ตำนานเงือกตัวแรกของโลก
อนุสาวรีย์รักนางเงือกที่เมืองเฮลซิงกิมนต์เสน่ห์ของเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมความงามกันตลอดทั้งปี และเมื่อไรที่แวะมาที่นี่ ทุกคนต้องไม่พลาดการแวะไปขอพรความรักที่ "ฮาวิส อะแมนด้า" อนุสาวรีย์นางเงือกของเมืองเฮลซิงกิ
"ฮาวิส อะแมนด้า" เป็นอนุสาวรีย์รูปนางเงือกสาวอะธากาทิสต์ ผุดพรายขึ้นมาจากเกลียวคลื่น รายรอบด้วยสิงโตทะเล 4 ตัว ซึ่งเป็นบริวารของนาง มีความเชื่อเกี่ยวกับอนุสาวรีย์แห่งนี้ว่า เทพธิดาเงือกอะธากาทิสต์สามารถพลิกชะตาความรักให้นักท่องเที่ยวได้ ถ้าใครสามารถโยนหมวกขึ้นไปสวมบนศรีษะของเธอ ความรักของคนๆ นั้นก็จะสมหวัง รวมทั้งจะมีหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ชัชวาลอีกด้วย
เหตุที่อนุสาวรีย์นางเงือกถูกโยงไปถึงความเชื่อนี้ ก็เนื่องมาจากตำนานของเทพธิดาอะธากาทิสต์นั่นเอง เล่ากันว่าพระนางเป็นเงือกสาวตัวแรกของโลก อะธากาทิสต์เป็นราชินีผู้เลอโฉมแห่งแคว้นซีเรีย นางหลงรักชายเลี้ยงแกะคนหนึ่งอย่างสุดจิตสุดใจ ถึงแม้ฝ่ายชายจะไม่มียศศักดิ์เงินทอง ราชินีอะธากาทิสต์ก็ยังเต็มใจอภิเษกกับเขา และแต่งตั้งชายหนุ่มขึ้นเป็นพระราชา
สองหนุ่มสาวครองรักกันอยู่บนบัลลังก์ซีเรีย จนกระทั่งอะธากาทิสต์ตั้งครรภ์แก่จวนคลอด เพื่อให้ลูกน้อยลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย ราชินีสาวกับพระสวามีจึงไปบนบานเทพเจ้าในวิหาร แต่คงจะอย่างที่คนโบราณว่าไว้ว่า ฝนจะตก แดดจะออก คนจะคลอดลูก สามอย่างนี้ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ห้ามไม่ได้ เมื่อเดินทางมาถึงกลางป่า อะธากาทิสต์เกิดเจ็บท้องขนาดหนัก จะหวังพึ่งพระสวามีให้ช่วยก็ปรากฏว่าพระราชาหนุ่มเคยแต่ทำคลอดแกะ พอมาเจอลูกคนแถมเป็นลูกตัวเองเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายพระสวามีเลยตัดสินใจออกไปตามหมอตำแย แต่เนื่องจากแถวนั้นติดกับชายหาด สัตว์ร้ายทั้งทางบกทางน้ำชุกชุม ก่อนไปเขาจึงได้ให้ธนูกับคันศรแก่นางไว้ โดยกำชับว่าถ้าได้ยินสียงอะไรเข้ามาใกล้แต่ไม่มีเสียงตนร้องเรียก แสดงว่าเป็นสัตว์ป่า ให้นางยิงทิ้งก่อน อย่าให้มันเข้ามาใกล้ตัวได้
พระสวามีวิ่งหาหมอตำแยจนพลบค่ำ ก็ไม่เจอใครผ่านมาสักคนเดียว ด้วยความเป็นห่วงอะธากาทิสต์ที่นอนรอความช่วยเหลืออยู่คนเดียว เขาเลยวิ่งย้อนกลับมา ในตอนนั้นเทพธิดาอะธากาทิสต์ได้คลอดลูกสาวออกมาแล้ว พอพระสวามีเข้ามาใกล้ ก็ได้ยินเสียงลูกน้อยร้องไห้จ้า ด้วยความดีใจจนลืมตัว พระสวามีหนุ่มก็เผลอวิ่งพรวดพราดเข้าไปหาลูกเมียโดยไม่ได้ตะโกนบอก อะธากาทิสต์ได้ยินเสียงฝีเท้าก็คิดว่าเป็นสัตว์ป่าที่คงจะได้กลิ่นคาวเลือด และจะเข้ามากินนางกับลูกอ่อน นางจึงยิงธนูไปที่เงาดำที่เห็นอยู่ไวๆ นั้นทันที ลูกศรอันนั้นแล่นเข้าตัดขั้วหัวใจพระราชาอย่างแม่นยำ เมื่อพระสวามีล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงหน้า อะธากาทิสต์จึงได้รู้ว่าความวู่วามทำให้นางทำผิดครั้งใหญ่หลวงเสียแล้ว
เทพธิดาอะธากาทิสต์ร้องไห้คร่ำครวญอยู่เหนือร่างของพระสวามีเป็นเวลานาน แต่ผู้เป็นที่รักก็ไม่อาจลืมตาขึ้นมามองนางได้อีกแล้ว สุดท้ายนางจึงวางลูกไว้บนชายหาด แล้วเดินลงทะเลด้วยดวงใจที่แหลกสลาย หวังเพียงว่าจะตายตามไปพบกับพระสวามีในปรโลก แต่ทันทีที่ทิ้งร่างจมดิ่งลงในเกลียวคลื่น ร่างของอะธากาทิสต์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สองขาของนางแนบติดกัน ก่อนจะแยกออกเป็นครีบ ท่อนขามีเกล็ดระยิบระยับเหมือนเกล็ดปลา ดวงตากลมโตสีเทาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต นางกลายเป็นเงือกสาวแสนสวยแห่งทะเลบอลติก และกลายเป็นเทพธิดาผู้พิทักษ์รักษาเงือกทั้งปวง
ในยามที่ทะเลไร้คลื่นลม อะธากาทิสต์จะขึ้นมานั่งบนโขดหิน ใช้หวีทองหวีผมยาวสลวยพลางร้องเพลงครวญคร่ำหาพระสวามียอดรัก เป็นเช่นนั้นอยู่นานหลายร้อยหลายพันปี เรื่องราวความรักของนางตราตรึงอยู่ในใจนักเดินเรือในทะเลบอลติกทุกคน จนกลายเป็นตำนานเล่าขาน และเป็นที่มาของรูปปั้น "ฮาวิส อะแมนด้า" อนุสาวรีย์นางเงือกแห่งเฮลซิงกิ
นอกเหนือไปจากตำนานของอะธากาทิสต์ ประเทศในแถบทะเลบอลติกยังมีนิทานปรัมปราเกี่ยวกับความรักของนางเงือกกับชายหนุ่มอีกหลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องจบลงที่คราบน้ำตาเสมอ เพราะนิสัยของเหล่านางเงือกมักจะรักอิสระเสรี เลยทนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานตลอดชีวิตแบบคนเราไม่ได้ อีกทั้งนางเงือกเกลียดการซุบซิบนินทาแบบผู้หญิงเอามากๆ เมื่อไรที่ทนต่อไปไม่ไหว เธอก็จะกระโดดกลับสู่ท้องทะเล ไปใช้ชีวิตอิสระเสรีในมหาสมุทรตามเดิม
ชาวประมงที่มีเมียเป็นนางเงือกมาก่อน แต่เมื่อเมียเงือกหนีกลับทะเลไป ก็จะเลิกหาปลาไปตลอดชีวิต เพราะเมื่อไหร่ที่ออกทะเล เมียเงือกจะมาล่อลวงให้เขาไปอยู่ด้วย ซึ่งถ้าใครเผลอตามไปก็จะหมายถึงการจมน้ำตาย นางเงือกกับความรักและการพลัดพราก เลยดูเหมือนเป็นของคู่กันจนกลายเป็นคำสาป เลยเชื่อกันว่าอนุสาวรีย์เงือกที่ผู้คนควรจะนับถือสักการะต้องเป็นเงือกระดับเทพธิดาอย่าง "ฮาวิส อะแมนด้า" เท่านั้น
ตอนแรกที่ "วิลเลย์ วาเกน" ประติมากรเอกของฟินแลนด์ปั้นอนุสาวรีย์ "ฮาวิส อะแมนด้า" ขึ้นในปี 1908 เขาเคยถูกกลุ่มสตรีเล่นงานเอาจนอ่วมอรทัย เพราะบรรดาสาวๆ ติงว่ารูปปั้นนางเงือกของเขาไม่ยอมนุ่งผ้า ท่อนล่างที่เป็นหางปลาจะโป๊เปลือยก็แล้วไปเถอะ แต่ท่อนบนที่เห็นปทุมันอะร้าอร่ามนี่สิ ดูยังไง้ยังไงก็เป็นการดูถูกเพศแม่ เห็นผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศชัดๆ ยิ่งว่าก็ยิ่งไปกันใหญ่ จนผลสุดท้ายรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์รูปนี้ต้องรับกรรม ถูกกลุ่มสตรีตั้งชื่อเสียๆ หายๆ ให้ว่า "ตัวแทนโสเภณีฝรั่งเศส"
ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ วิลเลย์ วาเกน บังเอิญออกแบบให้เจ้าสิงโตทะเลทั้ง 4 ตัวที่ยืนจิ้มลิ้มรายรอบเทพธิดาอะธากาทิสต์อยู่นั้น แลบลิ้นกันทุกตัว สมาคมสตรีเลยหาเรื่องต่อว่าเจ้าสี่ตัวนี้เปรียบได้กับผู้ชายที่แลบลิ้นออกมาหมายจะโลมเลียล่วงเกินหญิงสาว ตอนนั้นเสียงตำหนิโจมตีมีมาทุกวัน จนวิลเลย์ วาเกนแทบจะถอดใจ ยกอนุสาวรีย์ ฮาวิส อะแมนด้า ไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศสอยู่แล้ว โชคยังดีที่กลุ่มเพื่อนๆ ของเขาช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ประวิงเวลาบริจาคออกไปอีกหน่อย พร้อมกับช่วยกันปลุกระดมลับๆ จนกระทั่งชาวเมืองเฮลซิงกิเปลี่ยนทัศนคติที่มีกับอนุสาวรีย์นางเงือกชิ้นนี้ ถ้าไม่ได้เพื่อนๆ ของวิลเลย์ ป่านนี้ฮาวิส อะแมนด้า อาจจะไปประดิษฐานเป็นเครื่องดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กรุงปารีส ฝรั่งเศสไปแล้วก็ได้
นอกจากอนุสาวรีย์ฮาวิส อะแมนด้าจะมีชื่อเสียงเรื่องช่วยให้ความรักสมหวัง (แต่ต้องฝึกโยนหมวกมาให้แม่นๆ) ที่นี่ยังเป็นความหวังของผู้ชายที่นกเขาตัวเก่งเริ่มอู้งานอีกด้วย ชาวเฮลซิงกิเชื่อกันว่า ถ้าผู้ชายมาวักน้ำที่ฐานอนุสาวรีย์นางเงือกแห่งนี้ล้างหน้า แล้วตะโกนดังๆ สามครั้งว่า "รากัสต้า! รากัสต้า! รากัสต้า!" (Rakastaa) ซึ่งเป็นคำว่ารักในภาษาฟินแลนด์ หนุ่มใจกล้ารายนั้นจะมีสมรรถภาพทางเพศปึ๋งปั๋งขึ้นทวีคูณ ถ้าสุขภาพดีอยู่แล้วก็จะดีคูณสอง ส่วนคนที่นกเขาอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ก็จะกลับสู่โหมดปกติ สามารถปฏิบัติงานได้เหมือนเดิม
และไหนๆ ก็มาไกลถึงฟินแลนด์ทั้งที หลังจากโยนหมวกเสี่ยงทายที่อนุสาวรีย์ "ฮาวิส อะแมนด้า" เสร็จสรรพแล้ว นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดการไปสักการะ "โบสถ์เทมเปลิโอคิโอ" (Temppeliaukio Church) หรือที่รู้จักกันในนาม "โบสถ์หิน"" (Rock Church) หรือ "โบสถ์แห่งความรัก" อันลือลั่นของที่นี่ เดิมทีโบสถ์แห่งนี้เป็นภูเขาหินแกรนิตลูกใหญ่ตั้งขวางอยู่กลางเมือง สถาปนิกชาวฟินแลนด์จึงได้จัดการระเบิดหิน เจาะข้างในให้เป็นโพรง ทำเป็นโบสถ์หน้าตาแปลกไม่ซ้ำใครขึ้นมา และเป็นความมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ ที่โบสถ์เทมเปลิโอคิโอ ถูกสร้างขึ้นในวันวาเลนไทน์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2511 และเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ได้ตั้งใจในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของปีถัดไปพอดิบพอดี ชาวเฮลซิงกิเลยตั้งชื่อมันว่า โบสถ์แห่งความรักและนิยมมาประกอบพิธีแต่งงานกัน
หลังจากนั้นปรากฏว่าคนที่มาแต่งงานที่นี่ทั้งหมด มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ยิ่งกาลเวลาผ่านไปผู้คนก็ยิ่งเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์หลังนี้ ว่าถ้าใครมาจุดเทียนของพรความรัก คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริงเสมอ และคู่รักรายใดที่มาประกอบพิธีแต่งงานที่นี่ก็จะครองรักกันไปจนแก่เฒ่า ทำให้ทุกวันนี้มีหนุ่มสาวจากทั่วโลกเดินทางมาแต่งงานและขอพรที่นี่กันคับคั่ง...ได้เสี่ยงทายรักจากอนุสาวรีย์เทพธิดาแห่งเงือก และขอพรจากโบสถ์แห่งความรัก นี่ล่ะเสน่ห์ดึงดูดชั้นยอดของเมืองเฮลซิงกิ
ที่มา นิตยสาร LIVE