นิทานไทยเรื่อง นางกากี
กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองพาราณสี อันมีพระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์เฒ่าเป็นผู้ปกครอง พระองค์มีพระมเหสีสิริโสภานามว่า กากี นางคือยอดหญิงที่มีความงามเลื่องลือไปทั้งสามโลก นอกจากรูปร่างหน้าตาจะสดสวยเกินกว่าหญิงใดในหล้า กลิ่นกายของนางยังหอมกรุ่นยิ่งกว่ามวลบุปผามาลี หากชายใดได้เชยชมต้องลุ่มหลงด้วยสเสน่หา จนเจ็ดทิวาพ้นผ่านกลิ่นกายนางนั้นจึงค่อยจางหาย
ท้าวพรหมทัตทรงโปรดปรานการเล่นสกา*เป็นชีวิตจิตใจ เช่นเดียวกับพญาครุฑ** ผู้มีนิวาสถานอยู่ในวิมานฉิมพลีบนยอดงิ้วเชิงป่าหิมพานต์ ทุกๆ ๗ วันพญาครุฑจะต้องบินออกจากวิมานมาเล่นสกากับพระเจ้าพรหมทัตเป็นกิจประจำ โดยแปลงร่างเป็นมานพหนุ่มรูปงาม ซึ่งกษัตริย์เฒ่าแห่งพาราณสีเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคู่เล่นสกาของพระองค์เป็นใครมาจากไหน
* สกาคือการเล่นพนันชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในหมู่กษัตริย์อินเดียโบราณ โดยทอดลูกบาศก์ แล้วเดินตัวสกาบนกระดานตามแต้มที่ทอดได้ *
** ครุฑคือพญานกพาหนะของพระนารายณ์ มีศรีษะ จะงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี ร่างกายและแขนเหมือนมนุษย์ ขาเหมือนนก มีหาง หน้าขาว ปีกแดง ลำตัวเป็นสีทอง ถือเป็นวิหคกึ่งเทพ **
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตเล่นสกากับมานพหนุ่มอย่างเพลิดเพลินจนเลยเวลาที่เคยเข้าไปหาพระมเหสีในตำหนัก นางกากีสอบถามจากนางกำนัลได้ความว่าพระองค์มัวทรงสกาอยู่กัยมานพหนุ่มรูปงามสะโอดสะอง ฟังคำบรรยายสรรพคุณของอาคันตุกะหนุ่มแล้วนางกากีใคร่นึกอยากจะชมโฉมว่าสมจริงอย่างคำบอกเล่าหรือเปล่า จึงไปแอบยืนที่ประตูสอดส่องสายตามองหา เป็นเวลาเดียวกับที่มานพหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกระดานสกา พลันสายตาของทั้งสองก็สบกันเข้าโดยบังเอิญ ต่างเกิดอาการประหนึ่งถูกศรรักปักอกให้รู้สึกหวั่นไหววาบหวิว
แต่
นางกากีนั้นสำนึกตัวเองว่าเป็นข้าบาทแห่งพระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์เฒ่า จึงรีบตัดใจกลับเข้าไปในตำหนักตามเดิม ฝ่ายพญาครุฒหนุ่มกลับไม่เป็นอันมีสมาธิเล่นสกาเหมือนตอนแรก เฝ้าครุ่นคิดคำนึงแต่นางผู้เพิ่งได้พบพักตร์เป็นครั้งแรก คิดใคร่อยากจะด้มาเชยชม ทำให้นั่งเหม่อลอยจนพระเจ้าพรหมทัตเอ่ยทักว่าทำไมวันนี้ดูท่าทางผิดแปลกไป
พญาครุฑรีบกลบเกลื่อนว่ารู้สึกไม่ค่อยปกติ ขอลากลับไปพักผ่อนให้สบายใจแล้วอีก ๗ วันจะมาใหม่ ท้าวพรหมทัตเห็นว่าเลยเวลามามากแล้วจึงตรัสอนุญาต มานพหนุ่มออกจากพระราชวังก็รีบหาที่ลับตาคืนร่างเป็นพญาครุฑดังเดิม แล้วสสำแดงเดชกางปีกบังแสงอาทิตย์ ใช้ฤทธิ์บันดาลให้เกิดพายุปั่นป่วนไปทั่วเมืองพาราณสี ครั้นเห็นผู้คนต่างสับสนอลหม่านด้วยไม่รู้ว่าเกิดปรากฏการณ์อาเพศอันใด พญาครุฑก็รีบบินเข้าไปตะครุบนางที่หมายตาพาโผบินสู่วิมานฉิมพลี
กากีตกใจจนสิ้นสติ มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ในอ้อมกอดของมานพหนุ่มที่เพิ่วเคยเห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียว ยามนี้นางเหมือนลูกไก่ที่อยู่ในกำมือผู้อื่น หมดหนทางที่จะขัดขืนต่อรอง ต้องตกเป็นชายาของพญาครุฑด้วยสถานการณ์บีบบังคับ ทางเมืองพาราณสี หลังจากเหตุการณ์วิปริตผิดอาเพศผ่านพ้นไปแล้ว พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงทราบว่าพระมเหสีกากีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สั่งให้มหาดเล็กเที่ยวค้นหาจนทั่ววังก็ไม่เห็นแม้แต่เงา พรหมทัตกษัตริย์เฒ่าเกิดเศร้าโศกเสียใจจนหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมาหลังจากหมอหลวงช่วยกันแก้ไข พระองค์จึงปรึกษากับคนธรรพ์นาฏกุเวร ว่าควรทำประการใดจึงจะได้นางอันเป็นยอดดวงใจกลับคืนมา
คนธรรพ์นั้นเป็นผู้ที่สังเกตเห็นมานพหนุ่มสบตากับนางกากี สงสัยว่าน่าจะเป็นพญาครุฑปลอมแปลงมาจึงรับอาสาจะพาพระมเหสีกลับคืนมาถวายพระเจ้าพรหมทัต ฝ่ายพญาครุฑเมื่อได้ชมโฉมนางกากีผู้มีกลิ่นกายหอมกรุ่นราวมวลบุปผาก็เกิดลุ่มหลงเสน่หาจนไม่อยากจากไปไหน แต่จนใจด้วยครบกำหนด ๗ วันตามที่นัดหมายไว้กับพระเจ้าพรหมทัต หากหายหน้าไปในขณะที่เมืองพาราณสีกำลังมีเรื่องอื้อฉาว ตนอาจจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย คิดดังนั้นแล้วพญาครุฑก็รีบร่ายมนต์ผูกบานประตูไว้มิให้ใครเข้าไปกร้ำกรายนางกากีได้ แล้วตัดใจกางปีกโผบินออกจากวิมานฉิมพลี พอถึงเมืองพาราณสีก็แปลงร่างเป็นมานพหนุ่มเข้าไปเล่นสกากับพระเจ้าพรหมทัตตามปกติ
แต่ดูเหมือนเกมสกาครั้งนี้จะไม่ออกรสชาตเลยก็ว่าได้ เนื่องจากพระเจ้าพรหมทัตไม่มีกระจิตกระใจที่จะเล่น ฝ่ายครุฑหนุ่มนั้นก็เหมือนวัวสันหลังหวะ หวาดระแวงว่าอาจเผลอทำพิรุธให้เขาจับได้ ส่วนคนธรรพ์นั้นเล่ายิ่งไม่เป็นอันบรรเลงดนตรีขับร้อง เอาแต่คอยสังเกตสีหน้าท่าทางของมานพหนุ่มผู้ต้องสงสัย
เกมสกาอันจืดชืดจบลงในเวลารวดเร็วกว่าทุกครั้ง มานพหนุ่มรีบตรงไปยังที่ลับตาคน คืนร่างเป็นพญาครุฑบินกลับวิมานฉิมพลีด้วยใจคิดถึงแต่นางกากี จึงไม่รู้ว่าบัดนี้คนธรรพ์นาฏกุเวรได้แปลงร่างเป็นตัวไรแอบเข้าไปซ่อนในขนปีกของตน ครั้นถึงวิมานฉิมพลีพญาครุฑบินกลับวิมานฉิมพลีพญาครุฑรีบเข้าไปเล้าโลมนางกากี คนธรรพ์ซึ่งแปลงเป็นตัวไรก็รีบหาที่หลบซ่อนรออยู่จนพญาครุฑออกไปหาอาหารนอกวิมาน จึงออกจากที่ซ่อนคืนร่างเดิมแล้วบอกกับกากีว่าท้าวพรหมทัตให้มาพานางกลับ แต่ต้องรอเวลาและหาหนทางเพราะวิมานฉิมพลีอยู่ไกลถึงป่าหิมพนต์ นอกจากพญาครุฑแล้วผู้อื่นก็ยากที่จะออกไปพ้นเขตได้
นางกากีใจหนึ่งรู้สึกยินดีที่จะได้กลับคืนสู่บ้านเมือง อีกใจหนึ่งเกิดความละอายว่าบัดนี้ตนได้จกเป็นชายาของพญาครุฑแล้วก็เปรียบเสมือนมีราคีคาว ไม่รู้ว่าท้าวพรหมทัตยังรักใคร่ยินดีอยู่หรือไม่ คนธรรพ์เห็นนางมีอาการลังเลดังนั้นก็รู้สึกวิตก เพราะหากกากีไม่คิดกลับไปเมืองพาราณสีแล้วนำเรื่องที่ตนเล็ดลอดเข้ามาบอกกับพญาครุฑ ชีพคงต้องมอดม้วยในคราวนี้ อย่ากระนั้นเลยเห็นทีจะต้องเล้าโลมด้วยกลมายาให้นางลุ่มหลง จึงเข้าโอ้โลมเกี้ยวพาราสีว่าที่ติดตามมาครั้งนี้หาใช่แคาพระบัญชาของพระเจ้าพรหมทัต แต่เพราะความรักหลงไหลเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากนางยินยอมร่วมภิรมย์เสน่หาจะไม่นำเรื่องที่นางถูกพญาครุฑเชยชมไปทูลพระทรงธรรม
นางกากีได้ฟังกลับยิ่งทุกข์หนัก ถูกครุฑลักพามาอย่างอาจหาญก็แสนที่จะเจ็บช้ำ ยังถูกชายอีกคนข่มขู่ขอค่าปิดปาก คนธรรพ์เห็นนางนิ่งอยู่เพราะคิดไม่ตกเลยหมายใจว่าสมยอม ทั้งเกรงว่าขืนรอช้าพญาครุฑกลับมาจะยุ่งกันไปใหญ่ จึงรีบเชยชมนางแล้วหาที่ซ่อนตัว ครั้นครบกำหนด ๗ วัน พญาครุฑถึงกำหนดต้องไปเล่นสกาที่เมืองพาราณสี คนธรรพ์จึงแปลงเป็นตัวไรเกาะขนปีกอาศัยกลับมาด้วยอย่างปลอดภัย
พอมาถึงเมืองพาราณสี คนธรรพ์เกิดกลัวความผิดที่คิดมิชอบ รีบเข้าไปกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแก่พระเจ้าพรหมทัต และไม่ลืมที่จะหาข้ออ้างเอาตัวรอดว่าที่ต้องร่วมอภิรมย์เสน่หากับนางกากีก็เพราะไม่มีทางเลือก มิเช่นนั้นอาจจะไม่มีโอกาสรอดกลับมารายงานผบการสืบสวน ท้าวพรหมทัตพอได้ฟังก็ทรงพิโรธโกรธกริ้วกระทืบบาท คั่งแค้นขึ้งโกรธนางกากีทั้งที่นางไม่ได้เป็นต้นเหตุแห่งเรื่องราวคาวโลกีย์ทั้งปวง แต่เพราะความหึงหวงดั่งดวงใจ จากรักกลายเป็นแค้น เห็นมีแต่คนธรรพ์เท่านั้นที่พอจะช่วยให้ได้นางกลับคืนมา พรหมทัตกษัตริย์เฒ่าจึงจำต้องฝืนพระทัยตรัสอภัยโทษแล้วปั้นพระพักตร์มิให้ดูหมองเศร้าออกไปเล่นสกากับมานพหนุ่ม
คนธรรพ์คิดแผนได้ประการหนึ่ง จึงบรรเลงเพลงพิณพร้อมขับกลอนถวายท้าวไทโดยมีเนื้อหากินใจพญาครุฑที่แปลงกายมาเป็นมานพหนุ่มยิ่งนัก
โอ้พระพายชายกลิ่นมารัญจวน หอมหวนนาสาเหมือนกากี
รื่นรื่นชื่นจิตพี่จำได้ เหมือนเมื่อไปร่วมภิรมย์ประสมศรี
ในสถานพิมานสิมพลี (ฉิมพลี) กลิ่นยังซาบทรวงพี่ทั้งวรกาย
นิจจาเอ๋ยจากเชยมาเจ็ดวัน กลิ่นสุคันธรสชื่นก็เหือดหาย
ฤาว่าใครแนบน้องประคองกาย กลิ่นสายสวาทซาบอุรามา
ฟังคำกลอนปล้วพญาครุฑก็ให้สะท้อนจิต อดใจไว้ไม่ไหวต้องถามกลับไปด้วยความคลางแคลงว่า...
อนึ่งนายก็เป็นชายแต่เดินดิน ไฉนรู้เสร็จสิ้นในฉิมพลี
เราแจ้งทางทะเรศเขตอรัญ สัตภัณฑ์คั่นสมุทรใสสี
แม้นจะขว้างแววหางมยุรี ก็จมลงถึงที่แผ่นดินดาน
ด้วยน้ำนั้นสุขุมละเอียดอ่อน จึงขื่อสีทันดรอันไพศาล
ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล คชสารเงือกน้ำแลนาคินทร์
ผู้ใดข้ามนทีสีทันดร ก็ม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น
แสนมหาพระยาครุฑยังเต็มบิน จึงล่วงสินธุถึงพิมานทอง
คนธรรพ์นาฏกุเวร จึงตอบแบบเยาะเย้ยอยู่ในทีไปว่า...
อันเวทมนตร์ฤทธิไกรไม่เชี่ยวชาญ แต่จิตหาญแทรกขนสุบรรณจร
พระยาครุฑครองชู้เป็นชายเฉา มาพาเราผู้ชู้ไปสู่สมร
ราตรีปักษีเข้าแนบนอน ทิวากรเราแนบประจำนาง
โดนย้อนเย้ยเป็นความนัย พญาครุฑดังประหนึ่งต้องศาสตราเข้าทั่วร่าง สั่นสะท้านสุดที่จะควบคุมอารมณ์ รีบลาท้าวพรหมทัตแล้วคืนร่างเป็นเทพวิหคบินกลับเข้าสู่วิมานฉิมพลีโดยเร็วรี่ พอมาถึงก็ตรงเข้าต่อว่านางกากีอย่างสาดเสียเทเสีย โดยลืมนึกไปว่าตัวเองนั้นก็เพิ่งไปขโมยลูกเมียของคนอื่นเขามาเชยชม
คิดว่าหงส์จะจงแต่ชลธาร กลับบันดาลกลั้วเกลือกด้วยเปือกตม
ตัวนางเป็นไทแต่ใจทาส ไม่รักชาติรสหวานมาพานขม
ดังสุกรฟอนฝ่าแต่อาจม ห่อนนิยมรักรสสุคนธาร
น้ำใจนางเปรียบอย่างชลาลัย ไม่เลือกไหลห้วยหนองคลองละหาน
เสียดายทรงวิไลแต่ใจพาล ประมาณเหมือนหนึ่งผลอุทุมพร
สุกแดงดั่งแสงปัทมราช ข้างในล้วนกิมิชาติ (หนอน) เบียนบ่อน
พญาครุฑแม้จะรักอาลัยในรสเสน่หาแต่ก็ไม่อาจทำใจได้ กัดฟันอุ้มนางกากีกลับมาคืนให้พระเจ้าพรหมทัตยังเมืองพาราณสี รุ่งเช้ากษัตริย์เฒ่าเห็นมเหสีจากทางหน้าต่างจึงตรัสประชดเสียดสี แล้วสั่งทหารนำนางไปลอยแพให้เทวดาฟ้าดินเป็นผู้ลงโทษ จะอยู่หรือตายก็สุดแท้แต่กรรมเวร
ดังประหนึ่งเคราะห์กรรมของนางกากีก็ยังไม่สิ้นจากเกมกามโลกีย์ ด้วยมีเรือสำเภาลำหนึ่งผ่านมาพบเข้า นายสำเภานึกพอใจในรูปโฉมก็รับนางไว้เป็นคู่ชม ยามนี้นางกากีคงไม่มีทางเลือกเพราะยังไงก็ดีกว่าลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล จนเมื่อเรือแล่นผ่านศาลเทพารักษ์ที่เชิงผาแห่งหนึ่ง นายสำเภาได้ชวนนางขึ้นไปบวงสรวงตามธรรมเนียมของชาวเรือ เผอิญโชคร้ายพบกับพวกโจรป่า นางกากีจึงถูกชิงตัวไป และก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาไม่มีหนทางใดที่จะเอาชีวิตรอดปลอดภัยได้ดีไปกว่ายอมให้เขาเชยชม
ฝ่ายเหล่าสมุนโจรทั้งหลายอยู่กลางป่าเขาให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยว ครั้นได้ยอดหญิงโสภามา ผู้เป็นนายกลับเอาไปเคลียคลอเสียคนเดียว ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงจนถึงขั้นเข่นฆ่าล้างผลาญกันล้มตายเป็นเบือ นางกากีฉวยโอกาสนี้วิ่งหนีเข้าป่า จนหลงทางอยู่คนเดียวไม่รู้จะทำประการใด จึงเดินร้องไห้โศกเศร้าไปตามยถากรรม
ในครั้งนั้น ท้าวทศวงศ์ กษัตริย์ม่ายแห่งอภัยสาลีนคร เสด็จประพาสป่ามาพบนางกากี เกิดพึงพอใจในความงามเหมือนชายอื่นๆ ที่ได้พบนาง จึงตรัสสอบถามถึงประวัติความเป็นมา นางกากีนึกในใจว่าขืนเล่าไปตามความจริงนอกจากจะโดนดูถูกและเป็นที่รังเกียจของทุกคนแล้ว อาจจะถึงขั้นถูกปล่อยทิ้งไว้ในป่าให้เผชิญสัตว์ร้ายตามลำพัง จำต้องแต่งเรื่องทูลไปว่านางนั้นเกิดในดอกบัว พระฤาษีเก็บมาเลี้ยงไว้โดยตั้งชื่อให้ว่า นางเทพอัปสร และพระฤาษีนั้นก็เพิ่งจะละสังขารจากไป นางหมดที่พึ่งไม่รู้จะไปแห่งหนตำบลไหน
ท้าวทศวงศ์ได้ฟังดังนั้นก็บังเกิดความยินดี รับนางเป็นชายาพากลับพระนครแล้วจัดพิธีอภิเษกให้เป็นพระมเหสีอยู่เคียงคู่ด้วยความรักเสน่หา ชีวิตของนางกากีผู้มีรูปงามแต่อาภัพยังไม่หมดเคราะห์โศกลงโดยง่าย ด้วยท้าวพรหมทัตหลังจากสั่งให้นางกากีอดีตมเหสีลอยแพไปแล้วก็เกิดอาลัยอาวรณ์ถึงกับไม่เป็นอันเสวยและบรรทม ในที่สุดก็ตรอมพระทัยจนสวรรคต
หลังจากจัดพิธีถวายพระเพลิงท้าวพรหมทัตแล้ว บรรดาขุนนางทั้งหลายได้พร้อมใจกันมอบราชสมบัติให้แก่คนธรรพ์นาฏกุเวรครองเมืองพาราณสี อยู่มาไม่นานท้าวพรหมทัตองค์ใหม่ได้ข่าวว่านางกากียังไม่ตายแต่ไปเป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์แห่งอภัยสาลีนคร ทำให้หวนคิดถึงความหลังและรสเสน่หาทั้งกลิ่นกายของนางนั้นยิ่งชวนให้ลุ่มหลงพะวงใฝ่หาไม่รู้เสื่อมคลาย จึงให้ราชทูตถือพระสาสน์มาทวงนางกากีคืน
ท้าวทศวงศ์ถูกหมิ่นเชิงชายไหนเลยจะยอมโดยง่าย จัดเตรียมทัพเสร็จก็สั่งให้ยกออกไปรบกับกองทัพของเมืองพาราณสีที่มารุกราน แต่ท้าวทศวงศ์โชคร้ายเสียทีพ่ายแก่พระเจ้าพรหมทัตองค์ใหม่ต้องสูญสิ้นพระชนม์ชีพกลางสนามรบสมเกียรติของชายชาตรี ส่วนนางกากีนั้นจะไปไหนได้พ้น นอกจากต้องกลับไปเป็นมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต หรือ คนธรรพ์นาฏกุเวร อดีตชู้รักคนหนึ่งซึ่งเคยใช้อุบายแบะวาจาข่มขู่เพื่อเชยชมนางกลางวิมานฉิมพลีของพญาครุฑในครั้งก่อนนั้น