เยือนหน้าประวัติศาสตร์อันไม่เคยหลับใหลของโรม
โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศ โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมาย เช่น ราชอาณาจักรโรมัน สาธารณารัฐโรมัน และจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตก และในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โรมเป็นเมืิองหลวงของประเทศอิตาลี ตั้งแต่ ค.ศ.1870
ระยะแรกสำหรับ ประวัติศาสตร์โรมันนั้นค่อนข้างมืดมน ราว 750 ปีก่อนค.ศ. มีผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานแถยภูเขาพาเลนไตน์ใกล้แม่น้ำไทเบอร์ต่อประมาณ 600 ปีก่อนค.ศ. บรรดาผู้อพยพต่างรวมตัวกันตั้งนครรัฐแห่งโรมขึ้น ทำเลของนครรัฐตั้งอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสม เหมาะสำหรับความเจริญของโรมในอนาคตทางเหนือของโรมติดต่อกับดินแดนที่เรียกว่า อีทรูเรีย คือทัสคานีปัจจุบัน อีทรูเนีย เป็นที่ิอยู่อาศัยของพวกที่มีอารยธรรมสูงเรียกว่า อีทรัสกัน ซึ่งเป็นพวกที่วางรูปวัฒนธรรมของชาวโรมันแต่เริ่มแรก
ชาวอีทรัสกันเป็นพวกที่รับ อารยธรรมกรีกมาผสมผสานกับอารยธรรมของตนและส่งต่อมห้กับโรม การปกครองของโรมในระยะแรกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่มีพื้นเพเป็นอิทรัสกันความเป็นผู้นำที่มีความสามารถและมุ่งต่อการรุกราน ทำให้ชาวโรมันเป็นชาติที่ทรงอำนาจเหนือชนชาติอื่นๆ ในละติอุมชุมชนโรมันเจริญทั้งกำลังและความมั่งคั่ง และแล้วก็ได้มีการสร้างวิหารใหญ่โตตามแบบสถาปัตยกรรมของอีทรัสกันขึ้นบนภูเขาแห่งหนึ่งสำหรับเทพเจ้าจูปีเตอร์ของชาวโรมัน
ในราว 509 ก่อนค.ศ. ขุนนางโรมันประสบความสำเร็จในการล้มกษัตยริย์อีทรัสกัน และเปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐปกครองโดยชนชั้นขุนนาง มีประมุข 2 คน แทนที่กษัตริย์เรียกว่ากงสุลสภาขุนนาง(สภาเซเนท)เลือหตั้งกงสุลเป็นประจำทุกปี กงสุลปกครองโดยมีสภาขุนนางเป็นที่ปรึกษาการปกครองนั้น แม้จะปกครองในนามชาวโรมันแต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นสูง คือ แพทริเชียนส่วนชนชั้นต้ำหรืบแพลเบียนนั้น เกือบไม่มีสิทธิทางการเมืองเลย การแต่งงานระหว่างเพลเบียนกับแพทริเชียนยังเป็นสิ่งต้องห้าทอย่างเด็ดขาดในระยะแรกๆ พวกเพลเบียนค่อยๆยกฐานะของตนเรียกว่า ทรีบูน ให้เป็นปากเสียงและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนในรัฐบาลซึ่งคุมโดยแพทริเชียนเป็นพวกที่ปกป้องผลปรโยชน์ขของประชาชน
เมื่อประมาณ 450 ก่อน ค.ศ. ได้มีการนำกฎหมายที่สืบทอดกันมาตามประเพณีมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะกฎหมายนี้ช่วยพิทักษ์บรรดาเพลเบียนให้พ้นจากอำนาจตามอำเภอใจของกงสุลที่มาจากชนขั้นเพทริเชียน กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้นับว่ามีความสำคัญมากต่อพัฒนาการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของโรมัน การพิทักษ์ทางกฎหมายทำให้เพลเบียนสามารถจัดการกับเรื่องการจัดสรรที่ดินให้พวกตนได้รับการแบ่งปันบ้างสภาของเป่าของพวกเพลเบียนได้รับอำนาจในการริเริ่มร่างกฎหมายและมีบทบาทในการปกครองโรมันช่วงนี้การแต่งงานกลายเป็นสิ่งไม่ต้องห้าม ต่อมามีกฎหมายที่รองรับให้เพลเบียนมีบทบาทในการปกครองมากขึ้น มาตรการเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโรมไปไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำเร็จบริบูรณ์ในปี 287 ก่อน ค.ศ.
การแผ่อำนาจของโรมนั้นมีทั้งการเป็นพันธมิตรและการทำสงครามกับพวกที่เป็นศัตรูอาณาจักรของโรมขยายตัวไปเรื่อยๆ แต่ชาวโรมันมักจะใจกว้างต่อบรรดาชาติอิตาลีที่ตนเข้าปกครอง โดยยอมให้มีการปกครองของตนเองมากพอสมควร จึงมักประสบความสำเร็จในการรักษาความสวามิภักดิ์ไว้ได้ ในเวลาต่อมาเมื่อพิสูจน์ว่าคนในปกครองจงรักภักดีก็จะยอมให้เป็นพลเมืองโรมัน ด้วยวิธีการนี้โรมจึงสามารถสร้างจักรวรรดิที่มีอายุยืนยาวกว่าจักรวรรดิเอเธนส์ของเพรีเคลส เมื่อประมาณ 265 ก่อน ค.ศ. โรมอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกับคาร์เธจและนครรัฐทายาทของกรีก คือเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทะเลเมดิเตอเรเนียน
อนุสรณ์สถานที่จารึกความยิ่งใหญ่ของโรมันที่ใครๆ ก็กล่าวขานก็ต้องนึกถึงสนามกีฬาโคลอสเซียม (Colosseum) ซึ่งยิ่งใหญ่อลังการอย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอฟังเบื้องหลังแล้วก็เกิดความเศร้าอย่างบอกไม่ถูกที่นี่เป็นสถานที่จัดการแข่งขันสำหรับ glad ator ให้คนสู้กับสัตว์หรือสัตว์สู้กับตัวเอง นัยว่ามีพวกเชลยศึกและนักโทษที่นำมาต่อสู้กับสัตว์ตายเป็นหมื่นๆคนและสัตว์ป่าที่จับมาจากทวีปแอฟริกาและเอเชียตายเป็นหมื่นๆตัว
หลังจากที่โรมันเสื่อมอำนาจลง โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และส้รางเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร
โคลอสเซียม สามารถบรรจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรุ้สึกเข้าใกล้นักกีฬา ใต้อัฒจันทร์ และชั้นใต้ดินโคลอสเซียม มีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโตหลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเองยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพระเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก
ทุกปีๆ จะต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน โคลอสเซียมก็กลายเป็นแหล่งหินชั้นดี ที่ผู้ปกครองเมืองในยุคต่อาจะนำไปสร้างโบสถ์ สร้างปราสาทจนค่อยๆแหว่งไปเรื่อยๆอย่างที่เห็นในรูป จนตอนหลังพระสันตปาปาองค์หนี่งมีคำสั่งห้ามนำหินจากโคลอลเซียมปก่อสร้างอีกต่อไปจึงทำให้มีสนามกีฬาอันยิ่งใหญ่มาให้เราชมกันทุกวันนี้ และเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียม ได้รับเลือกให้เป็น 1 ในเจ็คสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคให่ จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
บริเวณใกล้ๆ กับโคลอสเซียมเป็นเขตเมืองเก่ายุคโรมันเรียกว่า “โรมันฟอรัม” (Roman Forum) โรมันฟอรัม (Roman forum) บนพื้นที่ลุ่มระหว่างหุบเขา Capitoline และ Palatine ในสมัยโรมันโบราณ บริเวณโรมันฟอรัมกว้างขวางมาก มีซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างอายุไม่ต่ำกว่า 900 ปี สร้างเรียงกันอย่างน่าทึ่ง ประกาศศักดาว่าที่แห่งนี้มีความรุ่งเรืองมานาน โรมันฟอรัมเป็นศูนย์กลางทุกด้านของกรุงโรม มีทั้งโบสถ์วิหารสำหรับบูชาเทพเจ้าของโรมันมีตลาดร้านค้า อาคารที่สำคัญต่างๆมากมาย ปัจจุบันส่วนใหญ่เหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่จากพื้นที่อันกว้างขวางและฐานตัวอาคารเราก็ยังสามารถเห็นเค้าลางของความยิ่งใหญ่ของความเป็นโรมันที่สำคัญคือเราสามารถชมอดีตความรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันนี้ได้อย่างใกล้ชิด และไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแต่อย่างใดเลยล่ะ แต่ขอเตือนว่าอย่างไรก็เตรียมกำลังขาให้ดีเพราะเนื้อที่ของโรมันฟอรัมกว้างวางมากชนิดทำให้กล้ามขึ้นที่น่องขาได้เลยล่ะมีชื่อเสียงจากภาพ
น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้แห่งนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากภาพยนต์เรื่อง "Three Coins in the Fountain" ที่แห่งนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอันขาด เนื่องจากมีความสวยงาม ทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก แต่กว่าจะออกมาสวยแบบนี้ มีการสร้างขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
จนกระทั่งลงตัวที่แบบดีไซน์ของสถาปนิกชื่อ Francesco Salvi ในช่วงศตวรรษที่ 17 นี้เอง น้ำพุเทรวีนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียว ส่วนกลางของน้ำพุนั้น มีรูปปั้นเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ขี่รถม้าติดปีก แสดงถึงความมีสุขภาพที่แข็งแรง และความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร ตามธรรมเนียมแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำพุเทรวีนี้ ควรจะโยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในสระ โดยมีความเชื่อกันว่า หากโยนเหรียญลงไปแล้ว จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง
เดินไปอีกนิดหนึ่ง ก็จะถึงจัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona) เป็นศูนย์รวมของสรรพสิ่งทั้งร้านอาหาร นักดนตรี นักมายากลข้างถนน ศิลปินวาดรูปเหมือน และที่สำคัญคือนักท่องเที่ยว เดิมทีตรงนี้เป็นสนามกีฬาของพวกโรมันเอาไว้แข่งม้า ถนนที่อยู่รอบๆ คือลู่วิ่งของม้า บริเวณนี้มีน้ำพุที่สำคัญ 3 อัน ผลงานของศิลปินนักแกะสลักชื่อดัง แบร์นินี่ (Bernini) ส่วนโบสถ์ที่เห็นเป็นผลงานของคู่ปรับคนสำคัญของเขาคือบอร์โรมินี (Borromini) ตั้งประชันกันอยู่กับน้ำพุของเขา การได้มานั่งจิบกาแฟดื่มด่ำบรรยากาศเย็นของน้ำพุในซัมเมอร์ช่างเป็นอะไรน่าอภิรมย์ยิ่งนัก ยิ่งถ้าคุณได้มาเยือนที่จัตุรัสนาโวนามาแบบแพ็คคู่กับแฟนของคุณ บรรยากาศอันโรแมนติกรอบข้างของนาโวนาจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังทัวร์ฮันนีมูนกันอยู่เลยล่ะ
อีกที่หนึ่งที่คุณต้องไม่พลาดก็คือบันไดสเปน (Spanish Steps) เป็นบันไดในกรุงโรมประเทศอิตาลี ที่เชื่อมระหว่าง Piazza di Spagna และ Piazza Trinit? dei Monti เป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรปมีขั้นบันไดทั้งหมด 138 ขั้น บันไดแห่งนี้ถูกเรียกชื่อตามสถานทูตสเปนซึ่งตั้งอยู่ ณ บริเวณนั้นเอง บันไดสเปนแห่งนี้ ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี ชื่อ Francesco de Sanctis เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1723 และแล้วเสร็จในปี 1725 เป็นย่านที่พวกวัยรุ่นหนุ่มสาวมานั่งแฮงค์เอาท์กันคงคล้ายๆ เซ็นเตอร์พอยต์บ้านเรารอบๆ นี้เต็มไปด้วยห้างหรูๆ ขายสินค้าเครื่องประดับมียี่ห้อดังๆ ราคาแพงทั้งหลายแหล่ ถ้าคุณเป็นนักช้อปที่ชอบสินค้าแบรนด์เนมล่ะก็ มาโรมทั้งทีก็เตรียมทรัพย์มาละลายเยอะๆ ล่ะ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขแห่งการช้อปปิ้งเป็นอย่างไร
ที่มา นิตยสาร LIVE