้งไปเลย ไม่ได้เรียนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องมาเป็นกับหนูด้วย"

รายนี้ได้เจาะไขกระดูก และในที่สุดหมอสรุปว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย

รายที่ 7 แค่คลำได้ก้อนที่หน้าท้องก็เป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่สามแล้ว
เป็นนักเรียนหญิง อายุ 14 ปี เธอเล่าให้ฟังว่า "หนูรู้สึกแน่นๆ ท้องมาเดือนหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้มีก้อนอะไร เพิ่งมาคลำได้ก้อนเมื่อห้าวันก่อนมาโรงพยาบาลนี่เอง และหนูรู้สึกว่าแน่นท้องมากขึ้นในอาทิตย์นี้ ก็ไปหาหมอ หมอก็ผ่าตัดเลยและบอกว่ามันเป็นเนื้อร้าย"

รายนี้ตอนที่ผ่าตัดก็พบว่าเนื้องอกลุกลามไปตามเยื่อหุ้มหลายแห่งแล้ว และมีน้ำในเยื่อบุช่องท้องด้วย ส่วนประวัติอื่นๆ เช่น การมีประจำเดือน ก็มาตามปกติ ไม่ได้ปวดอย่างผิดปกติใดๆ เดี๋ยวนี้นักเรียนหญิงชั้นมัธยมพบมะเร็งรังไข่กันมากขึ้น และส่วนใหญ่อาการที่มาโรงพยาบาลมักเป็นระยะที่สามแล้วเกือบทั้งนั้น ส่วนระยะที่สี่ก็มีคือลุกลามไปปอดแล้ว

รายที่ 8 ทั้งปวดหัวทั้งไอ กลายเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
เป็นชายวัย 47 ปี รับราชการครู มาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหัวและไอ อาการที่ปวดหัวนั้นเริ่มจากที่ท้ายทอย แล้วร้าวมาที่ขมับทั้งสองข้าง ปวดตื้อๆ ตลอดเวลา มีไอร่วมด้วย บางครั้งมีเลือดปน ไปหาหมอก็บอกว่าหลอดเลือดที่หลอดลมแตก ส่วนเอกซเรย์ปอดปกติ ได้แต่ยามากิน อาการก็ไม่ดีขึ้น

หนึ่งเดือนผ่านไป ปวดหัวมีมากขึ้น เริ่มมีอาการตึงๆ ที่คอ กินไม่ค่อยได้ รู้สึกกลืนลำบาก และเริ่มมองเห็นภาพไม่ค่อยชัด ตาพร่าๆ ส่วนอาการไอดสมหะปนเลือดยังมีอยู่ จึงไปโรงพยาบาลอีกครั้ง หมอก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร ได้แต่เอกซเรย์ปอดสองครั้ง ก็บอกว่าปกติ ได้ยามากินอีกเช่นเคย อาการก็ยังไม่ดีขึ้น

หนึ่งเดือนครึ่งผ่านไป อาการไอเสมหะปนเลือดมีมากขึ้นอีก ไอทุกวัน และเริ่มคลำได้ก้อนที่คอด้ายซ้าย ก้อนแข็งๆ เจ็บเล็กน้อย อีกสิบวันครบสองเดือน คนไข้มีอาเจียนตอนเช้า อาการอื่นคงเดิม เป็นอย่างนี้อยู่สี่วันจึงไปโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่เปลี่ยนโรงพยาบาล ก็ทำการตรวจทุกอย่างเอกซเรย์ปอดก็พบผิดปกติ ต่อมน้ำเหลืองที่คอก็จิ้มชิ้นเนื้อไปตรวจ พบเป็นมะเร็ง ส่งเสมหะไปตรวจย้อมดูเซลล์ ก็พบเป็นมะเร็ง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง ก็พบเนื้องอก หมอจึงสรุปการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย



รายที่ 9 เค้นๆ หน้าอก ในที่สุดก็พบมะเร็งหลอดอาหาร
เป็นพระภิกษุวัย 56 ปี บวชมาได้หนึ่งพรรษา ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานขับรถเมล์ระหว่างจังหวัด ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเหล้า ท่านเล่าให้ฟังว่า "ที่มาโรงพยาบาลในครั้งนี้เพราะกลืนข้าวต้มไม่ลง ส่วนก่อนหน้านี้อาการช่วงแรกเป็น มันรู้สึกเค้นๆ หน้าอกเวลากินข้าว (เค้นๆ หรือที่คนใต้บอกว่าแค้นๆ คืออาการเดียวกัน เป็นอาการที่เวลากินอาหารแล้วรู้สึกกลืนไม่ค่อยลง จะกระจุกอยู่ที่หน้าอก เหมือนกับเวลาที่กินหัวเผือกหัวมันในอัตราที่เร็วเกินไป ก็รู้สึกอาหารผ่านไปได้ลำบาก ต้องดื่มน้ำตาม แล้วยืดคอให้ยาวๆ ถึงจะกลืนได้ลง) หลังจากนั้นพอกินข้าวสวยก็เริ่มติด ต่อมากินข้าวต้มก็ติดอีก กลืนไม่ลง ก็นึกในใจว่าสงสัยอาการไม่ดีแล้วสิท่า จึงมาโรงพยาบาล หมอก็ให้กลืนแป้งกับส่องกล้องเข้าไปดูในหลอดอาหาร ก็บอกว่ามีเนื้องอกเต็มไปหมดแล้ว หมอนัดจะผ่าวันพุธหน้า" ผลจากชิ้นเนื้อก็เป็นมะเร็งหลอดอาหาร และท่านก็ตัดสินใจกลับวัด ไม่ยอมให้ผ่าตัด

นี่เป็นตัวอย่างพอสังเขปที่ยกมาให้ศึกษากัน ต่างเพศ ต่างวัย ต่างอาชีพ อาการที่พบเหล่านี้ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และมากขึ้นทุกวัน จากตัวอย่างจะเห็นว่าเป็นการยากมากที่จะพบอาการเริ่มแรกของมะเร็งด้วยตาเปล่าหรือเอามือคลำ ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะจุดเริ่มต้นยังอยู่ที่ระดับเซลล์ ต้องคีบชิ้นเนื้อข้างในมาดูกับกล้องขยายจึงจะเห็น ในทางปฏิบัติแล้วทำไม่ค่อยได้ จะได้เฉพาะมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเต้านมเท่านั้น เพราะใช้เครื่องมือง่ายๆ ได้ และเป็นอวัยวะที่ตรวจจากภายนอกได้สะดวก

อย่างไรก็ตาม อยากจะสรุปบทเรียนจากกรณีตัวอย่างนี้ว่า ยิ่งมีข้อจำกัดด้านเครื่องมือและประสบการณ์ของผู้รักษามากเท่าใด เรายิ่งจำเป็นต้องเคร่งครัดในการดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น จะผัดวันประกันพรุ่ง หรือมีข้ออ้างโน่นอ้างนี่คงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าอยากจะชนะมะเร็งก็ต้องใช้วิธีของมะเร็งคือโจมตีเสียก่อน ก่อนที่มะเร็งจะไหวตัวทันและสร้างป้อมปราการทุกด่านให้แน่นหนา อย่าให้มะเร็งเจาะทะลุเข้ามาได้ด้วยการสร้างภูมิชีวิตให้เข้มแข็ง การปล่อยให้มีอาการแล้วจึงไปรักษานั้น ไม่ว่าอาการมากหรืออาการน้อยก็ตาม เป็นความประมาทและไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง และที่สำคัญคือไว้ใจไม่ได้เลยสำหรับมะเร็ง ต่อไปนี้เราจะใช้กลยุทธเดิมๆ ที่รอให้พิสูจน์ว่าเป็นมะเร็งแน่ชัดแล้วจึงลุกขึ้นต่อสู้นั้น กลยุทธ์นี้คงไม่ทันกาลแล้ว และหวังว่าอาการของมะเร็งที่คิดไม่ถึงนี้ คงไม่ทำให้เกิดความกังวลจนหวาดระแวงเกินไปนักนะคะ

19 ความฝันที่พบบ่อยที่สุดในโลกและความหมาย

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงประตูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกฮูกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเรือหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาวาฬหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช็อกโกแลตหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นดวงดาวหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงงานหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช้างหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหิมะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นทองหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นผีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงดาราคนดังเซเลบหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาโลมาหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันของการเดินทางหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงหมีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันถึงสงครามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฝนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฉลามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นวัวกระทิงหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นจระเข้หมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหอยทากหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าช่วยชีวิตใครสักคนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นขยะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าจัดกระเป๋าหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหมอกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นการผ่าตัดหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเครื่องประดับหมายความว่าอย่างไร

ประวัติหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ ตามรอยหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

ชุ่มฉ่ำรับสงกรานต์ สรงน้ำพระธาตุตามปีเกิดด้วยหัวใจอิ่มบุญ

วิธีตั้งเลขพยากรณ์ ดูดวงตำราพรหมชาติ

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีชวด

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีฉลู

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีขาล

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีเถาะ

ดูดวงทำนายฝัน ความหมายของความฝัน


สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
สรรพคุณรากสามสิบ สรรพคุณตะลิงปลิง สรรพคุณอะเซอโรลา
สรรพคุณดาวอินคา สรรพคุณหมามุ่ย สรรพคุณกวาวเครือ
สรรพคุณถั่งเช่า สรรพคุณมะเฟือง สรรพคุณใบเตย
สรรพคุณดอกอัญชัน สรรพคุณเหงือกปลาหมอ สรรพคุณชาเขียว
สรรพคุณเห็ดหลินจือ สรรพคุณพลูคาว สรรพคุณเถาวัลย์เปรียง
สรรพคุณหอมแดง สรรพคุณพริก สรรพคุณฟักข้าว
สรรพคุณสมุนไพร เครื่องดื่มต้านมะเร็ง สรรพคุณมะระ
สมุนไพรครัวเรือน สรรพคุณผักสวนครัว สมุนไพรรักษาโรค
สมุนไพรแก้ปวดเมื่อย สมุนไพรผิวขาว สรรพคุณมะหาด
สมุนไพรแก้มะเร็ง สมุนไพรรักษาสิว สมุนไพรรากสามสิบ

บทความแนะนำ

4 โรคทางประสาทน่ารู้ อยากสุขภาพดีต้องกินพริก อาหารเช้าของชาวโลก ผื่นจากด้วงก้นกระดก ฝังเข็มสลายไขมัน ฟื้นชีวิตหลังคืนดื่มหนัก มะเร็งตับอ่อน รวมพลคนกล้ามใหญ่

บทความเมนูอาหาร บทความภัยอันตราย บทความสุขภาพ บทความวิทยาศาสตร์ บทความสยองขวัญ บทความชีวิตสัตว์ บทความประวัติศาสตร์ บทความจัดอันดับ สารบัญบทความ

Popular Posts