วิเคราะห์นิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (The Lord of the rings)
นี่คือตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยใหม่ วงแหวนแห่งอำนาจอันชั่วร้าย และวีรบุรุษในภารกิจที่ทำลายล้างมัน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์คือโลกที่เต็มไปด้วยนักรบ พ่อมด และสัตว์ประหลาด ทั้งหมดนี้รังสรรค์ขึ้นจากความคิดของคนๆ หนึ่ง แต่ทว่ามีอะไรที่มากกว่าจินตนาการ เรื่องราวของการสมคบคิดมากมาย เชื่อมโยงจากความจริงจากสนามรบสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงพระคัมภีร์ บัดนี้การค้นพบข้อเท็จจริงอยู่เบื้องหลังนิยาย และเป็นเรื่องราวเบื้องหลังงานเขียน เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
ตัวละครที่โดดเดี่ยวเดินโซเซอยู่ ณ สุดขอบอเวจี จ้องมองลงไปสู่บ่อลาวาที่ลึกลงไปเบื้องล่าง ที่นี่การเดินทางอันตรากตรำแสนยาวนานของโฟรโด้ แบ๊กกิ้นส์ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ภารกิจที่จะทำลายแหวนด้วยการนำไปขว้างใส่ไฟแห่งเดียวกันที่หลอมมันขึ้นมา นี่เป็นการค้นคว้าไปในใจกลางของเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ เรื่องราวคลาสสิคแห่งความดีปะทะความชั่ว ที่เปิดเผยขึ้นในโลกที่เรียกว่ามิดเดิลเอิร์ธ เรื่องราวของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์มีอิทธิพลจากทั้งยุคโบราณและสมัยใหม่ที่ผสมผสานเพื่อการสร้างสรรค์การเดินทางตามตำนานผ่านชายคนหนึ่ง ผู้ประพันธ์เรื่องนี้ก็คือ เจ อาร์ อาร์ โทลคีน โทลคีนได้เขียนจดหมายที่เผยว่าเขาอยากจะเขียนตำนานเรื่องหนึ่งเพื่อประเทศของเรา เขาพยายามที่จะสร้างงานเขียนที่เป็นอังกฤษแท้ๆ ที่มีศูนย์กลางทางเหนือและตะวันตกมากกว่าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอย่างพวกกรีกหรือโรมัน
ในการสร้างตำนานการผจญภัย โทลคีนดึงมาจากโลกสมัยใหม่ของเขาเอง เขานำเรื่องราวจากตำนานต่างๆ และธรรมเนียมในยุคกลางมาแต่ง เขาใช้เนื้อหาที่มาจากความเชื่อของอังกฤษโบราณและชาวนอร์สโบราณ อันได้แก่ Beowulf กษัตริย์อาเธอร์ ตำนานการผจญภัยและความกล้าหาญของชาวไวกิ้ง ทั้งหมดเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ นิทานปรัมปราของชาวนอร์เวย์ โลกประกอบด้วยสามชั้น ชั้นสูงที่สุดคือแอสการ์ดเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า ชั้นต่ำที่สุดคือเฮล นรกของคนตาย ส่วนระหว่างโลกทั้งสองคือโลกที่เป็นที่อยู่ของเอลฟ์ คนแคระ และมนุษย์ ในส่วนตรงกลางนี้เรียกว่ามิดการ์ดหรือมิดเดิลเอิร์ธ ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์เป็นการเดินทางผ่านมิดเดิลเอิร์ธที่โฟรโด้จะต้องเดินทางไปเพื่อทำลายแหวน แหวนวงนี้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง และมันก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานต่างๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้
เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์มีแกนเรื่องอยู่ที่แหวนวิเศษ 20 วง บางวงก็สามารถบำบัดรักษา บางวงช่วยยืดอายุ แต่วงที่มีพลังอำนาจมากที่สุด มากกว่าวงไหนๆ ก็คือแหวนวงนั้น มันมีความสามารถที่จะทำให้ผู้สวมแหวนหายตัวได้เวลาที่สวมแหวน การที่สวมแหวนแล้วหายตัวได้เป็นแนวคิดที่มีมานานแล้วจากนิทานตำนานของยุคกลางส่วนใหญ่ เรื่องราวของความกล้าหาญในยุคแห่งหายนะ กษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม ในตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ก็มีเรื่องของเวทมนต์ เรื่องของแหวนที่ทำให้หายตัวได้ ซึ่งหญิงสาวลุนเน็ตมอบให้อัศวินโอเว็น นี่เป็นเรื่องราวคู่ขนานที่น่าขบคิดระหว่างนิทานสองเรื่องที่สร้างสรรค์ขึ้นในเวลาต่างกันนับพันปี แหวนวงโปรดของโฟรโด้มีอะไรมากกว่าที่ทำให้ผู้สวมแหวนหายตัวได้และมันทรยศพวกเขาด้วย
แหวนวงนี้สร้างขึ้นโดยจอมมารซารอนที่ทำให้แหวนเต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้างของเขา เมื่อซารอนหลอมแหวนขึ้นมา เขาใส่ส่วนหนึ่งของตัวเองลงไปด้วย มันเป็นความชั่วร้ายที่อยู่ในแหวน ถ้าใครสวมแหวนแล้วต้องการครอบครองมัน มันจะทำให้คุณไม่สามารถทำสิ่งที่ดีได้ มันมีจิตวิญญาณแห่งความมุ่งร้าย มันเป็นเหมือนสิ่งเสพย์ติด ยิ่งคุณได้แหวนนานเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งปรารถนามัน แนวความคิดเรื่องแหวนที่ชั่วร้ายมีมาก่อนหน้านี้ ในมหากาพย์ของชาวนอร์เวย์ที่ชื่อว่าโวซุงก้า ซาก้า(Vosunga Saga) มันเป็นเรื่องราวของชาวไอซ์แลนด์ที่เขียนขึ้นในช่วงปี 1300 มาจากเรื่องเล่าของชาวเยอรมันโบราณ แล้วเมื่อชาวสแกนดิเนเวียนเข้ามาตั้งรกรากในไอซ์แลนด์ พวกเขาก็นำธรรมเนียมนี้มาด้วย
มีเรื่องราวคล้ายคลึงกันระหว่างโวซุงก้า ซาก้า กับเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในส่วนหนึ่งของเรื่องโวซุงก้า ซาก้า กษัตริย์คนหนึ่งครอบครองแหวนทองที่ทำให้พระองค์มั่งคั่งร่ำรวยอย่างเหนือจินตนาการ โอรสของกษัตริย์ผู้นั้นปรารถนาที่จะครอบครองแหวนวงนั้น สิ่งล่อใจนี้ผลักดันเขาไปสุดขอบ เขาฆ่าบิดาของตนเองเพื่อครอบครองแหวนแล้วนำไปซ่อนไว้ในถ้ำ แหวนแห่งความชั่วร้ายได้เปลี่ยนเจ้าชายให้กลายเป็นงูที่น่าเกลียดน่ากลัว นี่เป็นบทเรียนที่ให้เห็นถึงอันตรายของความโลภ มันคล้ายกับตัวละครกอลลัมในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ กอลลัมเคยเป็นฮอบบิทมาก่อน กอลลัมเป็นเพื่อนกับดีเอโกลและออกไปหาปลาด้วยกัน ดีเอโกลเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นแสงระยิบระยับอยู่ก้นแม่น้ำ เขาหยิบแหวนขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นแหวนทองที่สวยมาก กอลลัมซึ่งมีชื่อเดิมว่าสมีกัลเห็นแหวนเข้าก็อยากได้แหวน ก็เลยฆ่าเพื่อนรักของตนแล้วยึดแหวนมาเป็นของตัวเอง กอลลัมได้แหวนแล้วก็นำมาซ่อนไว้ในถ้ำเหมือนกับเจ้าชายที่ฆ่าพ่อในโวซุงก้า ซาก้า กอลลัมกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดและน่าเวทนาอย่างมาก ชั่วชีวิตของสมีกอลหรือกอลลัมอยู่กับความคิดที่ว่าเขาครอบครองแหวนและหลงใหลมันมาก แหวนเข้าครอบครองจิตใจของเขาโดยสิ้นเชิง
หลังจากครอบครองแหวนมานานเกือบ 500 ปี กอลลัมก็ทำมันหายไป ในเวลาต่อมาแหวนก็ตกมาอยู่ในมือของฮอบบิทผู้ไร้เดียงสาโฟรโด้ แบ๊กกิ้นส์ โฟรโด้มีความหมายว่าฉลาดในภาษานอร์เวย์โบราณและแองโกลแซกซอน การเดินทางของโฟรโด้เริ่มต้นในดินแดนที่มีเนินเขาและทุ่งหญ้าที่มีชื่อว่าเดอะไชร์ (Shire) ซึ่งเป็นบ้านของเผ่าพันธุ์ฮอบบิท ฮอบบิทเป็นคนตัวเล็ก อาจสูงแค่สี่ฟุตหรือเตี้ยกว่านั้น พวกเขาไม่สวมรองเท้าเพราะมีฝ่าเท้าหนามากและมีขนมากมาย ชอบอยู่บ้านและไม่ชอบออกไปผจญภัยที่ไหนเลย ชีวิตราบเรียบที่เดินไปอย่างช้าๆของเผ่าฮอบบิทในไชร์นั้นคล้ายกับไลฟ์สไตล์ของผู้แต่งเจ อาร์ อาร์ โทลคีนที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทตะวันตกของอังกฤษ ดูเหมือนกับโทลคีนคงจะใส่การตัวตนของเขาลงไปในการดำเนินชีวิตของฮอบบิท อุดมคติของเขาหลายอย่างอยู่ในตัวของพวกฮอบบิท
ฮอบบิทเป็นสิ่งมีชีวิตพวกสุดท้ายที่คาดว่าจะสามารถรักษาโลกนี้ไว้จากสิ่งชั่วร้าย แต่โฟรโด้ แบ๊กกินส์แตกต่างออกไป โฟรโด้ไม่ใช่ฮอบบิทธรรมดาเพราะว่าเขาได้เรียนรู้ สนใจเรื่องเอลฟ์ และเรื่องภายนอก โทลคีนใส่ความเป็นวีรบุรุษให้กับบุคคลที่ดูภายนอกเหมือนไม่น่าจะเป็นได้อย่างโฟรโด้ โฟรโด้รับมรดกแหวนมาจากลุงของเขาที่ชื่อบิลโบที่พบแหวนในถ้ำของกอลลัม และเมื่อโฟรโด้ได้พบอำนาจการทำลายล้างของแหวน เขาก็ตั้งใจที่จะทำลายมัน แต่ต่อมาก็พบว่าตัวเองก็ถูกชักนำด้วยความชั่วร้ายของแหวน
ในจุดเริ่มต้นของหนังสือ โฟรโด้รู้สึกถึงสิ่งที่ล่อใจของการสวมแหวน และการหลบหนีแล้วทิ้งเพื่อนเขาไว้ ซึ่งเขาก็ผ่านบททดสอบนั้นมาได้ แต่ต่อมาแหวนก็มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางผจญภัยเพื่อทำลายความชั่วร้ายเป็นแกนหลักของเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มันเป็นนิทานปรัมปราในยุคสมัยใหม่ที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับนิทานในประวัติศาสตร์ โลกแห่งตำนานของเจ อาร์ อาร์ โทลคีนมีรายละเอียดอย่างมาก เขาได้สร้างคำใหม่ MYTHOPOEIA ขึ้นมาซึ่งหมายถึงพิมพ์เขียวที่บอกรายละเอียดของสถานที่ต่างๆ ในโลกนิทานของเขา มันอธิบายว่ามิดเดิลเอิร์ธคงอยู่มาได้อย่างไรก่อนที่จะเกิดเรื่องราวในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แต่มันไม่ได้ตีพิมพ์จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในหนังสือที่ชื่อว่า The Silmarillion เป็นเรื่องราวย้อนหลังไปในยุคก่อนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์นับพันปี มันหนากว่า 2 ฟุต เป็นแผ่นกระดาษปึกใหญ่
ในการเขียนหนังสือเล่มนี้เขานำข้อมูลมาจากหลายแหล่งและสิ่งหนึ่งที่มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือพระคัมภีร์ไบเบิล โทลคีนเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัด แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานตั้งแต่เขายังเด็ก เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยบาทหลวงคนหนึ่งในนิกายโรมันคาทอลิค เขาแสดงออกผ่านเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ในงานเขียนของเขามีพระเจ้าสูงสุดอยู่องค์หนึ่งชื่อว่าอิลูวาทาร์ เขาสร้างสรรค์เทพที่มีชื่อว่าไอน่าที่ร้องเพลงได้ไพเราะมาก ซึ่งโลกเบ่งบานจากเสียงเพลงของท่าน มันเป็นจุดเริ่มต้นของมิดเดิลเอิร์ธ ฉากในอนาคตของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
ในปี 1928 โทลคีนได้ร่างตำนานงานเขียนของเขาอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีคนอ่านงานเขียนของเขาเยอะๆ นอกจากกลุ่มเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น เขาเป็นศาสตราจารย์วิทยาลัยวัย 36 ปี วันหนึ่งขณะที่เขากำลังตรวจข้อสอบนักเรียน มีคนหนึ่งส่งกระดาษเปล่ามา โทลคีนก็เชียนลงไปว่า ในโพรงใต้พื้นดินมีฮอบบิทอาศัยอยู่ จากประโยคนี้โลกงานเขียนของเขาก็ปรากฏขึ้น ความหมายของคำว่าฮอบบิทในทางภาษาศาสตร์นั้นมันไม่ชัดเจน สันนิษฐานว่ามาจากคำว่าฮาบิท หรือคำว่าฮาบิทัชในภาษาละตินที่หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีธรรมเนียมปฏิบัติ หรือสิ่งมีชีวิตที่มีวิถีแบบธรรมดาสามัญ
การเล่นคำไม่ใช่สิ่งใหม่ของโทลคีน เขาเริ่มสร้างวลีของตนเองมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกมันได้กลายเป็นรากฐานสำหรับภาษาที่พูดกันในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาของพวกเอลฟ์ ไม่ควรสับสนระหว่างเอลฟ์กับฮอบบิท เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เข้าใกล้กับความสมบูรณ์แบบ เป็นชีวิตอมตะที่เป็นตัวแทนของสิ่งที่มนุษย์อยากจะเป็น พวกเขาไม่ได้ด่างพร้อยด้วยบาปดั้งเดิมของอดัมกับอีฟ เอลฟ์พูดภาษาถิ่นที่แตกต่างกันหลายสำเนียง เป็นภาษาที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ๆสุดในมิดเดิลเอิร์ธ
บางส่วนของภาษาเอลวิชมาจากภาษาที่มีอยู่จริงคือภาษาฟินนิช โทลคีนศึกษาภาษาจากนิทานประจำชาติของฟินแลนด์ที่เรียกว่าคาเลวาร่า มันเป็นนิทานมหากาพย์ของชาวฟินแลนด์ มันมีทั้งคนแคระและเอลฟ์ ภาษาต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็เช่นกัน ทั้งภาษาแบล็กสปีชที่เซารอนพูดซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงนิสัยที่แท้จริงของเขา ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ มีอีกภาษาหนึ่งที่เป็นของคนแคระ กลุ่มคนร่างแคระที่กล้าหาญที่อาศัยอยู่ใต้ดิน อักษรของพวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากข้อความจารึกของชาวนอร์เวย์ ที่ยังคงพบอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย มันเป็นจารึกเก่าแก่ที่เรียกว่ารูนสโตน รูนสโตนมักจะใช้บ่งบอกถึงสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นดาบที่อาจจะเป็นมรดกที่สืบทอดกันมา หรืออาจจะเป็นหลุมฝังศพ
โทลคีนเพิ่มปริศนาภาษารูนไว้ในนิยายที่ตีพิมพ์ครั้งแรกของเขา มหากาพย์ที่เรื่องราวมาก่อนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ นั่นคือเดอะฮอบบิท มันมีศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่บิลโบ แบ๊กกินส์ ลุงของโฟรโด้ เขาเป็นฮอบบิทที่ออกตามหาขุมทรัพย์ที่ถูกขโมยไป เงื่อนงำของการค้นหาอยู่ในแผนที่โบราณ มันเป็นคำภาษารูนที่ซ่อนอยู่มองเห็นได้เมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์เท่านั้น โทลคีนต้องการให้ภาษารูนเป็นตัวแทนของภาษาจริงๆ เป็นภาษาลับที่ใช้เกี่ยวกับเวทมนต์และเชื่อมโยงกับภาษาที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาอีกด้วย
ตัวหนังสือเวทมนต์ที่ซ่อนอยูในแผนที่ได้นำพาบิลโบมายังที่ซ่อนตัวของสเม้าจ์ (Smaug) มังกรที่น่ากลัวที่สุดในมิดเดิลเอิร์ธ นี่คืออสุรกายที่ครองสมบัติเอาไว้ สเม้าจ์คือมังกรทองที่ยิ่งใหญ่ตัวสุดท้าย มันสั่งสมความมั่งคั่งจากอาณาจักรคนแคระและกองรวมไว้เป็นเนินสูงใหญ่ บิลโบเข้าไปในถ้ำของมังกรอย่างกล้าหาญและขโมยถ้วยทองคำจากกองทองคำ สเม้าจ์เข้าทำลายหมู่บ้านใกล้เคียงด้วยความโกรธแค้น นี่เป็นนิทานปรัมปราแต่อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้น ถ้าเรื่องราวของมังกรที่คอยพิทักษ์ทองคำฟังดูคุ้นๆ โครงเรื่องแบบนี้ดูคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน Beowulf มันเป็นนิทานปรัมปราที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นเรื่องที่เจ อาร์ อาร์ โทลคีนชื่นชอบเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษชาวสแกนดิเนเวียที่กลายมาเป็นกษัตริย์ของแผ่นดินแม่ และต้องเจอกับบททดสอบสุดท้ายคือมังกรไฟ ใน Beowulf มังกรคอยปกป้องสมบัติจากกษัตริย์ในยุคก่อน แล้วก็มีคนไปแอบเอาถ้วยทองในตอนที่มังกรหลับใหล
เรื่องราวในนิทานนี้คล้ายกันกับในเรื่องฮอบบิท ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ได้แฝงข้อคิดเกี่ยวกับภัยอันตรายของความโลภเอาไว้ ไม่เพียงแต่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานที่โทลคีนชื่นชอบเท่านั้น ยังมีประสบการณ์ในชีวิตจริง เรื่องราวเกี่ยวกับผี เลือด และความตาย การสู้รบที่สร้างบาดแผลเอาไว้ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ฝรั่งเศสปี 1916 การระดมโจมตีของศัตรูดังไปทั่วสนามรบ พลทหารอังกฤษเบียดเสียดกันเพื่อความปลอดภัย คืบคลานบนพื้นเหมือนหนอนไปทีละนิ้วๆ หนึ่งในนั้นมีพลทหารวัย 24 เจ อาร์ อาร์ โทลคีนรวมอยู่ด้วย ในอนาคตเขาคือผู้ประพันธ์เรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ประสบการณ์ของเขาในสนามรบมีส่วนอย่างมากในฉากรบของมิดเดิลเอิร์ธ
เมื่อเราอ่านเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในช่วงของการสู้รบที่นองเลือด มันคือข้อถ้อยแถลงของโทลคีนที่เกี่ยวกับสงครามที่เขาประสบมา สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นฉากของความตายในระดับที่ท้าทายต่อความศรัทธา หนังสือประวัติศาสตร์เรียกมันว่ามหาสงคราม มันเป็นชาวงเวลาที่ผู้คนสังหารผู้อื่นเพียงเพื่อดินโคลนเพียงไม่กี่หลาเท่านั้น ในสนามรบคุณจะต้องหวาดผวาว่าคุณจะโดนลูกปืนเข้าตอนไหน เท้าของคุณแช่อยู่ในน้ำ ในคู ในสภาพที่เรียกว่า เทรนช์ฟุต ผิวหนังจะค่อยๆ เปื่อย ไหนที่อาจจะต้องถูกโจมตีด้วยแก๊สมัสตาร์ด เรื่องน่ากลัวเหล่านี้โทลคีนเคยเห็นและประสบมาแล้ว การสู้รบที่แม่น้ำซอมเดือดอยู่สี่เดือน เสียผู้คนไปถึงหนึ่งล้านห้าแสนคน ไม่มีใครได้หรือเสียพื้นที่เมื่อสิ้นสุดการรบ
หลังจากรับใช้ชาติเป็นเวลาประมาณ 1 ปี โทลคีนติดไข้เชื้อโรคจากสนามรบ เป็นเชื้อพวกโรคบิดหรือโรคไข้รากสาดใหญ่ เขาถูกนำตัวไปรักษาและส่งตัวกลับบ้าน และใช้เวลาพักฟื้นอยู่นาน หลังจากนั้นเขาก็ไม่กลับเข้าสู่สงครามอีกเลย เขาประสบความชอกช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความชอกช้ำทางจิตใจที่เขาได้รับจากสนามรบมีอิทธิพลต่อวิธีการที่เขาเขียนถึงความเจ็บปวดที่โฟรโด้ได้รับในการเดินทางไปทำลายแหวน ตัวตนของโทลคีนส่วนใหญ่อยู่ในพวกฮอบบิท ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โฟรโด้ได้เดินทางผ่านบึงแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหนองน้ำแห่งความตายซึ่งเคยมีมหาสงครามเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ที่นั่นมีผีที่ยังคงสิงอยู่ใต้น้ำ "ผีสิงสู่อยู่ใต้น้ำ ใบหน้าซีดขาว ลึกลงไปในน้ำที่มืดมิด ข้าเห็นพวกมัน ใบหน้าดุร้ายและชั่วร้าย ใบหน้าที่งามสง่าและแสนเศร้า เหม็นเน่า เปื่อยผุพัง และไร้ชีวิต
ในหนองน้ำแห่งความตาย มันเป็นภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยซากศพ ความน่ากลัวของสงครามที่โทลคีนเปิดเผยเป็นครั้งแรกอยู่ในนิยายที่เขาเขียนก่อนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งก็คือเดอะฮอบบิท มันเป็นเรื่องราวของสงครามห้าทัพ ทั้งหมดต่อสู้กันเพื่อสมบัติของมังกร ตัวละครหลักคือ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ เขาเห็นเพื่อนของเขาถูกสังหารในสนามรบ และเข้าใจในความไร้ประโยชน์ของสงคราม และเช่นเดียวกับบิลโบ ผู้เขียนเจ อาร์ อาร์ โทลคีนก็เห็นเพื่อนของเขาตายในสงครามที่ฝรั่งเศส เดือนพฤศจิกายนในปี 1916 เพื่อนสนิทสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปในสงครามที่เขาจะไม่มีวันลืม
เห็นชัดเจนว่าเวลาที่ผู้อ่านอ่านงานเขียนของเขา ในฉากที่มีการสู้รบ เขาถ่ายทอดความกลัวที่จะต้องอยู่ในสนามรบ ความกลัวที่จะต้องตาย แต่ก็ยังต้องการที่จะแสดงออกถึงอารมณ์ขันและความกล้าหาญ เพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณของเพื่อนที่ร่วมสู้รบด้วยกัน เพื่อแสดงว่ามีกันและกัน ซึ่งนั่นเขานำมาจากประสบการณ์ของเขาเองจริงๆ ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ยังมีการจินตนาการที่เจิดจ้า มีรากฐานมาจากนิทานปรัมปราโบราณและชีวิตสมัยใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ประสบการณ์ตรงของผู้ประพันธ์ เจ อาร์ อาร์ โทลคีน ได้วางกรอบความขัดแย้งไว้ที่พลังแห่งความดีและความชั่ว
สนามรบแห่งสุดท้ายของความขัดแย้งนี้คือขุมนรกแห่งมอร์ดอร์ (Mordor) ณ ใจกลางของมอร์ดอร์ ณ ใจกลางของมอร์ดอร์มีภูเขาแห่งหายนะ ภูเขาไฟที่เคยเป็นที่ๆ หลอมแหวนวงนั้นขึ้นมา ที่ๆ ฮอบบิทโฟรโด้จะต้องเดินทางมาทำลายแหวน ก่อนที่อำนาจชั่วร้ายจะครอบงำเขา นี่เป็นฉากที่นำมาจากข้อมูลโบราณที่ชื่อเสียงที่สุดของโลก พระคัมภีร์ ถ้าเราดูที่พระคัมภีร์ไบเบิล นรกนั้นอาจจะหมายถึงสถานที่ๆ มีไฟและกำมะถัน และความทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ และเมื่อพูดถึงมอร์ดอร์ มันเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่าที่ดำมืด ในนิยายเรื่องนี้ ใครก็ตามที่เข้าไปในมอร์ดอร์นั้นตายเสียยังดีกว่า มีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เป็นหน่วยทหารราบออกลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลานั่นคือพวกออร์ค (Orc) พวกออร์คน่ากลัวมากๆ เป็นพวกขี้โกง ทุจริตและก็น่าเกลียด ว่ากันว่าพวกเขาคือเอลฟ์ที่หลงผิด พลังด้านมืดได้เข้าครอบงำและบิดเบือนให้พวกเขากลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัว
มีคำบรรยายเกี่ยวกับพวกออร์คไว้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบพวกเครื่องยนต์กลไก หลงใหลในเรื่องผลกำไร ผลประโยชน์ การเอารัดเอาเปรียบ ให้คนอื่นมาทำงานให้ นี่อาจหมายถึงพวกนายทุนในระบบทุนนิยม ออร์คเป็นพวกชอบทุจริต เป็นความวินาศ แต่เดิมพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดี แต่มีความทะเยอทะยาน มีกิเลสเยอะ ทำให้แปรเปลี่ยนเป็นความชั่วร้ายในที่สุด เผ่าพันธุ์ที่ชั่วร้ายในมอร์ดอร์ของนิยายลอร์ดออฟเดอะริงส์นั้นอาจจะมาจากนิทานปรัมปราโบราณ Beowulf ซึงมีส่วนหนึ่งที่บรรยายถึงสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายสืบเชื้อสายมาจากเคน (Cain )บุตรคนแรกของอดัมกับอีฟ ที่เป็นคนไม่ดี
การนำข้อมูลจากประวัติศาสตร์มาสร้างตัวละครนั้น ไม่มีแต่เพียงตัวละครที่โหดร้ายเท่านั้นยังมีตัวละครที่เปรียบเสมือนวีรบุรุษนั่นก็คือพ่อมดแกนดาล์ฟ (Gandalf) ในเดอะลอร์ออฟเดอะริงส์ แกนดาล์ฟเป็นผู้ชี้นำวิธีทำลายแหวนให้กับโฟรโด้ แกนดาล์ฟเป็นรูปแบบแรกเริ่มที่นำพ่อมดมาเป็นวีรบุรุษ ซึ่งก่อนหน้างานเขียนของโทลคีน พ่อมดหรือเวทมนตร์นั้นเป็นตัวแทนของความชั่วร้าย ต่อต้านศาสนาคริสต์ เงื่อนงำที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของแกนดาล์ฟพบได้ในนิทานเก่าแก่ของนอร์เวย์ ในภาษานอร์เวย์โบราณคำว่าแกนดาล์ฟนั้นหมายถึงเอลฟ์ที่มีเวทมนตร์ แน่นอนว่าในนิยายของโทลคีนพ่อมดแกนดาล์ฟนั้นไม่ใช่เอลฟ์ แต่เขาก็มีเวทมนตร์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก และแกนดาล์ฟยังมีรูปโฉมภายนอกที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่ทรงพลังอำนาจมากของชาวนอร์ส เทพโอดิน สำหรับชาวสแกนดิเนเวีย เทพโอดินเป็นตัวแทนของหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นตัวแทนของสติปัญญาที่ดีงาม การสู้รบ และความตาย ตัวตนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นค่อนข้างชัดเจนในตัวของแกนดาล์ฟ เทพโอดินเป็นนักเดินทาง ใส่ชุดคลุมยาวสีเทา ใส่หมวก มีเครายาว และคอยทำลายพลังชั่วร้ายอยู่เงียบๆ
หรือจริงๆ แล้วพ่อมดแกนดาล์ฟก็อาจได้รับอิทธิพลจากสิ่งอื่นจากลักษณะที่มีความเก่าแก่โบราณยิ่งกว่า เขาอาจเทียบได้กับพระเยซูที่อุทิศตนจนตายและกลับมาอีกครั้งในชุดสีขาว เมื่อแกนดาล์ฟต่อสู้เพื่อช่วยเหลือโฟรโด้ อุปมาว่าเขาตายไปแล้ว และเขาก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในฐานะแกนดาล์ฟขาว และนี่ก็เป็นตัวอย่างที่เราเห็นรากฐานของแคทอลิคของโทลคีนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งนั่นเหมือนกับว่าเขาใช้ลักษณะบุคคลจากโลกโบราณสองคนมาเป็นตัวละครของเขาคนเดียว นี่เป็นเอกลักษณ์ของโทลคีนที่รวมเอาสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์และพวกนอกรีตมาใช้รวมกันได้ดีมาก
ศาสนามีอิทธิพลต่องานเขียนเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งเผยให้เห็นอย่างชัดเจนในจุดสุดยอดของมหากาพย์ เมื่อเรื่องราวมาถึงบทสรุป เมื่อโฟรโด้เผชิญหน้ากับสิ่งยั่วใจจากแหวนเมื่อเขาเดินทางมาถึงภูเขาแห่งหายนะ เขาต้องปีนขึ้นไปบนยอดภูเขาไฟเพื่อที่จะต้องโยนแหวนลงไป แต่มันไม่ง่ายเลย แหวนท้าทายเขาให้ล้มเลิกภารกิจและรับพลังอำนาจของมัน นี่เป็นการต่อสู้กับสิ่งที่ล่อใจอย่างที่สุด เป็นความพยายามดิ้นรนอยู่ภายในระหว่างความมืดและความสว่างที่เกิดจากโลกทรรศน์แบบชาวคริสต์ของ เจ อาร์ อาร์ โทลคีน เขาเปรียบให้เห็นถึงการอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้เราไม่ถูกสิ่งล่อใจ ให้เราพ้นจากสิ่งที่ชั่วร้าย ช่วงเวลาที่โฟรโด้จะทิ้งแหวนคู่ขนานไปกับตอนที่มีชื่อเสียงที่สุดในพระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาใหม่ ซาตานมายังโลกเพื่อล่อใจพระคริสต์ในทะเลทราย ในขณะที่พระคริสต์อดอาหารเป็นเวลา 40 วัน เขาล่อใจพระคริสต์ด้วยอำนาจ พยายามล่อด้วยอาหาร ล่อด้วยอำนาจการปกครองโลก
ในพระคัมภีร์พระเยซูปฏิเสธคำเสนอของซาตาน แต่ความมุ่งมั่นของโฟรโด้อ่อนแอกว่า โฟรโด้ขึ้นมาถึงรอยแยกของภูเขาได้สำเร็จ เขาไม่อาจทำลายมันได้ มันดูดกลืนตัวเขามากเกินไป แล้วเขาก็สวมมัน ทันทีที่โฟรโด้สวมแหวน เขาก็หายตัว แต่โฟรโด้ไม่ได้อยู่ตามลำพัง กอลลั่มสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายที่เคยครอบครองแหวนมานานหลายร้อยปีได้ติดตามโฟรโด้มาตลอดทางจนถึงภูเขาแห่งหายนะนี้ กอลลั่มต้องการแหวนคืนอย่างที่สุด เขากัดนิ้วของโฟรโด้ หยิบฉวยแหวนและตกลงไปในเปลวเพลิงของภูเขาไฟ ไฟทำลายแหวนและกอลลั่ม เป็นกอลลั่มนี่เองที่ช่วยมิดเดิลเอิร์ธเอาไว้ด้วยการทำสิ่งที่ชั่วร้าย
วีรบุรุษที่มีมลทินไม่ได้ช่วยโลกเอาไว้ นี่เป็นจุดจบที่หันเหจากรากฐานความเป็นชาวคริสต์ของโทลคีนและขนบการเขียนนิทาน ปกติแล้ววีรบุรุษในนิทานต่างๆ เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะรู้สึกดีเพราะเขาได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่โฟรโด้ไม่ ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์แม้โฟรโด้ไม่ได้ทำสิ่งที่เขาควรจะทำ แต่สุดท้ายความดีย่อมชนะความชั่ว โดยจุดจบของเรื่องนี้ให้ความดีชนะโดยที่ความชั่วแพ้ภัยตนเอง
เมื่อโฟรโด้กลับบ้านจากการเดินทางเพื่อทำลายแหวนของเขา เขาหงุดหงิด ฝันร้าย และไม่อาจปรับตัวให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โฟรโด้ก็เหมือนกับผู้ประพันธ์ที่สร้างเขาขึ้นมา โฟรโด้มีแผลเป็นทางร่างกาย และมีแผลเป็นทางจิตวิญญาณอีกด้วย และนี่ก็เป็นสิ่งที่โทลคีนประสบมาด้วยตัวเองจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เขามีความเครียดจากการเห็นคนมากมายนับไม่ถ้วนต้องมาตายในสนามขี้โคลนทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ในจุดจบของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โฟรโด้ยังคงมีบาดแผลลึกจากการต่อสู้กับความชั่วร้าย เขาออกจากไชร์อีกครั้ง เขาออกไปเสาะหาจุดเริ่มต้นใหม่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมิดเดิลเอิร์ธ และนั่นก็เป็นจุดจบนิยายปรัมปราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคสมัยใหม่ และเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะในหลายแง่มุมมันเข้าใจยากและมีความซับซ้อนมาก แต่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้
บทความแนะนำ