พระนางเลือดขาว ตำนานรักและคำสาปแห่งเกาะลังกาวี
MAHSURI BINTI PANDAK MAYAH MAHSURI A VICTIM OF TREACHERY AND JEALOUSY WAS SENTENCED TO DEATH IN 1235 HIJRAH OR 1819 A.D. AS SHE DIED SHE LAID A CURSE ON THE ISLAND "THERE SHALL BE NO PEACE AND PROSPERITY ON THIS ISLAND FOR A PEROID OF SEVEN GENERATIONS"มัสสุหรีผู้รับเคราะห์กรรมจากการทรยศหักหลัง และความอิจฉาริษยาจนถูกตัดสินประหารชีวิต เมื่อศักราช(อิสลาม) 1253 หรือคริสต์ศักราช 1819 (พ.ศ. 2632) นางสิ้นชีวิตลงพร้อมสาปแช่งที่แห่งนี้ว่า "จะไม่เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะแห่งนี้ เป็นเวลา 7 ชั่วอายุคน"
ถ้าคุณไปเที่ยวเกาะลังกาวี จะเห็นป้ายหินอ่อนจารึกข้อความนี้ ตั้งอยู่เคียงข้างกับสุสานของพระนางมัสสุหรี พระนางเลือดขาวผู้ใช้ชีวิตพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง เมื่อเกือบ 200 ปีมาแล้ว พระนางมัสสุหรีเป็นเด็กหญิงสายเลือดไทยโดยกำเนิด พ่อแม่ของเธอเป็นพ่อค้าชาวภูเก็ตที่อพยพไปค้าขายอยู่บนเกาะลังกาวี ตั้งแต่เล็กจนโต เธอได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่งามทั้งกายและใจ ไม่เพียงแต่หน้าตาจะสวยจนเป็นที่เลื่องลือ แต่เธอยังมีเมตตาแก่ขอทานและคนยากจนเสมอ วันหนึ่งสุลต่าน "วันดารุส" ผู้ปกครองเกาะลังกาวีได้เสด็จมายังหมู่บ้านของมัสสุหรี เมื่อได้เห็นสาวงามคนนี้เข้า องค์สุลต่านก็ได้เข้าใจว่าความรักหน้าตาเป็นอย่างไร ทรงเฝ้าแวะเวียนไปหามัสสุหรีและครอบครัวอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเมื่อหญิงสาวมีใจรักตอบ สุลต่านก็กลับไปบอกพระมารดาว่าทรงค้นพบคนที่จะมาเป็นชายาแล้ว
พระมารดาของสุลต่านวันดารุส เป็นชาวลังกาวีแท้มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด จึงทรนงในสายเลือดอันเข้มข้นของตนมาก พอรู้ว่าลูกชายจะแต่งงานกับผู้หญิงต่างด้าวไม่มีหัวนอนปลายเท้า ซ้ำยังไร้ทรัพย์สินเงินทองเชิดหน้าชูตา พระมารดาก็ถึงกับต้องเรียกหายาดมมาสูดแก้วิงเวียนมือเป็นระวิง พอตั้งสติได้ นางก็ประกาศก้องว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ยอมไปสู่ขอมัสสุหรีอย่างแน่นอน มิว่าสุลต่านวันดารุสจะอ้อนวอนเท่าใด เสด็จแม่ก็ไม่ใจอ่อน สุดท้ายองค์สุลต่านจึงยื่นคำขาดว่าเป็นไงเป็นกัน หากพระมารดาไม่ไปสู่ขอนางในดวงใจ พระองค์ก็จะไม่อภิเษกกับหญิงใดอีกเลยตลอดชีวิต
ด้วยความกลัวว่าลูกชายจะขึ้นคาน และราชบัลลังก์จะไร้ผู้สืบทอด พระมารดาจึงจำต้องหอบขบวนขันหมาก เดินกระฟัดกระเฟียไปสู่ขอมัสสุหรีแต่โดยดี แต่พร้อมกันนั้น เสด็จแม่ตัวร้ายก็แอบสาบานกับตัวเองว่า มัสสุหรีจะได้ดีมีสุขอยู่ในตำแหน่งพระชายาแห่งลังกาวีได้ไม่นานอย่างแน่นอน พระนางจะขอทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดสะใภ่ไร้ศักดินาคนนี้ออกไปจากชีวิตสุลต่านวันดารุสให้จงได้
ชีวิตในวังของมัสสุหรี เป็นชีวิตประเภทคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก แม้สิ่งแวดล้อมรายรอบจะโอ่อ่าหรูหราราวกับวิมานสวรรค์ ผิดกันลิบลับกับกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ที่นางเติบโตขึ้นมา แต่คนในวังกลับแห้งแล้งน้ำใจ เฝ้าแต่อิจฉาริษยากัน โดยเฉพาะแม่ผัวผู้สูงศักดิ์ที่หาเรื่องดุด่ากลั่นแกล้งนางไม่เว้นแต่ละวัน บรรดานางกำนัลที่มาถวายการรับใช้ก็ล้วนแต่เป็นกองสอดแนมที่พระมารดาส่งมาจับผิดลูกสะใภ้ทั้งสิ้น
สุลต่านวันดารุสเข้าใจความทุกข์ของพระชายาดี จึงหมั่นปลอบใจนางอยู่เสมอ ทว่ายิ่งลูกชายแสดงความรักเมียออกมามากเท่าไหร่ พระมารดาก็ยิ่งขวางหูขวางตา หมั่นไส้ลูกสะใภ้คนงามขึ้นเป็นทวีคูณ หลังจากแต่งงานได้ไม่นานนัก มัสสุหรีก็ตั้งครรภ์และมอบลูกชายอ้วนท้วนแข็งแรงเป็นของขวัญให้พระสวามี แต่เจ้าชาย "วันกาเฮ็ม" ลืมตาดูโลกให้พระบิดาชื่นชมได้เพียง 3 วัน สุลต่านวันดารุสก็มีเหตุต้องนำทัพออกรบพอดิบพอดี องค์สุลต่านรู้ดีว่าในพระราชวังอันกว้างใหญ่นี้ ชายาของพระองค์ต้องอยู่อย่างหัวเดียวกระเทียมลีบ หากปราศจากพระองค์คอยคุ้มครองแล้ว มัสสุหรีจะต้องถูกมือที่มองไม่เห็นแต่ทุกคนรู้ว่าใคร พร้อมเหล่าบริวารกลั่นแกล้งรังแกเอาตามใจชอบแน่นอน ก่อนจะเสด็จไปรบสุลต่านวันดารุสจุงได้มอบหมายให้องครักษ์คู่ใจของพระองค์ อยู่พิทักษ์ความปลอดภัยให้ชายาผู้เป็นที่รัก
แมวไม่อยู่หนูร่าเริงฉันใด พระมารดาของสุลต่านก็เป็นอย่างนั้น พอลูกชายลับตัวไป พระนางก็รีบสั่งการให้บ่าวไพร่ในวังทั้งหมดหยุดทำงาน แล้วให้มัสสุหรีเหมางานหนักทั้งหมดไปทำคนเดียว มัสสุหรีต้องลุกขึ้นมาปัดกวาดเช็ดถูตำหนัก ทั้งๆ ที่ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากอยู่ไฟไม่ครบกำหนด แต่นางก็ไม่ย่อท้อเพราะหวังจะใช้ความดีชนะใจแม่ผัว แต่คนดีกับคนชั่วมักจะมีความคิดสวนทางกัน การณ์กลับกลายเป็นว่าเมื่อลูกสะใภ้ยอมทำงานโดยไม่ปริปากบ่น พระมารดาก็ยิ่งหมั่นไส้ คิดว่านางตั้งใจท้าทายตน
ตลอดเวลาที่มัสสุหรีตกระกำลำบากอยู่นั้น องครักษ์ที่สุลต่านวันดารุสมอบหมายให้ดูแลนางก็คอยช่วยนางไม่ยอมห่าง ทำให้ทั้งสองต้องใกล้ชิดกันไปโดยปริยาย ทั้งหมดนี้แม่ผัวตัวร้ายทรงรับรู้ด้วยความพอใจ เพราะเห็นช่องทางกำจัดลูกสะใภ้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม นางสั่งให้บริวารจับตามองความสนิทสนมของนายบ่าวคู่นี้อย่าให้คลาดสายตา ด้วยเหตุนี้ในวันหนึ่งเมื่อมัสสุหรีได้ยื่นผ้าคลุมฮิญาบ (ผ้าคลุมศรีษะ) ให้องครักษ์เช็ดเหงื่อขณะที่กำลังช่วยกันทำงานอยู่กลางแดดพระมารดาจึงได้รู้ทันที
นี่คือสิ่งที่พระนางรอคอยอยู่แล้ว แม่ผัวตัวร้ายรีบส่งคนไปโพนทะนาทั่วเกาะลังกาวี ว่าพระนางมัสสุหรีที่ชาวลังกาวีทุกคนรักเคารพนั้นบัดนี้แอบทำเรื่องบัดสี คบชู้สู่ชายกับทหารองครักษ์ลับหลังพระสวามี สมควรจะต้องประหารชีวิตเพื่อไม่ให้ราชบัลลังก์ต้องมัวหมอง จากนั้นนางก็จับองครักษ์หนุ่มไปมัดกับหลักประหาร ให้คนใช้อาญาเถื่อนรุมปาด้วยก้อนหินจนตาย วิธีนี้เป็นการประชาทัณฑ์หญิงชายที่สวมเขาให้ผัว ซึ่งชาวมุสลิมใช้กันมาแต่โบราณสำหรับมัสสุหรี เนื่องจากเป็นชายาขององค์สุลต่าน การประหารจึงต้องมีขั้นตอนเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าองครักษ์อยู่บ้าง นางถูกตัดสินให้ประหารโดยการตัดคอ แต่คงจะด้วยบุญญาธิการของมัสสุหรีเอง และเทวดาฟ้าดินเห็นใจ ไม่อยากให้นางต้องตายอย่างมีมลทิน จึงเกิดปาฏิหาริย์ทำให้ดาบคมกริบของเพชรฆาตที่ฟันลงมา ไม่ระคายเคืองผิวของนางเลย เล่นเอาเพชรฆาตซึ่งฆ่าตัดคอคนมานักต่อนักถึงกับเหงื่อตก ด้วยเริ่มสงสัยว่าชะรอยพระนางมัสสุหรีจะเป็นผู้บริสุทธิ์เสียละกระมัง
มัสสุหรีเข้าใจความจำเป็นของเพชรฆาตดีและมองสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งว่าวันนี้ถึงแม้นางจะไม่ตายด้วยคมดาบ แต่ก็คงต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว นางจึงบอกให้เพชรฆาตกลับไปเอากริชประจำตระกูลมาจากพ่อแม่ของนาง เพราะมีแต่กริชอันนี้เท่านั้นที่จะสังหารนางได้ หลังจากได้กริชมาแล้ว พิธีประหารครั้งประวัติศาสตร์ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เพชรฆาตจะลงมือสำเร็จโทษ พระโอรสน้อยวันฮาเก็มในอ้อมแขนพระพี่เลี้ยงก็ร้องไห้จ้าขึ้น มัสสุหรีจึงอ้อนวอนขอกอดลูกเป็นครั้งสุดท้าย แต่เสด็จแม่ตัวร้ายซึ่งมาควบคุมการประหารด้วยตนเองไม่ยินยอม อ้างว่าหญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ภักดีต่อผัวอย่างนาง สกปรกเกินกว่าจะได้แตะต้องรัชทายาทของลังกาวี ความใจดำจนถึงนาทีสุดท้ายของแม่ผัวทำให้มัสสุหรีแค้นใจมาก นางจึงอธิษฐานขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
"ขอให้ฟ้าดินเป็นพยาน ข้านี้ถูกใส่ร้าย ข้าไม่เคยคบชู้สู่ชายแต่อย่างใด หากข้าไม่ผิดขอให้โลหิตนี้เป็นสีขาว และอย่าได้หลั่งลงพื้นดินเลย" สิ้นคำสาบาน คมกริชในมือเพชรฆาตก็ปักลงบนคอของนาง ฉับพลันโลหิตสีขาวราวน้ำนมก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ตกลงพื้นดินแม้แต่หยดเดียว! มัสสุหรีรวบรวมพลังหยาดสุดท้าย สาปแช่งต่อไปอีกว่า
"หากข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ขอให้มันผู้ใดที่อยู่บนเกาะลังกาวีแห่งนี้ จงประสบทุกข์เข็ญนาน 7 ชั่วอายุคนด้วยเถิด" เสียงสาปแช่งอันอ่อนล้าขาดหายไป พร้อมกันนั้นลมหายใจสุดท้ายก็ปลิดปลิวออกจากร่างของมัสสุหรี เหลือไว้เพียงความหวาดกลัวของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ยิ่งมองดูเลือดสีขาวที่ไหลออกมาจากร่างของนาง ชาวลังกาวีก็หน้าซีดเผือด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ทุกคนก็รู้ว่าพระชายามัสสุหรีคือผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง รวมไปถึงองครักษ์หนุ่มที่ต้องตายอย่างทารุณนั้นด้วย
เมื่อสุลต่านวันดารุสกลับถึงลังกาวี ทรงแปลกใจมากที่บ้านเมืองที่เคยคึกคัก กลับเงียบเหงาราวกับเมืองร้าง ประชาชนแต่ละคนหน้าตาหม่นหมองผิดไปจากเดิม ครั้นเมื่อเสด็จถึงวังหลวง จึงได้รู้ว่าเมียรักที่ทรงเฝ้าคิดถึงได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยน้ำมือของพระมารดาของพระองค์เอง
สุลต่านวันดารุสแทบจะล้มทั้งยืนด้วยความโทมนัส หากผู้ที่ใส่ร้ายมัสสุหรีเป็นคนอื่น พระองค์คงจับมาแล่เนื้อเอาเกลือทา แล้วโยนให้อีแร้งกินให้สมแค้น แต่นี่ผู้ร้ายใจฉกรรจ์คนนั้นเป็นแม่ของตัวเสียเอง องค์สุลต่านจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากขอไม่เห็นหน้าหญิงใจร้ายคนนี้อีกเลยตลอดชีวิต ทรงสละราชสมบัติ แล้วหอบลูกออกจากลังกาวีไปใช้ชีวิตกันตามประสา ที่จังหวักภูเก็ตบ้านเกิดของมัสสุหรี ทิ้งเรื่องราวความรักของเจ้าชายหนุ่มกับสาวชาวบ้าน และคำสาปแช่งของพระนางมัสสุหรี ไว้เป็นตำนานคู่กับเกาะลังกาวี ตราบจนถึงทุกวันนี้