เสน่ห์ เล่ห์มนต์ คาถากล่อมหญิงของชายไทย
คนไทยเรามีคำพังเพยว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา" หรือจะพูดให้ชัดก็คือผู้ชายไทยแท้แต่โบราณนั้น เวลาไปจีบลูกสาวบ้านไหนแล้วถ้าสาวเจ้าไม่รักตอบ ไม่มีเสียล่ะที่ฝ่ายชายจะยอมรับความพ่ายแพ้เยี่ยงลูกผู้ชายน้ำใจนักกีฬา แต่พ่อเจ้าประคุณจะหันไปทำเสน่ห์เล่ห์กล ให้ฝ่ายหญิงรักตนให้จงได้
ที่น่าแปลกก็คือผู้ชายที่ได้หญิงมาครองด้วยวิธีนี้ไม่ยักถูกสังคมประณามว่าเล่นสกปรกใช้วิธีเถื่อนถ่อยบังคับใจหญิง แต่กลับได้รับเสียงชื่นชมว่าเก่งกาจสมชายชาตรี โดยมีไอดอลจะวพ่อเป็นถึงพระเอกชื่อดังอย่างขุนแผนแสนสะท้าน จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนั่นเอง ถึงแม้ว่าขุนแผนจะเจ้าขู้เป็นไฟ แต่บรรดาเมียทุกคน มีเพียงนางวันทองคนเดียวที่พระเอกของเราได้โชว์ฝีมือเกี้ยวพาราสี จนนางหลงรัก ยอมมอบตัวและหัวใจให้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นนางบัวคลี่ นางลาวทอง และนางแก้วกิริยา ล้วนแต่กลายเป็นทาสรักของขุนแผนเพราะถูกเป่ามนต์เสน่ห์ใส่ทั้งสิ้น ใช่ว่าจะรักปลาไหลรูปงามตัวนี้ด้วยใจจริงก็หาไม่
บทบาทของขุนแผนสะท้อนรสนิยมของผู้ชายสมัยโบราณ ว่าคลั่งเรื่องเสน่ห์ยาแฝดกันขนาดไหน คาถาที่ถือว่าเป็นบทสวดยอดนิยม เท่าที่พอจะหยิบมาเล่ากันได้นั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 บท ซึ่งหวังว่าคุณผู้อ่านจะอ่านกันเพื่อประดับความรู้ อย่าได้ริลองหรือจริงจังไปเชียว เพราะของแบบนี้เป็นแค่ความเชื่อ และยังต้องมีของประกอบพิธีอีกหลายอย่างด้วย ไม่ใช่แค่ท่องกันปาวๆ อย่างเดียวแล้วจะได้ผล
1. คาถาความรักบทที่ 1
ปิโย เทวะมะนุสสานัง ปิโย พรหมา นะ มุตตะโม ปิโย นาคะสุปันนานัง ปินินทะริยัง นะมามิหัง
คาถานี้คนโบราณท่านวาถ้าท่องบ่อยๆ ไปเล็งรักสาวบ้านไหนไว้ รับรองไม่มีพลาด
2. คาถาความรักบทที่ 2
สังขาเร ติวิเธ โลเก สัญชานาติ อะนิจจะโต สัมมานิพานะ สัมปัตโต สัมปัสสันตัง นะมามิหังฯ
สำหรับคาถานี้ คนโบราณท่านไม่ได้ให้ไปเป่าพรวดใส่ผู้หญิงเฉยๆ แต่ให้ปลุกเสกใส่สีผึ้งเสียก่อน จากนั้นก็เอาสีผึ้งนั้นทาปากแล้วไปเกี้ยวผู้หญิง เชื่อกันว่าทำให้หนุ่มที่ทื่อเป็นเรือเกลือกลายเป็นคนเจ้าคารี้สีคารม พูดจามีเสน่ห์ ผู้หญิงติดเกรียวขึ้นมาทันที
3. คาถาความรักบทที่ 3
ทูเส สัตเต มะหาเสนโต ทูรัฏฐานัง ปะกาสะติ ทูรัง นิพพา นะมาคัมมัง ทูสะหานัง นะมามิหังฯ
เวลาจะไปหาผู้หญิง ผู้ชายสมัยก่อนจะท่องคาถานี้เป็นยันต์กันเหนียวก่อนออกจากบ้าน เพื่อให้ผู้หญิงรักใคร่เมตตา ถ้าเจ้าหนุ่มไปทำทะลึ่งทะเล้นเกี้ยวพาราสี อย่างน้อยหล่อนก็จะได้แค่ค่อนขวับสักทีสองที ไม่ถึงกับตบเอาจนฟันร่วง
4. คาถาความรักบทที่ 4
มุหุสสาเหนะ สัมปันโน มะหันตัง ญานะมาคะมิ มะหิตังนะระ เวเทหิ มะโน สุทธัง นะมามิหังฯ
บริกรรมคาถาบทนี้จนจบแล้วเป่าลมหายใจ ใส่เครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อย หรือตะกรุด สวมติดตัวไว้ เมื่อผู้หญิงเห็นเข้าก็จะนึกรักคนใส่ (ไม่ใช่รักของแพงๆ ที่ใส่อยู่นะจ๊ะ)
5. คาถาความรักบทที่ 5
วันตะราคัง วันตะโทสัง วันตะโมหัง อะนาสะวัง วันทิตัง เทวะหรหเมหิ มะหิตันตัง นะมามิหังฯ
คาถาบทนี้ใช้ปลุกเสกใส่ดอกไม้ แล้วทัดไว้ที่ใบหูก่อนจะออกไปจีบหญิง คนสมัยนี้อาจจะร้องยี้ว่าผู้ชายที่ไหนจะมาทัดดอกไม้ แต่ผู้ชายในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น อย่างเช่นขุนช้างซึ่งเป็นเพลย์บอยเจ้าสำอาง มักจะแต่งตัวสวยสะแข่งกับผู้หญิง และสามารถทัดดอกไม้แข่งกับสาวๆ ได้ ไม่ผิดกติกาหรือถูกหาว่าเป็นตุ๊ดตู่แต๋วแตกแต่อย่างใด
6. คาถาความรักบทที่ 6
สาวะกานัง นุสาเสติ สาระธัมเมจะปาณินัง สาระธัมมัง มะนุสสานัง สาสิตังตัง นะมามิหังฯ
คนไทยเราเวลาไปเยี่ยมใคร เจ้าของบ้านมักจะเอาหมากพลูมาต้อนรับ หนือบางคนก็เคี้ยวหมากหยับๆ ไปจากบ้านตัวเองเลยทีเดียว ก่อนจะกินหมากพลู ท่านว่าให้บริกรรมคาถานี้แล้วเป่าพรวดลงไป จากนั้นไปคุยกับเพศตรงข้ามคนไหน คนฟังก็จะเกิดเมตตามหานิยม หลงติดใจคนพูดโดยไม่รู้ตัว
7. คาถาความรักบทที่ 7
อะ วิช สุ นุต สา นุต ติ
เป็นคาถาสำหรับปลุกเสกในน้ำมัน เวลาเสกต้องท่องคาถาทั้งหมด 7 ครั้ง จากนั้นก็เอาน้ำมันนั้นมาทาหน้า จะเกิดเป็นเสน่ห์ต้องตาผู้พบเห็น
ที่เล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นคาถาพื้นๆ สำหรับนักเลงผู้หญิงมือสมัครเล่น แต่ถ้าเป็นระดับมือโปรจะนิยมใช้วิธีทำเสน่ห์กันมากกว่า ซึ่งก็มีหลายวิธีเช่นกัน เช่น เล่นสตรี
ก่อนอื่นเจ้าหนุ่มจะต้องไปหาดอกบัวสดมากำหนึ่ง เขียนชื่อของผู้หญิงที่ตนพอใจลงบนกลีบดอกบัวให้ครบทุกกลีบ แล้วเอาไปบูชาพระไว้สามวัน พอครบก็เอามาสวดคาถาว่า
"สัมพุทเธ อัตถาวี สัญจะ พุทธ มำหา กังตปาการัง ทะวาทะ สหัสะเก ธัมโม เมอำ หากัง ปาการัง ปัญจะสะตะ สหัสานิ อะหัง เตสัพเพ พุทธาชะนาจิตตัง นะมะการา นุภาเวนะ มะอะอุ หันตะ สัพเพอุปัทเว อุอะมะ"
เมื่อเสกครบสามครั้ง ก็นำดอกบัวนั้นไปวางไว้ใต้หมอน ผู้หญิงจะเกิดอาการร้อนรน กระวนกระวาย คิดถึงแต่หน้าของสุดหล่อจนอยู่ไม่ติดเรือน ต้องแล่นมายอมทอดกายถวายตัวเป็นเมียถึงบ้าน
เรียกจิตลงหมอน
เป็นวิธีสยบจิตใจผู้หญิงที่หมายปอง ให้วิ่งมาหาถึงบ้านอีกเหมือนกัน โดยเสกเป่าคาถาลงไปบนหมอนที่หนุนนอน หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน สาวเจ้าก็จะเอาตัวเองมาเดลิเวอรี่ให้เจ้าหนุ่มเชยชมถึงห้องนอนคาถาบทนี้มีอยู่ว่า
"นามฆะนัง สะมาโส ยุตตะโถ ยุตตะถะ แห่งนามมะอาจาริย์ พึงหมายให้กู เรียกชื่อว่าอี..... มาในสถานที่นี้"
จากนั้นก็ผูกจิตของหญิงสาวด้วยคาถาต่อไปนี้ "อะ มะ จิตติ จิตตัง มานัง จิตตัง มา มะ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ติวาตัพโพ เอหิ จิต อี... มานี่ มามา โอม มหาภูติทั้งสี่อันอยู่ภักดี มิได้คลาดคลา อาคัจฉาหิ ภูติ"
คว่ำหมอนลง จุดเทียนหนัก 1 บาท ปักให้ตั้งบนหมอน ว่าคาถาต่อ "อาคัจฉัยยะ อาคัตฉาหิ มานี่ มามา"
เมื่อบริกรรมคาถาครบถ้วนแล้ว เจ้าหนุ่มก็สามารถเข้านอนได้ตามปกติ แต่ต้องท่องคาถาว่า "นะ มะ พะ ทะ" ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ สาวปีนหน้าต่างเข้ามาหาเมื่อไร ค่อยตื่นมาทำการบ้าน
เดินย่ำลงไปบนพื้นดินเปียกๆ จากนั้นเก็บดินเกนียวที่มีรอยเท้าของเราประทับขึ้นมาปั้นเป็นรูปคนเขียนชื่อหญิงที่หมายปองไว้ตรงหน้าอกของหุ่นส่วนข้างหลังให้เขียนชื่อของเจ้าหนุ่มผู้ทำเสน่ห์เอาไว้เอาใส่หม้อดินใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานปิดปากหม้อด้วยใบบัวแล้วเสกคาถาต่อไปนี้ให้ครบ ๑๐๗ คาบ
"อะนัตกาเรหิ โอนังตาหิ โอกาเสติ สะปะจาหิ ภัควา ภิกขุนี เอหิ อาคัจชะหิ อะหัง ปะรินิพายิสามิ"
ท่องจนครบตามตำราเมื่อไร ท่านว่าผู้หญิงจะรีบแจ้นมาหาเอง แต่ถ้ารอแล้วรอเล่าเธอก็ไม่มา ให้ย้ายรูปปั้นจากหม้อไปใส่ในกระทะตั้งไฟให้ร้อนฉ่า ผู้หญิงจะเกิดความร้อนรุ่มในจิตใจจนทนไม่ได้ ต้องยอมสละยางอายมาอ้อนวอนขอเป็นเมียเอง
ธาตุทั้ง ๔
เขียนชื่อของผู้หญิงลงบนฝ่ามือข้างใดข้างหนึ่ง แล้วเขียนอักขระกำกับไปว่า
"นะ มะ พะ ทะ"
บริกรรมคาถา ๑๐๘ จบ จากนั้นจึงทาแป้งน้ำมันทับลงไปบนฝ่ามือ กลั้นหายใจบริกรรมคาถาเดิมอีก ๑๐ จบ แล้วเอาแป้งนั้นประหน้า หลังจากเสริมหล่อหรือเสริมสวยเสร็จแล้ว เมื่อโผล่หน้าออกไปให้สาวที่พึงใจได้เห็น เธอก็จะงวยงงหลงใหล ตกหลุมรักพ่อหน้ามนทันที
หัวใจกา
พี่ก่อนอื่นต้องจับอีกามาสามตัว ผ่าอกควักเอาหัวใจออกมาทั้งหมดสามดวง บวกกับหัวอีกาอีกสามหัว เอาเผาไฟพร้อมกับรังอีกาที่จับมาได้นั้น เมื่อทุกอย่างกลายเป็นขี้เถ้าก็เอามาปั้นให้เป็นแท่งเล็กๆ แล้วเสกคาถากำกับลงไป ๗ จบว่า
"กาสะกะระวา เอการะสะ ปะติริชา ทัมมะนะพะ เพทะตะริโย สะทาปะพยายะนะ มะโนหะเลคาวะ พะยานาวินัตตะวินัง ราหุ ชักกะหะมา ยัตนา ชัยยา สิทธิภวตุนเม"
เมื่อท่องครบ ๗ ครั้งแล้ว ก็เอาแท่งยาเสน่ห์นี้ใส่ในหมากพลู เอาไปหลอกล่อให้หญิงนั้นกินให้ได้ หลังจากได้ลองลิ้มชิมรสแล้ว นางจะติดใจในขี้มือจนทนไม่ไหว ต้องแล่นมาทอดกายยอมเป็นเมียถึงบ้าน
เท่าที่เล่ามานี้ เป็นเพียงตัวอย่าง คาถามหาเสน่ห์เพียงไม่กี่บทที่ผู้ชายไทยเคยเชื่อและใช้กันมาแต่จะใช้แล้วได้ผลหรือได้แผล ก็อยู่ที่นิสัยใจคอ หน้าตา และความดีในตัวเจ้าหนุ่มเป็นสำคัญ