google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

กัญชาปลอดภัยจริงหรือ

ทั่วโลก กัญชาผิดกฎหมายน้อยลง กระทั่งทำให้ถูกกฎหมาย แต่มันเป็นความคิดที่ดีแล้วจริงหรือ? การถกเถียงในโลกออนไลน์ ส่วนมากด้านแย่ๆ มักจะถูกกล่าวถึง มาดู 3 เหตุผลใหญ่ๆ ที่ต่อต้านการทำกัญชาให้ถูกกฎหมายกัน

ข้อโต้แย้งที่ 1
ในช่วงไม่กี่สิบปีก่อน กัญชาได้ถูกปรับปรุงให้มีฤทธิ์แรงมากขึ้น กัญชาในปัจจุบันจึงออกฤทธิ์ได้แรงมาก แรงขนาดทำให้ก่อภาวะทางจิตได้เลย ส่วนประกอบหลักของกัญชาคือ สาร THC และก็มีหลักฐานหนักแน่นว่า สารนี้ก่อให้เกิดโรคทางจิตได้ แม้จะไม่นับอาการเสี่ยงอื่นๆ กัญชายังมีสารประกอบอีกตัวที่เรียกว่า CBD ซึ่งดูเหมือนจะมีผลต้านกันกับ THC กระทั่งมีการทดสอบโดยการรักษา โรคจิต และผู้มีอาการซึมเศร้า แต่เพราะสารตัวนี้แหละ ที่ไม่ทำให้คุณเมายา ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจึงลดปริมาณ CBD ลง ในขณะที่เพิ่มปริมาณ THC ปริมาณ THC ในตัวอย่างที่ถูกทดสอบ ถูกเพิ่มขึ้นจากราว 4% ในช่วงปี 90 เป็นราว 12% ในปี 2014 เปลื่ยนอัตราส่วน THC ต่อ CBD จาก 1 ต่อ 14 ในปี 1995 ไปเป็น 1 ต่อ 80 ในปี 2014 แต่ก็ไม่รู้ว่าผลการทดสอบเหล่านั้นแม่นยำขนาดไหน

โดยรวมกล่าวได้ว่า ยิ่งคุณเสพกัญชามากเท่าไร มันก็ยิ่งเมายาแรงมากขึ้นไปอีก และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะมีอาการทางจิต แต่ ความเสี่ยงที่จะมีอาการทางจิตของประชากรทั่วไปมันมากแค่ไหนล่ะ? ในประเทศอังกฤษมีการศึกษาว่า ที่ระหว่างปี 1996 จนถึง 2005 ที่ การเสพกัญชามีมากขึ้น ในขณะที่จำนวนของผู้ป่วยจิตเภท ยังมีจำนวนเท่าๆเดิม ความเสี่ยงของกัญชาที่จะก่อภาวะทางจิตมีผลสูงสุดต่อคนที่มีภาวะทางจิตอยู่แล้ว สำหรับผู้ป่วยแล้ว จากที่เรารู้ กัญชาดูเหมือนจะเร่งอาการต่างๆ ให้เร็วขึ้น มากกว่าที่จะก่อให้เกิดโรค ฉะนั้นเหตุผลตกไปที่ ถ้าผู้คนเข้าถึงกัญชาได้น้อย โอกาสที่กัญชาจะก่อให้เกิดอาการทางจิตก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย

แต่จริงๆแล้ว สามารถโต้แย้งได้ว่า จริงๆแล้ว เพราะกัญชาผิดกฎหมาย คนยิ่งป่วยเป็นจิตเภทมากขึ้น การที่มันผิดกฎหมายนี่แหละที่ทำให้ยาเสพติดต่างๆ เข้มขึ้น รุนแรงขึ้น เพราะว่าผู้ค้ามีพื้นที่ขายน้อย แต่จำนวนของสินค้ามีมาก จีงเน้นขายทีละเยอะๆ เพื่อทำกำไร นี่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว  ระหว่างการจำกัดแอลกอฮอล์ในสหรัฐ โดยมีแค่เหล้าเท่านั้นที่ขายได้ กัญชาก็เหมือนกัน ลองนึกดูว่า มีแต่เหล้าเท่านั้นที่สามารถหาซื้อได้ ดังนั้นคุณมีทางเลือกแค่ จะเมาหัวทิ่มหรือจะไม่ดื่มเลย นี่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับกัญชาในปัจจุบัน ประชาชนก็ไม่ได้หยุดดื่มกันแม้จะมีการจำกัด และจำนวนของผู้เสพกัญชาก็ไม่ได้ลดลงตามที่กฎหมายห้าม คือเราไม่สามารถทำให้กัญชาหมดไปได้ แต่เราสามารถทำให้มันปลอดภัยขึ้นได้ ถ้ากัญชาถูกกฎหมาย มันก็จะเป็นตัวเลือกให้ผู้ซื้อและหน่วยงานรัฐสามารถกำกับปริมาณสาร CBD ให้เยอะได้ คล้ายกับที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยดื่มเหล้าทั้งกลมหลังเลิกงานกัน ดังนั้นคนจะสามารถเสพกัญชาที่ไม่แรงมากได้ เหมือนกับดื่มเบียร์หลังเลิกงาน



ข้อโต้แย้งที่สอง : กัญชาเป็นทางผ่านไปสู่สารเสพติดอื่นๆ
"ถ้ากัญชาถูกกฎหมาย ปริมาณการให้สารเสพติดที่อันตรายอื่นๆ จะสูงขึ้นฉับพลัน" ในปี 2015 มีศึกษาพบว่า 45% ของคนที่เสพกัญชา จะหันไปเสพสารอื่นในจุดใดจุดหนึ่ง การทำกัญชาให้ถูกกฎหมายอาจจะทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งวัยรุ่นสามารถเสพกัญชาได้ถูกกฎหมาย พวกเขาอาจจะหันไปเสพอย่างอื่นที่รุนแรงกว่าเดิม แต่จริงๆ แล้วทางผ่านสำหรับยาเสพติดต่างๆ มีมาก่อนแล้ว นั่นคือบุหรี่ มีงานวิชาการชิ้นหนึ่งกล่าวว่า วัยรุ่นคนที่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่ก่อนอายุ 15 กว่า 80% เลยที่จะไปใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายภายหลัง และในปี 2007 พบว่า วัยรุ่นที่สูบบุหรี่ในช่วงอายุ 12 จนถึง 17 มีแนวโน้ม 3 เท่าที่จะกลายเป็นนักดื่มตัวยง อีก 7 เท่าที่จะกลายเป็นผู้เสพสารอย่างเฮโรอีน หรือ โคเคน และมีแนวโน้มอีก 7 เท่าที่จะหันไปเสพกัญชาเช่นกัน

ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ การทำให้สารเสพติดถูกกฎหมายมากขึ้น จะหยุดให้คนเสพสารที่รุนแรงได้อย่างไร? อย่างแรก ต้องรู้ก่อนว่า คนที่เสพ ไม่ได้เสพเพราะว่ามันถูกหรือผิดกฎหมาย ถ้าเกิดอยากจะซื้อยาเสพติดต่างๆ ก็จะมีคนที่ยินดีขายอยู่ดี คำถามจริงๆคือ ทำไมคนจึงอยากเสพยากันนัก? จากการศึกษาพบว่ามีเงื่อนไขตายตัวเลย ที่จะทำให้คนเสพติดยาเสพติด วัยเด็กแย่ๆ การโดนทำร้ายร่างกาย ฐานะยากจน ภาวะซึมเศร้า หรือ แม้แต่พันธุกรรม โดยพวกเขาจะติดสารอะไร ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส คนที่ติดยาใช้สารเพื่อหนีปัญหาต่างๆ แต่ตัวยาไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย และก่อปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วย แต่การทอดทิ้งคนเหล่านี้ ก็ไม่ได้เปลื่ยนอะไรเหมือนกัน ดังนั้นบางคนจึงแย้งว่าบางทีเราควรใช้วิธีที่ต่างจากเดิม

ในปี 2001 โปรตุเกส คือประเทศที่มีปัญหายาเสพติดเลวร้ายที่สุดในยุโรป ดังนั้นการใช้ความรุนแรงดูเหมือนจะไม่มีหวังเท่าไร ผู้ครอบครองยาหรือผู้เสพยาผิดกฎหมายต่างๆ ถูกลดทอนโทษลง พวกเขาไม่ถูกจับอีกต่อไป กลับกัน รัฐบาลจัดตั้งแคมเปญบำบัดขึ้นมาแทน คนที่เสพในปริมาณน้อย ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานบำบัด การในลดและเลิกยา การเสพยาถูกมองใหม่ เป็นแค่โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ไม่ใช่อาชญากรรม ผลออกมาผิดคาด จำนวนคนลองเสพและยังเสพยาต่อเนื่องลดลง จาก 44% มาที่ 28% ในปี 2012 ยาเสพติดแรงๆ ถูกใช้ลดลง เช่นเดียวกับจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV, ตับอักเสบ  และคนที่ใช้ยาเกินขนาด การทำให้ยาเสพติดถูกกฎหมายอาจจะช่วยสังคม มากกว่าทำลาย ในภาพรวม



ข้อโต้แย้งที่ 3 "กัญชาเสพติดได้ง่ายและเป็นอันตราย"
ดังนั้นมันยังคงต้องผิดกฎหมายต่อไป เพื่อจำกัดความเสียหายต่อสังคมให้น้อยสุด ในขณะที่ การเสพติดกัญชามีผลในเรื่องจิตใจมากกว่าร่างกาย นี่แหละที่เป็นปัญหาจริงๆ ผู้ที่เสพติดกัญชาและต้องการบำบัด มีจำนวนเป็นสองเท่า เพียงในช่วงสิบปีที่ผ่านมา รวมแล้ว ประมาณ 10% ของคนที่ลองเสพกัญชา จะกลายเป็นคนที่เสพติด จำนวนนี้เกี่ยวข้องกับปริมาณที่สูงของ THC งานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาในปี 2017 สำรวจฤทธิ์เข้มข้นของกัญชา ที่ขายในร้านกาแฟประเทศเนเธอร์แลนด์  (ในเนเธอร์แลนด์กัญชาสามารถขายได้ในร้านกาแฟบางแห่ง) เป็นระยะเวลามากกว่า 16 ปี ในทุกๆ 1% ของปริมาณสาร THC ที่เพิ่มขึ้น มีเพิ่มขึ้นอีก 60 คนที่เข้ารับการบำบัดจากทั่วประเทศ ในเรื่องของผลเสียต่อสุขภาพ

งานวิชัยบางชิ้นขี้ว่า กัญชามีผลในเรื่องความดันและโรคปอด ในขณะที่ปี 2016 ศึกษาพบว่า การใช้กัญชาไม่ได้มีผลอะไรกับสุขภาพ ยกเว้นแค่โรคเหงือก งานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่า กัญชามีผลต่อสมองของวัยรุ่น ซึ่งมีผลลดสติปัญญาของพวกเขา แต่เมื่อศึกษาเพิ่มเติมอีก พบว่า มันมีผลเล็กน้อย เมื่อคิดรวมการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เข้าไปด้วย ผลมันยังสรุปไม่ได้นั่นเอง โดยรวม การวิจัยค้นพบว่า การเสพยาเสพติดมีผลเสีย ในช่วงที่สมองกำลังพัฒนา แต่ความจริงคือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กัญชา มีผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน เราต้องการทุนสำหรับการวิจัยเรื่องนี้อีก ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก ถ้ากัญชายังผิดกฎหมายอยู่ แต่เราสามารถมองสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วได้ 16% ของคนที่ดื่มแอลกอฮอล์กลายเป็นคนติดแอลกอฮอล์ และ 32% ของคนที่ลองสูบบุหรี่กลายเป็นคนติดบุหรี่ เรารู้แหละว่า แอลกอฮอล์มีผลต่อสมอง ทำลายตับและก่อมะเร็ง ในขณะที่บุหรี่ ทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทำลายปอดและก่อมะเร็ง

ทุกปี มีผู้เสียชีวิต 3.3 ล้านรายจากแอลกอฮอล์ ในขณะที่ บุหรี่ฆ่าคนไปมากกว่า 6 ล้านรายต่อปี ไม่มีใครบอกว่า บุหรี่ และ เหล้า ปลอดภัยเพราะมันถูกกฎหมาย แต่ก็ด้วยที่ ไม่มีใครต่อต้านมัน ถึงมันจะอันตรายมากๆ การทำให้ถูกกฎหมายเป็นวิธีที่จะควบคุมพวกมัน โดยเฉพาะเด็กที่เราต้องป้องกันจากสิ่งเหล่านี้ มันยากกว่ามากที่เด็กจะซื้อยาเสพติดถูกกฎหมาย คนขายจะถูกปรับหนัก และสูญเสียใบอนุญาตถ้าเกิดพวกเขาขายให้เด็กที่อายุไม่ถึง การทำให้ถูกกฎหมายจะทำให้ผู้ขาย ไม่สามารถเอาเปรียบผู้ซื้อได้ แล้วก็การทำให้กัญชาถูกกฎหมายไม่ได้หมายความว่า เรารับรองมัน มันหมายความว่าเรากำลังรับผิดชอบ ความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่างหาก แล้วก็มันจะเป็นการเปิดประตู ให้กับงานวิจัยใหม่ๆ อีกมากมาย ที่จะบอกเราว่าจริงๆ แล้วมันอันตรายจริงหรือ และมันอันตรายต่อใคร

สรุปคือ กัญชาคือยาเสพติด เหมือนกับยาเสพติดอื่นๆ ที่มีผลเสียเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่เสพมัน มันไม่ได้ไร้โทษ วิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องสังคมจากผลเสียของมัน ดูเหมือนจะเป็นการทำให้มันถูกกฎหมายและควบคุมมัน

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

ระบบสุริยะจักรวาล บ้านอันกว้างใหญ่ของเรา

ที่นี่คือระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งก็คือบ้านของเราในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เราอาศัยอยู่ในส่วนที่แสนสงบสุขส่วนใดส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก บ้านของเราคือระบบสุริยะนั่นเอง การก่อตัวราว 4.5 พันล้านปีที่แล้ว หมุนรอบศูนย์กลางกาแล็คซี่ที่ 200,000 กิโลเมตร / ชั่วโมงและหมุนครบรอบทุกๆ 250 ล้านปี ดาวของเราดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ มีดาวเคราะห์แปดดวงโคจรรอบ อุกาบาตและดาวหางอีกล้านล้านดวง และมีดาวเคราะห์แคระอีกนิดหน่อย

ดาวเคราะห์แปดดวง แบ่งออกเป็นสี่ดวง ที่เหมือนโลกของเรา ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร  และดาวก๊าซยักษ์สี่ดวง: ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวพุธเป็นที่เล็กที่สุดและที่เบาที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด หนึ่งปีที่ดาวพุธสั้นกว่าวันหนึ่งที่ดาวพุธ ซึ่งนำไปสู่อุณหภูมิที่มีความผันผวนอย่างมาก ดาวพุธไม่มีชั้นบรรยากาศหรือดวงจันทร์ ดาวศุกร์เป็นหนึ่งในวัตถุที่สว่างที่สุดในระบบสุริยะ เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุด มีความดันในชั้นบรรยากาศที่ 92 เท่าของบนโลก มีภาวะเรือนกระจกที่สุดโต่ง นั่นหมายความว่าดาวศุกร์ ไม่เคยมีอุณหภูมิต่ำกว่า 437 °C เลย ดาวศุกร์ก็ไม่ได้มีดวงจันทร์เช่นกัน



โลกเป็นบ้านของเราและเป็นดาวเดียวที่มีอุณหภูมิที่อยู่ในระดับพอเหมาะ ทำให้เกิดน้ำที่มีสถานะเป็นของเหลว นอกจากนี้ก็ยังเป็นสถานที่เดียวในขณะนี้ ที่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ โลกมีดวงจันทร์หนึ่งดวง

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กเป็นอันดับสอง ในระบบสุริยะ และแทบจะมีมวลไม่มากพอจึงทำให้ เกิดชั้นบรรยากาศที่เบาบาง โอลิมปัสมอนส์เป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ สูงมากกว่าสามเท่าของยอดเขาเอเวอร์เรส ดาวอังคารมีดวงจันทร์ขนาดเล็กสองดวง ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมวลมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มันประกอบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นส่วนใหญ่ และเป็นสถานที่ที่พบพายุใหญ่ที่สุดและรุนแรงมากที่สุดเท่าที่เรารู้จัก พายุที่ใหญ่ที่สุดคือจุดแดงใหญ่, มีขนาดเป็นสามเท่าของโลก

ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์หกสิบเจ็ดดวง ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองและมีความหนาแน่นที่น้อยที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด เปรียบเทียบได้ว่าหากคุณมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ดาวเสาร์จะลอยอยู่ในนั้น ดาวเสาร์เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับวงแหวนที่มองเห็นได้ชัดของมัน มันมีดวงจันทร์หกสิบสองดวง

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสาม และเป็นหนึ่งในที่หนาวเย็นมากที่สุด และก็ยังเล็กที่สุด ในบรรดาดาวก็าซยักษ์ สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับดาวยูเรนัสก็คือว่า แกนของการหมุนเอียงไปด้านข้างในทางตรงกันข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ทั้งเจ็ดดวง มันมีดวงจันทร์ยี่สิบเจ็ดดวง

ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ที่สุดท้ายในระบบสุริยะและมีความคล้ายคลึงกับดาวยูเรนัส มันไกลจากดวงอาทิตย์มากจน หนึ่งปีที่ดาวเนปจูนเป็น 164 ปีของโลก ความเร็วลมสูงสุดที่เคยวัดได้ในพายุบนดาวเนปจูน, ก็เพียงเกือบๆ 2,100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์สิบสี่ดวง ถ้าเราเปรียบเทียบขนาดของดาวเคราะห์ ความแตกต่างระหว่างพวกมัน จะเป็นที่ชัดเจนมากขึ้น

ดาวพฤหัสบดีเป็นผู้นำโด่งในแง่ของขนาดและน้ำหนัก; ในทางตรงข้าม ขนาดที่เล็กของดาวพุธมีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์แกนีมีด หนึ่งในบริวารดาวพฤหัสบดี ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่ เพียงแค่มวลของมัน ก็มีประมาณ 70% ของมวล ของทุกดาวเคราะห์รวม ๆ กันและส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งที่แวดล้อมมัน นับเป็นโชคดีสำหรับโลกเพราะดาวพฤหัสบดีดึงดูดดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่จำนวนมากที่สามารถชนโลกจนทำให้สิ่งชีวิตบนโลกสูญพันธุ์ได้ แม้แต่ดาวพฤหัสบดียังดูเป็นดาวแคระไปเสีย เมื่อเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ เรียกดาวพฤหัสบดีว่าใหญ่ดูจะลำเอียงกับดวงอาทิตย์

99.86% ของมวลในระบบสุริยะมาจากดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่ก็ประกอบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียม น้อยกว่า 2% เป็นธาตุหนัก เช่นออกซิเจนหรือเหล็ก ที่แกนของดวงอาทิตย์เผาไฮโดรเจน 620 ล้านตันในแต่ละวินาที และสร้างพลังงานพอที่จะตอบสนองความความต้องการของมนุษย์มานานเนิ่นนาน แต่ไม่เพียงดาวเคราะห์แค่แปดดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์น้อยและดาวหางนับล้านล้าน ก็ยังโคจรอยู่

ส่วนใหญ่ของพวกมันรวมกันอยู่คล้ายเข็มขัดสองเส้น: หนึ่ง แถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารและดาวดาวพฤหัสบดีและ สอง แถบไคเปอร์ที่ขอบของระบบสุริยะ เข็มขัดเหล่านี้เป็นบ้านของวัตถุที่นับไม่ถ้วน บางอย่างมีขนาดเพียงเท่าอนุภาคฝุ่น บางอย่างมีขนาดเท่าดาวเคราะห์แคระ วัตถุที่รู้จักกันดีที่สุดใน แถบดาวเคราะห์น้อยคือเซเรส วัตถุส่วนใหญ่รู้จักกันดีในแถบไคเปอร์ มีดาวพลูโต Makemake และ Haumea โดยปกติแล้วเราจะอธิบายแถบดาวเคราะห์น้อยเป็น ส่วนที่หนาแน่นและเกิดการ ชนอย่างต่อเนื่อง



แต่ในความเป็นจริง มีดาวเคราะห์น้อยกระจายไปทั่วบริเวณ ซึ่งกว้างใหญ่เสียจนยากที่จะเห็นดาวเคราะห์น้อยสองดวงในคราวเดียว แม้จะมีดาวเคราะห์น้อยหลายพันล้านดวงในแถบ แถบดาวเคราะห์น้อยยังคงดูเหมือนพื้นที่่ว่างเปล่านั่นเอง และยังคงมีการชนกันครั้งแล้วครั้งเล่า มวลของแถบทั้งสองนั้น แทบจะไม่มีความสำคัญ: แถบดาวเคราะห์น้อยมีมวลน้อยกว่า 4% ของมวลดวงจันทร์ของเราและแถบไคเปอร์มีขนาดระหว่าง 1/25 ถึง 1/10 ของมวลของโลก

วันหนึ่งระบบสุริยะจะหายไป ไม่มีอยู่แล้ว ดวงอาทิตย์จะตาย และดาวพุธ ดาวศุกร์ บางทีโลกด้วยก็จะถูกทำลาย ในเวลา 500 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ และร้อนจนถึงจุดหนึ่ง มันจะละลายเปลือกโลก จากนั้นดวงอาทิตย์จะโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลืนโลก หรืออย่างน้อยก็ทำให้โลกกลายเป็นทะเลลาวา เมื่อดวงอาทิตย์ได้ถูกเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมดและสูญเสียมวลไปมาก มันจะหดตัวจนเป็นดาวแคระขาวและเผาไหม้ช้าๆ ต่อไปอีกไม่กี่พันล้านปี ก่อนที่จะหายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตในระบบสุริยะคือสิ่งเป็นไปไม่ได้ ทางช้างเผือกเองจะแทบจะไม่ได้สังเกตว่า ส่วนเล็ก ๆ อย่างระบบสุริยะในแขนข้างหนึ่ง จะกลายเป็นเพียงจุดที่มืดขึ้นเล็กน้อย และมนุษย์จะหายไปหรือออกจากระบบสุริยะ เพื่อการค้นหาดาวบ้านดวงใหม่

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

ระเบิดขนาดจิ๋วในเลือดของเรา

ทุกชีวิตล้วนต้องสู้กับสิ่งมีชีวิตอื่นที่ต้องการจะเขมือบพวกเขา การที่สิ่งมีชีวิตระดับเซลล์วิวัฒนาการมาได้ตลอดหลายพันล้านปีที่ผ่านมานั้น มันจึงต้องมีวิธีต่าง ๆ ในการป้องกันตัวเอง ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันมีระบบการป้องกันตัวที่ซับซ้อน อาทิ กำแพงกั้นทางกายภาพ เซลล์ป้องกัน และโรงงานผลิตอาวุธ แต่หนึ่งในการป้องกันที่สำคัญของร่างกายที่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด คือ...ระบบคอมพลีเมนต์ (Complement System)

มันวิวัฒนาการมาตลอด 700 ล้านปีที่แล้ว และมีกองกำลังโปรตีนมากกว่า 30 ชนิด... ที่ทำงานร่วมกันอย่างสวยงามและซับซ้อนเพื่อหยุดผู้รุกราน โดยทั่วไป มีพวกมันถึง 15 ล้านล้านล้านตัว แทรกซึมอยู่ในของเหลวทุกส่วนของร่างกายคุณ ถูกควบคุม ด้วยปฏิกิริยาเคมี เพียงเท่านั้น โปรตีนเหล่านี้เป็นหนึ่งในอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่เราใช้ต่อสู้กับผู้รุกราน ส่วนใหญ่แล้วระบบภูมิคุ้มกันส่วนอื่นเป็นเพียงแค่ตัวกระตุ้นระบบคอมพลีเมนต์ แต่มันก็อันตรายด้วยเช่นกัน



ลองคิดดูว่าเหมือนมีระเบิดเล็ก ๆ ล้านล้านลูกในเลือดของคุณ ซึ่งสามารถระเบิดเมื่อใดก็ได้ ฉะนั้นเซลล์ของเราจึงใช้กลไกต่าง ๆ มากมายในการป้องกันคอมพลีเมนต์โจมตีพวกเดียวกัน โอเค ถ้างั้นจริง ๆ แล้วมันมีหน้าที่อะไรกัน และทำไมมันถึงอันตราย? สรุปคร่าว ๆ คือ ระบบคอมพลีเมนต์มีหน้าที่ 3 อย่าง: ทำให้ศัตรูหยุดทำงาน กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และเจาะรูพวกมันจนมันตาย

แต่ยังไงล่ะ?
พวกมันคือโปรตีนที่ล่องลอยไปรอบ ๆ โดยไม่มีทิศทางหรือความต้องการใด ๆ แต่นั่นแหละคือกลยุทธ์ของพวกมัน โปรตีนคอมพลีเมนต์จะล่องลอยไปรอบ ๆ ในโหมดแพสซีฟ ไม่ทำสิ่งใดเลยจนกว่าจะถูกกระตุ้น และเปลี่ยนรูปร่าง ในโลกของโปรตีน รูปร่างเท่านั้นที่จะกำหนดว่ามันจะสามารถทำอะไรได้ เพราะรูปร่างกำหนดว่ามันจะสามารถมีปฎิกิริยากับสิ่งใดด้วยวิธีใด เช่น ในตอนรูปร่างแพสซีฟคุณอาจไม่ทำอะไร.. แต่ในรูปร่างแอ็กทีฟคุณอาจอย่างเช่น เปลี่ยนรูปร่างโปรตีนอื่น... โดยการกระตุ้นพวกมัน และให้พวกมันกระตุ้นกันต่อไปเรื่อย ๆ กลไกเช่นนี้สามารถสร้างปฎิกิริยาลูกโซ่ ซึงจะเพาะกระจายไปอย่างรวดเร็ว

ลองคิดดูว่าโปรตีนคอมพลีเมนต์เหมือนกับไม้ขีดไฟหลายล้านก้านที่อยู่ใกล้กันมาก ๆ เมื่อมีก้านหนึ่งติดไฟ มันจะลามไปรอบ ๆ ยิ่งลามมากเท่าไร ไฟยิ่งโหมกระหน่ำ การแสดงให้เห็นกลไกจริง ๆ ของระบบคอมพลีเมนต์นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเกินไป ดังนั้นเราจึงขอกล่าวแบบง่าย ๆ ลองจินตนาการว่าคุณถูกของบาดและมีแบคทีเรียมากมายเข้าสู่บาดแผล และกระจายไปเนื้อเยื่อรอบ ๆ คอมพลีเมนต์จะเริ่มโจมตีด้วย C3 C3 คือไม้ขีดก้านแรก เป็นจุดที่ก่อให้เกิดประกายไฟ การจะทำเช่นนั้น C3 ต้องเปลี่ยนจากโหมดแพสซีฟเป็นแอ็กทีฟ กระบวนการเกิดนั้นซับซ้อน เอาเป็นว่ามันเกิดอย่างสุ่ม ๆ...ผ่านโปรตีนคอมพลีเมนต์ที่ติดกับศัตรู หรือผ่านแอนติบอดี้

สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือ C3 จะแยกเป็นโปรตีนชิ้นเล็ก ๆ 2 ส่วน...C3a และ C3b ซึ่งถูกกระตุ้นแล้ว โดยโปรตีน C3b จะเป็นเสมือนจรวจที่เจาะจงกับแบคทีเรีย ฟังไจ และไวรัส มันมีเวลาแค่เสี้ยววินาทีในการหาเหยื่อ ไม่อย่างนั้นมันจะถูกทำลายโดยโมเลกุลน้ำ เมื่อ C3b พบเป้าหมายแล้ว มันจะยึดตัวเองอย่างแน่นกับผิวของเหยื่อและจะฝังตัวอยู่อย่างนั้น เมื่อนทำอย่างนั้น โปรตีนจะเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง ซึ่งรูปร่างใหม่นั่นจะสามารถยึดจับกับโปรตีนอื่นได้ และสร้างปฎิกิริยาลูกโซ่อีกครั้ง โดยเปลี่ยนรูปร่างหลายต่อหลายครั้งและเพิ่มจำนวนโปรตีนคอมพลีเมนต์เข้ามา ท้ายที่สุด มันจึงกลายร่างเป็นฐาน ที่เรียกว่า C3 Convertase

ฐานนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกระตุ้นโปรตีน C3 ซึ่งจะเริ่มทั้งวงจรอีกครั้ง วัฏจักรนี้จึงเริ่มขึ้น ในไม่ช้า โปรตีนเป็นพันก็ได้ปกคลุมแบคทีเรีย สำหรับแบคทีเรียแล้วนี่เป็นสิ่งที่เลวร้าย มันสามารถทำให้แบคทีเรียหยุดการทำงานและทำอะไรไม่ได้ หรือชะลอมันลง ลองคิดดูว่ามีเหมือนแมลงวันนับพันปกคลุมตัวคุณ แต่ที่มากกว่านั้น คุณยังจำอีกส่วนของ C3 ได้ไหม? โปรตีน C3a C3a เป็นเหมือนเครื่องส่งสัญญาณเตือนภัย พวกมันนับพันไหลลอยออกไปจากสนามรบ และกรีดร้องเพื่อเรียกร้องความสนใจ เซลล์คุ้มกันชนิดแพสซีฟสังเกตเห็นโปรตีน C3a และตื่นจากการหลับใหลเพื่อตามโปรตีนกลับไปยังจุดที่ติดเชื้อ



ยิ่งมีโปรตีนมาปลุกมันมากเท่าไร พวกมันจะยิ่งดุร้ายขึ้น ด้วยวิธีนี้ คอมพลีเมนต์จึงนำทางกองกำลังไปยังจุดที่พวกมันต้องการได้ถูกต้อง ตอนนี้ คอมพลีเมนต์ก็ได้ชะลอผู้รุกรานและร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้น มันจะเรื่มการโจมตีศัตรูโดยตรง เซลล์ภูมิคุ้มกันชุดแรกที่มาถึงสนามรบคือ ฟาโกไซต์ (phagocytes) มันคือเซลล์ที่กลืนกิน กักขัง และฆ่าศัตรูด้วยกรด แต่ในการกลืนกินนั้นจะต้องเข้าถึงตัวศัตรูได้เสียก่อน ซึ่งเป็นไม่เป็นเรื่องง่าย เพราะแบคทีเรียไม่ยอมให้จับและค่อนข้างลื่นด้วย แต่ในตอนนี้ คอมพลีเมนต์ที่ได้ยึดตัวเองติดกับแบคทีเรียนั้น... เป็นเสมือนกาวที่ง่ายต่อการจับเหยื่อของเซลล์ภูมิคุ้มกัน แต่มันยังดีกว่านั้นได้อีก

ลองคิดดูว่าแมลงวันที่ปกคลุมเมื่อกี้...ในตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นต่อ ปรากฏการณ์ลูกโซ่ครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น บนผิวของแบคทีเรีย ฐาน C3 ได้เปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง...และเริ่มรับโปรตีนตัวใหม่ ความร่วมมือนี้ ก่อให้เกิดโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น เรียกว่า เครื่องโจมตีเยื่อหุ้มเซลล์ (Membrane Attack Complex) โปรตีนรูปร่างใหม่นี้มีลักษณะเป็นหอกยาว ๆ แทงลึกเข้าในเยื่อหุ้มของแบคทีเรีย จนกระทั่งเกิดรูที่ไม่สามารถปิดได้ ของเหลวที่ใหลเข้าไปในแบคทีเรีย ทำให้ภายในของมันรั่วออกมาสู่ภายนอก.. ไหลออกหมดจนตาย

แบคทีเรียที่ยังหลงเหลือจะทำอะไรไม่ได้ หรือถูกก่อกวนโดยคอมพลีเมนต์... และถูกกำจัดต่อไปโดยเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มาถึง การรุกรานนี้ถูกจำกัดวงให้แคบลงก่อนที่มันจะกลายเป็นอันตราย คุณแทบไม่รู้ตัวเลยตัวซ้ำ แต่ในขณะที่แบคทีเรียกำลังแย่เพราะคอมพลีเมนต์อยู่นั้น...

แท้จริงแล้วศัตรูที่คอมพลีเมนต์ ได้เปรียบสูงสุด คือ ไวรัส ไวรัสมีปัญหาอย่างเดียวคือ พวกมันต้องเดินทางจากเซลล์ไปเซลล์ เมื่อออกนอกเซลล์ พวกมันวิ่งเข้าชนเซลล์อื่นอย่างสุ่ม ๆ เพื่อแพร่เชื้อใส่โดนอาศัยดวงล้วนๆ ณ จุดนี้ ไวรัสจะไม่สามารถป้องกันตัวได้ และในที่สุดคอมพลีเมนต์จะขัดขวางแล้วทำให้มันไม่เป็นอันตรายได้ และชี้นำให้ระบบภูมิคุ้มกันกลืนกินมันต่อไป ถ้าปราศจากคอมพลีเมนต์ การติดเชื้อจากไวรัสจะเป็นอันตรายอย่างมาก แต่เดี๋ยวนะ ถ้าพวกเรามีอาวุธที่มีประสิทธิภาพขนาดนั้น ทำไมเราจึงยังป่วยอยู่ล่ะ? ปัญหาก็คือในสงครามนี้ ทั้งสองฝ่ายเกิดการปรับตัว เช่น เมื่อไวรัสโรคฝีดาษแพร่เข้าสู้เซลล์ มันจะเข้าควบคุมโปรตีนที่ปิดการทำงานของคอมพลีเมนต์ลง ด้วยวิธีนี้ ไวรัสจึงสร้างเขตปลอดภัยรอบ ๆ เซลล์ที่แพร่เชื้อเข้าไปได้ เมื่อไวรัสฆ่าเซลล์นั้นและพยายามแพร่เชื้อต่อ มันมีโอกาสสูงมากที่จะทำสำเร็จ

หรือแบคทีเรียบางชนิดสามารถหยิบโมเลกุลอย่างเฉพาะเจาะจงได้จากเลือด ซึ่งจะทำให้ระบบคอมพลีเมนต์ไม่โจมตีมัน...และทำให้พวกมันล่องหน ดังนั้นระบบคอมพลีเมนต์ที่สำคัญอย่างมากนี้... จึงเป็นแค่ผู้เล่นคนหนึ่งในการจัดการที่สวยงามและซับซ้อนของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นตัวอย่างสวยงามของสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่สามารถทำสิ่งฉลาด ๆ ร่วมกันได้
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

กินนมมากๆ เป็นมะเร็งจริงหรือ

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นมได้จุดประเด็นร้อนขึ้น บ้างก็บอกว่านมเป็นสิ่งจำเป็นและมีคุณค่าทางสารอาหาร มีส่วนในการสร้างกระดูกที่แข็งแรง แต่อีกด้านหนึ่ง กลับบอกว่านมเป็นตัวการก่อมะเร็ง และเป็นต้นเหตุการตายก่อนวัยอันควร แล้ว..ใครเป็นฝ่ายถูก? และทำไมเราถึงดื่มนมกันด้วยล่ะ?

นมนับว่าเป็นอาหารหลักของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแรกคลอด เมื่อระบบย่อยอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่และมีขนาดเล็กอยู่ หลัก ๆ แล้วนมก็คือสุดยอดอาหารที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเรานั่นเอง นมนั้นอุดมไปด้วยไขมัน, วิตามิน, แร่ธาตุ, และน้ำตาลในนม หรือแลคโทส นอกจากนั้น น้ำนมในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ ยังลำเลียงภูมิคุ้มกันและโปรตีนให้กับทารก ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย และปรับระบบภูมิต้านทานให้ดีขึ้น แต่มันจะกินแรงคุณแม่อย่างหนักในการผลิต ในที่สุด มนุษย์ก็จะต้องหยุดดื่มนมแม่ และเปลี่ยนไปทานอาหารแบบเดียวกับผู้ใหญ่ นี่คือธรรมชาติ ซึ่งได้เป็นแบบนี้มานานนับพัน ๆ ปีแล้ว



จนกระทั่งเมื่อ 11,000 ปีก่อน เมื่อบรรพบุรุษของเราตั้งรกรากในสังคมเกษตรกรรมเป็นครั้งแรก ในเวลาไม่นาน พวกเขาริเริ่มเลี้ยงสัตว์ที่ผลิตน้ำนมเป็นครั้งแรก คือ แพะ, แกะ, และวัว พวกเขาค้นพบว่า สัตว์เหล่านี้สามารถแปลงสิ่งที่ไร้ประโยชน์และมีอยู่ทั่วไปหมดเหล่านี้ และเปลี่ยนมันเป็นอาหารที่มีประโยชน์และยังอร่อยด้วย เรื่องนี้ก่อความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับโอกาสอยู่รอด โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดภัยหรือมีปัญหา ดังนั้น กลุ่มไหนที่มีนมไว้ดื่มจึงมีข้อได้เปรียบทางวิวัฒนาการ (กลุ่มที่มีนม / กลุ่มที่ไม่มีนม) และด้วยหลักการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

ยีนของชุมชนที่มีโอกาสได้ดื่มนมมาก ก็เริ่มเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลมาจากเอนไซม์เฉพาะทางตัวหนึ่ง ที่ชื่อ แลคเทส เด็กทารกจะมีเอนไซม์นี้เป็นจำนวนมากในร่างกาย เพราะมันช่วยย่อยน้ำตาลในนม หรือแลคโทส ซึ่งจะทำให้ดูดซึมนมได้ดีขึ้น แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ร่างกายก็จะผลิตเอนไซม์แลคเทสได้น้อยลง ประมาณ 65% ของประชากรโลก ไม่มีเอนไซม์นี้หลังจากพ้นวัยทารกแล้ว ซึ่งส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถย่อยนมได้มากกว่า 150 มิลลิลิตรต่อวัน แต่อาการแพ้แลคโทสนี้ ยังไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอกันทั่วโลก ยกตัวอย่าง ในบางประเทศเขตเอเชียตะวันออก จะมีอาการนี้ถึง 90%

ส่วนในกลุ่มยุโรปตอนเหนือและอเมริกาเหนือ มีโอกาสเกิดอาการนี้ต่ำที่สุด มันมีสาเหตุอยู่ว่าทำไมถึงเกิดการกระจายตัวที่ไม่เท่ากันแบบนี้ อาการนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยบังเอิญจากการกลายพันธุ์แบบสุ่ม ซึ่งเกิดขึ้นได้เองอย่างอิสระในบางกลุ่มประชากร ด้วยข้อเท็จจริงที่การทำการเกษตรได้เข้ามาแทนที่การล่าและสะสมอาหาร มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติมีบทบาทมากขึ้น คนที่สามารถกินและย่อยแลคโทสได้ ก็ถือว่ามีอาหารมากกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ

การย้ายถิ่นของผู้ผลิตนมไปทางเหนือ ทำให้ผู้มีข้อได้เปรียบนี้เพิ่มจำนวนขึ้น และเป็นไปได้มาก ที่จะส่งผลให้คนพื้นเมืองเดิมซึ่งไม่มีข้อได้เปรียบนี้ มีจำนวนลดลง ทีนี้ ถ้านมเป็นอาหารหลักอันทรงคุณค่าของมนุษย์มาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว ทำไมมันถึงเกิดประเด็นร้อนขึ้นมาล่ะ?

มีการกล่าวอ้างจากหลายทางเกี่ยวกับผลดีและผลเสียจากนม ฝ่ายผลเสียนั้นมีเหตุผลที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ กระดูกเปราะจนถึงมะเร็ง, โรคหัวใจจนถึงอาการแพ้ แล้วข้ออ้างเหล่านี้มีที่มาอย่างไร? บางงานวิจัยในอดีต เชื่อมโยงนมเข้ากับความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้, และมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่การทบทวนหลักฐานใหม่พบว่านมไม่มีผลต่อความเสี่ยงเป็นมะเร็งเลย ในทางกลับกัน แคลเซียมในนมอาจส่งผลในการป้องกันมะเร็งลำไส้เสียมากกว่า แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นแคลเซียมจากแหล่งใดก็ได้ ยังไม่ชัดเจนว่านมป้องกันมะเร็งได้โดยตรง

มีเฉพาะงานวิจัยมะเร็งต่อมลูกหมากที่บ่งชี้ความเสี่ยงที่มากขึ้นในกลุ่มที่ดื่มนมมากกว่า 1.25 ลิตรต่อวัน แต่การเชื่อมโยงนี้ก็มีจุดบกพร่องอยู่ และไม่มีงานวิจัยอื่นที่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน เราได้รวบรวมรายละเอียดของงานวิจัยเหล่านี้ไว้ใต้วิดีโอนี้แล้ว ซึ่งในภาพรวมนั้น ผลวิจัยบอกว่าหากคุณดื่มนมระหว่าง 100 - 250 มิลลิลิตรต่อวัน ก็จะไม่มีผลในการก่อมะเร็ง ในทำนองเดียวกัน การทบทวนหลักฐานใหม่ก็ไม่พบว่านมหรือผลิตภัณฑ์จากนม สามารถก่อความเสี่ยง ในการเป็นโรคหัวใจ, เส้นเลือดในสมองแตก, หรือลดอายุขัยของคุณได้เลย

บางงานวิจัยได้เสนอว่าอาการความดันโลหิตสูงนั้นจะพบได้น้อยลงในกลุ่มคนที่ดื่มนมเยอะ อย่างไรก็ตาม หลักฐานในงานวิจัยนี้ยังไม่หนักแน่นพอที่จะสรุปเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ประเด็นเริ่มที่จะซับซ้อนขึ้นเมื่อพิจารณากันที่กระดูก งานวิจัยจำนวนหนึ่งพบว่านมไม่ทำให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียในผู้ใหญ่ สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลกันมาก จะเกี่ยวกับสิ่งปนเปื้อนจำพวกสารฆ่าแมลง, ยาปฏิชีวนะ, และฮอร์โมนมากกว่า ในนมนั้นมีฮอร์โมนอยู่ก็จริง แต่มีความเข้มข้นในระดับที่ต่ำมาก

ถ้าให้ยกตัวอย่าง หากต้องการได้ฮอร์โมนในปริมาณที่เทียบเท่ากับยาฮอร์โมนหนึ่งเม็ด จะต้องดื่มนมมากถึง 5,000 ลิตร และถึงคุณจะดื่มนมทั้งหมดนั้นได้จริง ฮอร์โมนส่วนใหญ่ก็จะถูกย่อยสลายไปในทางเดินอาหารแล้ว ก่อนที่จะสามารถส่งผลใด ๆ ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ยาส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีสารเคลือบป้องกันจากระบบย่อยอาหาร สำหรับสารฆ่าแมลงและยาปฏิชีวนะนั้น ประเทศส่วนใหญ่ได้มีเกณฑ์ควบคุมสารปนเปื้อน ให้มีได้ไม่เกินปริมาณที่ถือว่าปลอดภัยโดยสิ้นเชิง นมที่มีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์ จะไม่สามารถนำมาวางขายได้

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้ต้องกังวลมากนัก นอกเหนือจากอาการแพ้นม หรืออาการแพ้แลคโทสแล้ว ผลเสียที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของนมก็คือสิว และความรู้สึกไม่สบายตัวหลังจากดื่มหรือทานอาหารที่ทำจากนม และผลเสียที่ว่ามานี้ ส่งผลกระทบจริง ๆ ยกตัวอย่าง นมไขมันต่ำจะส่งเพิ่มโอกาสทางสถิติที่จะเกิดสิวได้มากถึง 24% อาการแพ้ผลิตภัณฑ์จากนมจะพบได้บ่อยในเด็กเล็ก ในประเทศเยอรมนี จากเด็ก 18 คนจะพบอาการนี้ได้ 1 คน โดยทั่วไปแล้ว อาการเหล่านี้จะดีขึ้นหรือหายไปได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น ถ้างั้นสรุปได้ไหมว่านมดีต่อสุขภาพ?

น้ำนม ไม่ว่าจะมาจากแม่, วัว, แกะ, แพะ, หรืออูฐ ก็จะมีสารอาหารเข้มข้น อุดมไปด้วยสารอาหารหลักและสารอาหารรองมากมาย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ผู้คนต้องดิ้นรนเพื่อให้รับแคลอรี่ได้เพียงพอ น้ำนมจะช่วยส่งเสริมให้เกิดชีวิตและสุขภาพที่ดี และลดอัตราการตายของเด็กลงได้ สำหรับคนที่อาศัยในประเทศที่พัฒนาแล้ว นมถือว่าไม่เป็นอันตราย หากคุณไม่มีอาการแพ้ สำหรับเด็ก ๆ แล้ว นมถือเป็นวิธีที่ดีสำหรับรับแคลเซียมในปริมาณสูง และสำหรับชาวมังสวิรัติ นมถือเป็นแหล่งวิตามิน B12 และวิตามิน B ที่ดี



แต่นี่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีอาหารอื่นที่ให้ผลแบบเดียวกัน คุณไม่จำเป็นต้องดื่มนมเพื่อจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง นมนั้นไม่สามารถนำมาทดแทนน้ำดื่มได้ นมเป็นอาหารให้พลังงานสูง แคลอรี่ที่ได้รับจากการดื่มนมปริมาณมากเป็นประจำ สามารถส่งผลให้มีน้ำหนักเกินได้ โดยเฉพาะในนมที่ปรุงแต่งรสชาติ หรือนมช็อคโกแลต จะเทียบเคียงได้กับน้ำหวานมากกว่าของว่างเพื่อสุขภาพ และมีอีกเรื่องที่ต้องคำนึง การผลิตนมนั้นส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อสภาพอากาศของโลก พื้นที่ทำการเกษตรกว่า 33% ใช้ปลูกพืชเพื่อเลี้ยงปศุสัตว์ รวมถึงวัวนมด้วย ถึงแม้ว่ารอยเท้าคาร์บอนของผลิตภัณฑ์นมจะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 1990 อุตสาหกรรมนมยังคงมีส่วนในการสร้างก๊าซเรือนกระจกถึง 3% ถือเป็นปริมาณที่สูงกว่าก๊าซจากเครื่องบินทุกลำบนโลกรวมกัน

นมนั้นเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และกระบวนการผลิตนั้นสร้างความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง แม่วัวถูกทำให้ตั้งท้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกจับแยกจากลูกวัวทันทีหลังคลอด และถูกฆ่าทันทีเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตน้ำนมได้อีกแล้ว เราไม่สามารถละเลยได้ว่านมส่วนใหญ่ที่เราบริโภค มาจากอุตสาหกรรมที่ โดยพื้นฐานแล้วคือการทรมาน และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก

แล้วถ้าเป็นนมที่ผลิตจากพืชล่ะ?
ในเชิงของระดับโปรตีนและคุณค่าทางสารอาหาร มีเพียงนมถั่วเหลืองเท่านั้นที่พอเทียบเคียงได้กับนมวัว นมอื่น ๆ จำเป็นต้องได้รับการเสริมสารอาหารเพิ่มเติม เพื่อให้มีวิตามินและแคลเซียมใกล้เคียงนมวัว และสามารถใช้เป็นตัวเลือกทดแทนนมวัวได้ และมีอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจเป็นจริงได้ในเร็ว ๆ นี้ บริษัทสตาร์ทอัปหลายแห่งได้พัฒนานมที่ไม่ได้มาจากสัตว์ และมีสารอาหารเหมือนกับนมวัวทุกประการ

ยกตัวอย่าง เช่น ผลิตจากการหมักด้วยแบคทีเรียที่ผ่านมาปรับปรุงยีนแล้ว นมที่ผลิตในห้องแล็บนี้สามารถนำไปทำเป็นชีสได้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่นมจากพืชทำได้ยาก เนื่องจากขาดสารเคซีนและโปรตีนเวย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้นมมีรสชาติและคุณสมบัติเฉพาะตัว ในด้านผลกระทบต่อธรรมชาติ เหมือนกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ นมทางเลือกหลากหลายแบบ สิ้นเปลืองพลังงาน, ที่ดิน, และน้ำ ในการผลิตน้อยกว่านมวัวมาก และก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลงกว่านมจากสัตว์มากเช่นกัน หากคุณต้องการลดผลเสียต่อโลกให้มากที่สุด คำตอบที่ดีที่สุดก็คือนมทางเลือกที่อยู่ในภูมิภาคของคุณ

(บทสรุป)

ประเด็นเรื่องนมนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน มันไม่ส่งผลเสียต่อประชากรส่วนใหญ่ของโลก และเป็นสิ่งจำเป็นของคนจำนวนมาก นมนั้นดี มีคุณค่า แต่ก็ส่งผลเสียต่อโลก และก่อความทุกข์ทรมานแสนสาหัสในเวลาเดียวกัน
เราต้องร่วมกันตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

ทำไมวาฬสีน้ำเงินจึงเป็นสัตว์ที่ไม่เป็นมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นสิ่งที่น่าขนลุกและก็ลึกลับ ในระหว่างพยายามที่จะศึกษาและเข้าใจมัน เพื่อหาวิธีการที่ดีขึ้นในการกำจัดมัน เราก็ได้ค้นพบความขัดแย้งทางชีวภาพที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้ สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ดูเหมือนจะมีภูมิต้านทานต่อโรคมะเร็ง ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลย ยิ่งสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ปริมาณของมะเร็งก็ควรจะมากตาม เพื่อที่จะรู้ว่าทำไม ก่อนอื่นเราต้องมาดูลักษณะของโรคมะเร็งก่อน เซลล์ของเรา คือหุ่นยนต์โปรตีน ที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนเป็นร้อยๆ ล้านชิ้น ทำงานตอบสนองไปตามปฏิกิริยาทางเคมีเท่านั้น

เซลล์สร้างและแยกส่วนโครงสร้าง รักษาการเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงาน หรือสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ที่แทบจะสมบูรณ์แบบ เราเรียกปฏิกิริยาทางเคมีที่ซับซ้อนเหล่านี้ว่า วิถีเมแทบอลิซึม(metabolic pathways) มันคือโครงข่ายทางชีวเคมีที่ทำงานอยู่บนอีกโครงข่าย ทำงานเป็นลำดับต่อเนื่องกัน ขึ้นไปเป็นชั้น ๆ โดยส่วนใหญ่ แทบจะสามารถที่จะรับรู้สัญญาณจากจิตใต้สำนึกได้ ถึงอย่างนั้น พวกมันก็ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ



จนกระทั่ง...

มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น จากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นพันๆ ล้านครั้ง ในหลายๆ พันโครงข่ายทำงานด้วยกัน เป็นเวลาผ่านไปหลายปี คำถามไม่ใช่ว่า ถ้ามันเกิดความผิดพลาดล่ะ? แต่คือ มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ต่างหาก? ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเลวร้าย เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดสิ่งเลวร้ายจนควบคุมไม่ได้ เซลล์ของเรานั้น  มีสวิตซ์กดเอาไว้สำหรับฆ่าตัวตาย แต่ว่า สวิตซ์ฆ่าตัวตายนั้น มันก็ไม่ได้ทำงานสมบูรณ์แบบเสมอไป ถ้าสวิทซ์ทำงานผิดพลาด เซลล์นั้นก็จะกลายเป็น เซลล์มะเร็ง โดยส่วนใหญ่นั้น ก็จะถูกกำจัดโดยระบบภูมิคุ้มกัน อย่างรวดเร็ว

แต่ว่านี่เป็น การแข่งขันด้วยจำนวน ถ้าให้เวลามากพอ เซลล์ก็จะเกิดความผิดพลาดมากพอ โดยไม่ทันสังเกต จนเริ่มแบ่งตัวเองให้มีจำนวนมากขึ้น สัตว์ทุกชนิด ต้องรับมือกับปัญหานี้โดยทั่วกัน โดยทั่วไปแล้ว เซลล์ของสัตว์ทุกชนิดจะมีขนาดเท่ากัน เซลล์ของหนู ก็ไม่ได้มีขนาดเล็กกว่าเซลล์ของคุณหรอก แค่จำนวนเซลล์ทั้งหมดของมัน มีน้อยกว่าเฉยๆ และมีอายุขัยที่สั้นกว่าจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่า และอายุขัยที่สั้นกว่านั้น แปลว่า มีโอกาสน้อยกว่า ที่เกิดความผิดพลาดหรือเซลล์เกิดการกลายพันธ์ หรืออย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

มนุษย์มีชีวิตยืนยาวกว่าหนูถึง 50 เท่า และมีจำนวนเซลล์มากกว่าถึง 1000 เท่าของหนู แต่ถึงจะอย่างนั้น มนุษย์กับหนูกลับมีอัตราการเกิดมะเร็งที่เท่ากัน น่าแปลกเข้าไปอีก เมื่อวาฬสีน้ำเงิน ที่มีเซลล์มากกว่ามนุษย์ถึง 3000 เท่า กลับไม่มีมะเร็งเกิดขึ้นเลย นี่คือ ความขัดแย้งของพีโต (Peto's Paradox) ซึ่งก่อให้เกิดความสับสนที่ว่า สัตว์ขนาดใหญ่ จะเกิดโรคมะเร็งได้น้อยมากๆๆ กว่าที่มันควรจะเป็น นักวิทยศาสตร์คิดว่า มีคำตอบ 2 ข้อหลักๆ ที่สามารถอธิบายความขัดแย้งนี้ได้ การวิวัฒนาการ และ hypertumor

ข้อที่ 1 วิวัฒนาการ หรือ กลายเป็นส่วนหนึ่งของมะเร็ง สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 600 ล้านปีที่แล้ว สัตว์มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงเซลล์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมีโอกาสมากขึ้นที่เซลล์จะเกิดความผิดพลาด ดังนั้น เผ่าพันธ์จึงต้องมีการเสริมการป้องกันมะเร็งให้ดียิ่งขึ้นเสมอ เผ่าพันธ์ไหนไม่ทำ ก็จะสูญพันธ์ลงไป แต่โรคมะเร็ง ไม่ใช่แค่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น มันคือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดจากแต่ละส่วนประกอบ และ การกลายพันธ์ของยีนบางตัว ภายในเซลล์ๆหนึ่ง ยีนเหล่านั้นเรียกว่า proto-oncogenes และเมื่อมันกลายพันธ์ นั่นแหละข่าวร้าย

อย่างเช่น ด้วยการกลายพันธุ์ได้อย่างเหมาะสม เซลล์จะเสียความสามารถให้การทำลายตัวเอง การกลายพันธ์ุอีกอย่าง ก็พัฒนาความสามารถในการพรางตัว อีกอย่างก็ ร้องขอทรัพยากร อีกอย่างนึง คือแบ่งตัวเองให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยีน oncogene เหล่านี้ก็มีคู่ปรับอยู่เหมือนกัน นั่นคือ Tumor Supressor gene พวกมันคอยป้องกันการเกิดการกลายพันธุ์ที่ผิดปกติ หรือสั่งให้เซลล์ทำลายตัวเอง ถ้าหากมันว่าเกินกว่าที่จะแก้ไขไปแล้ว กลายเป็นว่า สัตว์ที่มีขนาดใหญ่มียีนเหล่านี้อยู่จำนวนมาก

ด้วยเหตุนี้ เซลล์ของช้างจำเป็นต้องใช้การกลายพันธ์ุจำนวนมากกว่าเซลล์ของหนู ถึงจะมีเนื้องอกเกิดขึ้น พวกมันไม่ได้มีภูมิต้านทาน แต่ฟื้นฟูสภาพได้ดีว่า การปรับตัวนี้ อาจจะแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง แต่นักวิจัยก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร บางที Tumor suppressor ทำให้ช้างแก่ตัวเร็วขึ้น หรือฟื้นตัวจากบาลแผลได้ช้าลง เรายังไม่รู้ แต่คำตอบของความขัดแย้งนี้ อาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป

คำตอบข้อที่ 2 Hypertumors ใช่ ตามนั้นเลย Hypertumors ตั้งชื่อล้อตาม Hyperparasite ที่หมายถึง ปรสิต ของ ปรสิต Hypertumors ก็คือ เนื้องอก ของ เนื้องอก เหล่าเซลล์มะเร็งนั้น อาจจะสามารถแตกคอกันได้ โดยปกติแล้ว เซลล์จะทำงานร่วมกันเพื่อก่อตัวเป็นอวัยวะ, เนื้อเยื่อ หรือ เป็นองค์ประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เซลล์มะเร็งนั้นเห็นแก่ตัว และทำงานเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นของตัวเองเท่านั้น ถ้าพวกมันทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นเนื้องอก กลุ่มก้อนเซลล์มะเร็งขนาดใหญ่ ที่กำจัดทิ้งได้ยาก กว่าจะเป็นเนื้องอกนั้น ก็ไม่ได้ง่าย เซลล์มะเร็งเป็นล้านๆ เซลล์เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วนั้น จะต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานเป็นจำนวนมาก สารอาหารที่พวกมันสามารถแย่งชิงมาจากร่างกาย เริ่มเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต



ดังนั้น เนื้องอกจึงหลอกให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ เชื่อมต่อโดยตรงไปยังเนื้องอกเลย เพื่อป้อนอาหารให้กับสิ่งที่กำลังฆ่าตัวมันเอง ด้วยธรรมชาติของเซลล์มะเร็ง อาจจะกำลังเป็นหายนะแก่พวกมันเอง เซลล์มะเร็งมีความไม่เสถียรเป็นพื้นเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นพวกมันก็ยังคงกลายพันธ์ุต่อไปเรื่อยๆ บางตัวก็กลายพันธ์ุเร็วเพื่อน ถ้าพวกมันเป็นอย่างนี้ต่อไปซักพัก ณ จุดๆนึง เซลล์มะเร็งซักตัวหนึ่งที่เป็นตัวสำเนา ที่มาจากตัวสำเนา ที่มาจากตัวเซลล์ต้นแบบ อาจจะเริ่มคิดว่าตัวมันเองนั้นเป็นตัวต้นแบบ แล้วก็เลิกให้ความร่วมมือกับ กลุ่มเซลล์มะเร็งต้นแบบที่มันจากมา ซึ่งหมายความว่า เซลล์มะเร็งกลุ่มแรกนั้น กลายเป็นศัตรูของมันทันที แล้วต่อสู้เพื่อแย่งชิงสารอาหารและทรัพยากร

ดังนั้น เซลล์มะเร็งกลุ่มใหม่ก็จะสามารถสร้าง Hypertumors ได้ แทนที่จะช่วยเหลือ พวกมันตัดเส้นเหลือที่หล่อเลี้ยงมะเร็งตัวเก่าที่สร้างมันมา ซึ่งทำให้มะเร็งตัวเก่าขาดสารอาหารตาย มะเร็งกำลังฆ่ามะเร็ง กระบวนการนี้ สามารถเกิดขึ้นซ้ำไป ซ้ำมา และนี้อาจจะเป็นการป้องกันมะเร็งไม่ให้เป็นปัญหา ในอวัยวะขนาดใหญ่ เป็นไปได้ว่า สัตว์ขนาดใหญ่อาจมี hypertumors มากกว่าที่เราคิด แค่มีขนาดไม่ใหญ่พอที่จะแสดงอาการ ซึ่งก็เป็นไปได้ เพราะว่า เนื้องอก 2 กรัม คิดเป็น 10% ของน้ำหนักตัวของหนู น้อยกว่า 0.002% ของมนุษย์ และ 0.000002% ของวาฬน้ำเงิน โดยที่เนื้องอกทั้งสาม มีจำนวนการแบ่งตัวที่เท่ากัน และมีจำนวนเซลล์ที่เท่ากัน

ดังนั้นวาฬน้ำเงินอาจจะเต็มไปด้วยมะเร็งก้อนเล็กๆ แต่ก็ไม่ต้องแคร์อะไร มีคำตอบอื่นอีกสำหรับอธิบายความขัดแย้งของพีโต เช่น ความแตกต่างของระดับการเ ผาผลาญพลังงาน หรือโครงสร้างเซลล์ที่แตกต่างกัน แต่ตอนนี้ พวกเรายังไม่รู้ นักวิทยาศาสตร์ กำลังแก้ไขปัญหานี้อยู่ หาคำตอบว่าสัตว์ขนาดใหญ่สามารถปรับตัวเข้ากับโรคที่ร้ายแรงที่สุดโรคนึงที่เรารู้จักได้อย่างไร ก็จะสามารถเปิดทางสู่วิธีการรักษาแบบใหม่ มะเร็งนั้นเป็นอะไรที่ท้าทายมาโดยตลอด วันนี้ ในที่สุดเราก็เริ่มเข้าใจมันแล้ว และต่อไป ในสักวันนึง เราก็อาจจะเอาชนะมันได้
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

จุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง - บิ๊กแบง

ทฤษฏีที่บอกว่าเอกภพ ได้เกิดขึ้นและมีวันสิ้นสุด จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า เอกภพไม่มีวันสิ้นสุดและไม่มีอายุขัย จนทฤษฏีของไอน์ไสตน์ ได้อธิบายเกี่ยวกับแรงดึงดูดได้ดีกว่า และเอ็ดเวิร์ด ฮับเบิ้ล ได้ค้นพบว่า จักรวาลกำลังเคลื่อนที่ออกจากกัน ซึ่งสอดคล้องกันกับการทำนายก่อนหน้านี้



ในปี 1964 รังสีคอสมิคได้ถูกค้นพบโดยบังเอิญ ซึ่งเป็นหลักฐานของยุคแรกหลังการเกิดจักรวาล ร่วมกับหลักฐานอื่นๆ แล้วทำให้ ทฤษฏี "การเกิดบิ๊กแบง" ได้รับการยอมรับ ต่อมา โลกก็มีการพัฒนาเทคโนโลยี กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลทำให้เราได้ปะติดปะต่อภาพรวมเกี่ยวกับ การเกิดบิ๊กแบงและโครงสร้างของจักรวาล เมื่อเร็วๆ นี้ หลายหลักฐานชี้ว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยความเร่ง แต่ "บิ๊กแบง" เกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ จะมีบางอย่างสิ่งเกิดขั้นจากความว่างเปล่าได้หรือ? มาดูกัน!

เราข้ามจุดก่อนเกิดบิ๊กแบงไปเลยแล้วกัน ก่อนอื่น ต้องบอกเลย บิ๊กแบงนั้นไม่ใช่การระเบิด! แต่เป็นการขยายตัวของพื้นที่ว่าง พร้อมๆ กันต่างหาก เอกภพมีขนาดเล็กมากๆ ในช่วงเริ่มต้น และสามารถขยายตัวได้รวดเร็วจนเท่ากับขนาดลูกฟุตบอล เอกภพไม่ได้ขยายตัวเป็นดาวหรืออะไรทั้งนั้น แต่ขยายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า เอกภพไม่ได้ขยายตัวเข้าสิ่งใดเลย เพราะตัวมันเองก็ไม่มี "ขอบ" หมายความว่า ไม่มี "ขอบ" ก็ไม่มี "ข้างนอก" ของเอกภพเหมือนกัน เอกภพก็มีเพียงเท่านี้ ในสภาพที่ร้อน หนาแน่นแบบนี้ พลังงานได้แสดงตัวเป็นอนุภาคที่มีอยู่ชั่วประเดี๋ยวจากกลูออน คู่ของควาร์กได้ถูกสร้างขึ้นซึ่งพุ่งเข้าชนกันเอง เมื่อมีกลูออนที่มากขึ้น นั่นทำให้เกิดควาร์กที่หาคู่ชนกันขึ้นมาอีก สสารและพลังงานในตอนนี้มันไม่ได้แยก และเท่ากันตามทฤษฎี สภาวะนั้นมันร้อนมากจนแทบจะแยกสสารและพลังงานไม่ออก จนจู่ๆ สสารก็ชนะปฏิสสารในตอนนนั้น และปัจจุบันนี้เรามีแค่เพียงสสารเท่านั้นที่อยู่กับเรา

แต่เพราะบางอย่างทำให้อนุภาคสสารหนึ่งพันล้านหนึ่งตัวก่อตัวขึ้น สำหรับทุกๆ หนึ่งพันล้านอนุภาคปฏิสสาร (มันมีไม่เท่ากัน) แล้วแทนที่จะมีแค่หนึ่งแรงขนาดใหญ่ในจักรวาล มีแรงหลายแบบกระทำกันได้ภายใต้กฏโดยเงื่อนไขต่างๆ ถึงตอนนี้ เอกภพยืดออกจนเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นพันล้านกิโลเมตร ซึ่งนำไปสู่การเย็นตัวลง วัฏจักรของการเกิดควาร์กและเปลี่ยนไปเป็นพลังอย่างทันที ได้ยุติลง ต่อจากนี้ไป เราจะอธิบายเท่าที่เราได้เข้าใจ(ความรู้เท่าที่มีอยู่)ควาร์กหลายตัวเริ่มก่อตัวเป็นอนุภาคใหม่ คือ ฮาดรอน อย่างเช่น โพรตอน และนิวตรอน การรวมตัวของควาร์กมีหลายแบบทำให้เกิดฮาดรอนหลายประเภท แต่มีเพียงการรวมตัวบางแบบที่คงตัวอยู่ได้นาน

ที่เล่ามาทั้งหมด นี่คือสิ่งที่เกิดในหนึ่งวินาที หลังการเกิดบิ๊กแบงนะ เอกภพขยายไปมากถึง 100 พันล้านกิโลเมตร เย็นตัวลงพอที่จะทำให้นิวตรอนส่วนใหญ่สลายไปเป็นโปรตรอน แล้วก่อตัวเป็นอะตอมไฮโดรเจนตัวแรก นึกภาพ เอกภพ ณ จุดนี้ ยังกะซุปร้อน 10 พันล้านองศาเซลเซียส เต็มไปด้วยอนุภาคนับไม่ถ้วนและพลังงานมหาศาล ผ่านไปสองสามนาที สิ่งต่างเย็นตัวและคงตัวอย่างรวดเร็ว อะตอมจากฮาดรอนและอิเล็กตรอนทำให้เกิดสภาพที่เสถียรและประจุเป็นกลาง บ้างก็เรียกช่วงนี้ว่า ยุคมืด เพราะไม่มีดวงดาว และแก๊สไฮโดรเจนก็ไม่ยอมให้แสงที่มองเห็นได้ทะลุผ่าน แต่ "แสงที่มองเห็นได้" นิยามมันคืออะไรกันแน่? เมื่อไม่มีสิ่งมีชีวิตมีตาไปมองเห็นแสง พอแก๊สไฮโดรเจนเกาะกลุ่มกันหลังจากหลายล้านปีผ่านไป และแรงโน้มถ่วงทำให้มันอยู่ภายใต้แรงกดดันสูง กำเนิดดวงดาวและกาแล็กซี่ได้เริ่มขึ้น การแผ่รังสีของมันทำให้แก็สไฮโดรเจนกลายเป็นพลาสมา ซึ่งยังคงแผ่ซ่านไปทั่วเอกภพจนทุกวันนี้และยอมให้แสงผ่านได้ นี่แหละจุดกำเนิดของแสง



โอเค แต่แล้ว ส่วนที่เราไม่ได้พูดถึงล่ะ? เกิดอะไรขึ้นก่อนบิ๊กแบงและย้อนไปถึงตั้งแต่แรกจริงๆ? ส่วนนี้เรานิยามว่าการเกิดบิ๊กแบงคือจุดเริ่มต้น เกิดอะไรขึ้นก่อนนี้ เราแทบจะไม่มีความรู้เลย เครื่องมือเราพังลง (ยังไม่มีหลักฐานและทฤษฎี) กฏธรรมชาติไม่เป็นแบบที่เราเข้าใจ เวลาเองก็แปลกไป จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ณ จุดนี้ได้ เราต้องการทฤษฎีที่รวม สัมพันธภาพของไอสไตน์และกลศาสตร์ควอนตัม เป็นหนึ่งเดียว มันเป็นอะไรที่นักวิทยาศาสตร์มากมายกำลังไขคำตอบกันอยู่ ณ ตอนนี้ แต่นี่ก็ได้ทิ้งคำถามที่ไม่มีคำตอบไว้ให้เรามากมาย เช่น มีเอกภพก่อนหน้าเอกภพเราตอนนี้หรือไม่? เอกภพมีเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่? อะไรทำให้เกิดบิ๊กแบง? หรือ มันแค่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยกฏที่เรายังไม่เข้าใจ? เรายังไม่รู้ และ บางที เราจะไม่มีทางรู้เลย แต่ที่เรารู้ คือ เอกภพที่เรารู้จักเกิดจากบิ๊กแบงจุดนี้เอง และให้กำเนิดอนุภาคหลากหลาย กาแล็กซี่ และ ดวงดาวมากมาย รวมถึงโลก และคุณด้วย! เพราะว่าตัวเราเองนั้นประกอบขึ้นจากเศษเสี้ยวของฝุ่นดาว(อนุภาคและสสาร) เราไม่ได้แยกจากเอกภพ เราเป็นส่วนหนึ่งของมัน เรียนรู้เอกภพคือเรียนรู้ตัวเอง (เราเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ) เช่นนั้นแล้ว เรียนรู้มันจนกระทั่งไม่มีคำถามใดใดเหลือ

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel


โคโรน่าไวรัส COVID-19 สิ่งที่ควรรู้และสิ่งที่ต้องทำ

ในเดือนธันวาคม 2562 ทางการจีนได้แจ้งให้ชาวโลกได้รู้ว่ามีไวรัสชนิดหนึ่งกำลังระบาดในประเทศ ไม่กี่เดือนต่อมา ไวรัสตัวนี้กระจายไปยังหลายประเทศ ยอดผู้ป่วยเพิ่มเป็นเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่วัน ชื่อไวรัสชนิดนี้คือ โคโรนาไวรัสสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 ซึ่งก่อให้เกิดโรค COVID-19 หรือที่คนทั่วไปมักเรียกง่าย ๆ ว่าโคโรนาไวรัส จริง ๆ มันส่งผลอย่างไรกับเราหลังติดเชื้อนี้? และพวกเราควรรับมืออย่างไร?



ไวรัสเป็นเพียงสารพันธุกรรมที่ถูกหุ้ม รวมกับโปรตีนบางชนิด ไม่อาจเรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตได้ด้วยซ้ำ มันสามารถขยายจำนวนได้ผ่านการเข้าสู่เซลล์ที่มีชีวิต โคโรนาสามารถแพร่กระจายผ่านพื้นผิวต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามันจะอยู่บนพื้นผิวได้นานขนาดไหน ดูเหมือนว่าช่องทางหลักของการติดต่อจะผ่านละอองที่มีคนไอ หรือตอนที่คุณจับผู้ป่วย และจับหน้าตัวเอง ขยี้ตา หรือจับจมูก ไวรัสเริ่มต้นเข้าสู่ร่างกายผ่านจุดนี้ ก่อนที่จะเข้าสู่ส่วนที่ลึกลงไป จุดหมายของพวกมันคือลำไส้ ม้าม หรือปอด ซึ่งพวกมันสร้างผลกระทบได้รุนแรงที่สุด แค่ไวรัสโคโรนาเพียงจำนวนเล็กน้อย สามารถสร้างสถานการณ์ที่ลำบากพอตัวได้เลย

ในปอดมีเซลล์เยื่อบุผิวอยู่นับพัน ๆ ล้านตัว พวกนี้เป็นเหมือนพรมแดนของร่างกายคุณคอยบุผิวอวัยวะภายในและชั้นเยื่อเมือกเอาไว้ ซึ่งกำลังจะติดเชื้อในไม่ช้า โคโรนาไวรัสจะเชื่อมต่อกับตัวรับพิเศษตัวหนึ่ง ของเยื่อหุ้มเซลล์ของเหยื่อ เพื่อแทรกซึมสารพันธุกรรมของมันเข้าไป เซลล์ซึ่งไม่รู้ตัวกับสิ่งจะที่เกิดขึ้นก็เริ่มทำตามคำสั่งง่าย ๆ ที่ได้รับมาใหม่ ก็อปปี้ และประกอบร่าง เซลล์จะเริ่มเต็มไปด้วยก็อปปี้ของไวรัสดั้งเดิมจำนวนมาก จนกระทั่งถึงจุดวิกฤติ และได้รับคำสั่งสุดท้าย ทำลายตัวเองทิ้ง เซลล์ก็จะสลายตัวเองไป ปล่อยโคโรนาชุดใหม่จำนวนมาก ซึ่งเตรียมพร้อมจะโจมตีเซลล์อื่น ๆ ต่อไป จำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อเติบโตอย่างทวีคูณ หลังจากสิบวัน ประมาณหนึ่งล้านเซลล์จะติดเชื้อ และมีไวรัสประมาณพันล้านตัวอยู่ในปอด ไวรัสยังไม่สร้างความเสียหายมากนักจนถึงตอนนี้

แต่ตัวร้ายที่แท้จริงกำลังจะออกมา นั่นคือระบบภูมิคุ้มกันของคุณเอง ถึงระบบภูมิคุ้มกันจะมีไว้ปกป้องคุณก็ตามที แต่มันก็สามารถทำอันตรายกับตัวคุณได้เช่นกัน จึงต้องการการควบคุมอย่างเข้มงวด และระหว่างที่เซลล์ภูมิคุ้มกันหลั่งไหลเข้าไป เพื่อสู้กับไวรัส โคโรนาก็แทรกซึมไปยังเซลล์เหล่านั้น และสร้างความสับสนขึ้นมา เซลล์ไม่มีหูหรือตา พวกมันสื่อสารกัน ผ่านโปรตีนสื่อสารเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าไซโตไคน์ ระบบภูมิคุ้มกันแทบทุกอย่างถูกไซโตไคน์ควบคุมอยู่ โคโรนาทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันที่ติดเชื้อทำหน้าที่เกินขอบเขต และเข้าสู่สภาวะ "ฆ่ามันให้หมด"

พูดง่าย ๆ ก็คือทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันคลุ้มคลั่งและส่งทหารมาเกินความจำเป็น ใช้ทรัพยากรอย่างสูญเปล่าและสร้างความเสียหายซะเอง มีเซลล์อยู่สองชนิดที่อาละวาด ตัวแรกคือนิวโทรไฟล์ ซึ่งเก่งเรื่องฆ่าฟัน ซึ่งรวมไปถึงฆ่าเซลล์ของเราเองด้วย เมื่อพวกมันมาถึงเป็นพัน ๆ ตัว พวกมันจะเริ่มหลั่งเอนไซม์ ซึ่งฆ่าพวกเดียวกันไปพอ ๆ กับที่ฆ่าศัตรู เซลล์สำคัญอีกหนึ่งชนิดที่คลุ้มคลั่ง คือเซลล์ T พิฆาต ซึ่งปกติจะออกคำสั่งให้เซลล์ที่ติดเชื้อทำการฆ่าตัวตาย แต่เมื่ออยู่ในภาวะสับสน มันก็เริ่มออกคำสั่งให้เซลล์ปกติทั่วไป ให้ฆ่าตัวตายไปด้วย ยิ่งเซลล์ภูมิคุ้มกันมากันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเสียหายและทำลายเนื้อเยื่อปอดมากเท่านั้น นี่อาจจะเลวร้ายได้ ถึงขั้นที่สร้างความเสียหายถาวร ที่นำไปสู่ความพิการตลอดชีวิต

ในเคสส่วนใหญ่ ระบบภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ กู้คืนการควบคุมได้ มันจะกลับมาฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อ ขัดขวางไวรัสที่จะแทรกซึมเซลล์ใหม่และเก็บกวาดสมรภูมิ หลังจากนั้นเราจะเริ่มฟื้นตัวผู้ติดเชื้อโคโรนาส่วนใหญ่นั้นสามารถรอดไปได้ด้วยอาการไม่รุนแรงนัก แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นวิกฤติ เราก็ไม่รู้ตัวเลขที่แน่นอนเพราะยังมีผู้รอการยืนยันอีกมาก แต่เราค่อนข้างมั่นใจว่ามีผู้ป่วยรุนแรงเยอะกว่าไข้หวัดใหญ่อยู่มาก ในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง เซลล์เยื่อบุผิวจะตายเป็นล้าน ๆ และการปกป้องปอดก็หายตามไปด้วย นั่นหมายความว่าถุงลมของเรา ถุงอากาศเล็ก ๆ ที่ทำการหายใจให้เรา สามารถติดเชื้อแบคทีเรียที่ปกติจะไม่ก่อปัญหา

คนไข้จะเริ่มมีอาการปอดบวม การหายใจจะเริ่มยากขึ้นหรือล้มเหลวไปเลย และต้องต่อเครื่องช่วยหายใจเพื่อให้รอด ระบบภูมิคุ้มกันจะสู้เต็มอัตราศึกหลายสัปดาห์ และสร้างอาวุธต่อต้านไวรัสมานับล้าน และเมื่อแบคทีเรียนับพันเรื่มเพิ่มจำนวน พวกมันก็จะชนะอย่างขาดลอย พวกมันเข้าสู่กระแสเลือดและอาละวาดไปทั่วร่างกาย ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น โอกาสเสียชีวิตมีสูงมาก โคโรนาไวรัสถูกเปรียบเทียบกับไข้หวัดใหญ่อยู่บ่อยครั้ง แต่จริง ๆ แล้ว มันอันตรายกว่ามาก แม้อัตราการตายจริงๆจะยังระบุชัดไม่ได้ เพราะการระบาดยังดำเนินอยู่ เรารู้แน่ชัดแล้วว่ามันติดต่อได้ง่ายมาก และแพร่กระจายเร็วกว่าไข้หวัดใหญ่มาก มันมีอนาคตอยู่สองแบบสำหรับการระบาดแบบโคโรนา คือแบบเร็ว กับแบบช้า เราจะได้เห็นอนาคตแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราเอง

ในช่วงที่การระบาดเริ่มต้น การระบาดแบบเร็วจะเลวร้ายมากและคร่าชีวิตมหาศาล ส่วนการระบาดแบบช้าอาจจะไม่ถูกบันทึกไว้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์ กรณีเลวร้ายสุด ๆ สำหรับการระบาดแบบเร็ว เริ่มมาจากการที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ๆ ในเวลาอันสั้น เพราะไม่มีมาตรการป้องกัน ที่ทำให้การติดเชื้อลดน้อยลง ทำไมมันถึงแย่นักน่ะหรือ ในการระบาดแบบเร็ว มีคนป่วยจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ถ้าจำนวนมีมากเกินไปแล้ว ระบบสาธารณสุขจะไม่สามารถรับมือไหว ทรัพยากรบางอย่าง เช่นเจ้าหน้าที่ หรือเครื่องช่วยหายใจ จะมีไม่พอสำหรับทุก ๆ คน ผู้คนจะตายโดยไม่ได้รับการรักษา และเมื่อเจ้าหน้าที่แพทย์เริ่มป่วยซะเอง ขีดความสามารถในการรักษาก็จะลดน้อยลงไปอีก



ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราจะเจอเหตุการณ์ที่จะต้องเลือกว่าคนไหนจะได้อยู่รอด และคนไหนจะถูกปล่อยให้ตาย ยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ในการระบาดแบบเร็วนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นแบบนั้น โลกนี้ ซึ่งก็คือพวกเราทุก ๆ คน ต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้การระบาดเป็นแบบช้า การระบาดจะช้าลงได้ด้วยการรับมือที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรก เพื่อที่ผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการรักษา และจะไม่มีช่วงเวลาที่โรงพยาบาลมีผู้ป่วยล้นเกิดขึ้น และเพราะเรายังไม่มีวัคซีนสำหรับโคโรนา เราจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเพื่อเป็นเสมือนวัคซีนทางสังคมเพื่อป้องกันโรค

อธิบายง่าย ๆ คือทำแค่สองอย่างนี้ ไม่ทำตัวให้ติดเชื้อ และไม่ทำให้คนอื่นติดเชื้อ ถึงมันจะฟังดูเล็กน้อย แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่สำหรับคุณคือการล้างมือ จริง ๆ แล้วสบู่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก โคโรนาไวรัสถูกหุ้มด้วยสิ่งที่เปลือกที่มีองค์ประกอบเป็นไขมัน สบู่จะทำลายชั้นไขมันนั้น และทำให้ไวรัสไม่สามารถติดคุณได้ นอกจากนี้สบู่ยังทำให้มือลื่น และจากการเคลื่อนไหวขณะล้างมือ ไวรัสก็ถูกชะล้างออกจนหมด ถ้าจะทำให้ถูกจริง ๆ จงล้างมือคุณให้เหมือน คุณเพิ่งหั่นพริกขี้หนูมา และกำลังจะใส่คอนแทคเลนส์ต่อ

ต่อไปคือการเว้นระยะทางสังคม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่รื่นรมย์นัก แต่เป็นสิ่งที่ควรจะทำ นี่หมายถึง ไม่กอดกัน ไม่จับมือเชคแฮนด์ ถ้าคุณอยู่บ้านได้ ก็อยู่ซะ เพื่อให้คนที่จำเป็นต้องอยู่นอกบ้าน ได้ขับเคลื่อนให้สังคมดำเนินต่อไปได้ ตั้งแต่หมอ พนักงานแคชเชียร์ จนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณต้องพึ่งพาพวกเขา เขาก็ต้องพึ่งพาพวกคุณ ให้คุณไม่ป่วย ในระดับที่ใหญ่ขึ้น มีเรื่องการกักกัน ซึ่งหมายความหลายอย่าง ตั้งแต่ห้ามเดินทาง จนถึงออกคำสั่งให้อยู่แต่บ้านไปเลย การกักกันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีนัก และก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบอย่างแน่นอน แต่มันช่วยซื้อเวลาให้เรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ผู้ที่กำลังวิจัยยารักษาและวัคซีน เพราะฉะนั้นถ้าคุณถูกกักกัน คุณควรจะเข้าใจว่าทำไม และเคารพและยอมรับในเหตุผลเหล่านั้น

ทั้งหมดนี่ไม่มีอะไรสนุกหรอก แต่เมื่อมองภาพที่กว้างขึ้นมันเป็นราคาที่ถูกมากที่จะจ่าย คำถามที่ว่าการระบาดนี้จะจบแบบไหน ขึ้นอยู่กับว่าเริ่มยังไง ถ้ามันเริ่มเร็วและชันมาก มันจะจบอย่างเลวร้ายสุด ๆ แต่ถ้ามันเริ่มช้าและไม่ชันมากนัก มันก็จะจบแบบ...พอโอเค และในเวลานี้ ทั้งหมดมันอยู่ในมือเรา ทั้งเปรียบเปรย และทั้งในมือเราจริง ๆ ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ที่ช่วยเหลือเราทั้งที่แจ้งไปกะทันหัน โดยเฉพาะ Our World In Data สื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์สำหรับ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และความคืบหน้าในการแก้พวกมัน ลองดูเว็บพวกเขาสิ พวกเขามีหน้าเว็บที่อัพเดตอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการติดเชื้อโคโรนาด้วยนะ

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel


Popular Posts