พระเจ้าซุกจง แห่งเกาหลี เมื่อผู้หญิงเป็นหมากการเมือง
ซีรีย์เกาหลีเรื่อง ”ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์” ที่เคยฉายอยู่ในบ้านเรานั้น วาดภาพพระเจ้าซุกจงแห่งราชวงศ์โชซอนให้ออกมาเป็นผู้ชายอารมณ์ดี กึ่งๆจะติงต๊องเล็กๆในบางโอกาส แต่ความจริงแล้วกษัตริย์พระองค์นี้ทรงเป็นนักปกครองที่เก่งกาจ รู้จักวางหมากอย่างแยบคาย จนกลุ่มอำนาจต่างๆที่ยึดพื้นที่ในราชสำนักโชซอนมานาน ต้องสลายตัวไปในรัชสมัยของพระองค์นี่เอง
พระเจ้าซุกจงขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนม์มายุเพียง 14 ชันษา ในปี ค.ศ. 1675 เมื่อครองราชย์ใหม่ๆ การบริหารของพระองค์ก็เป็นไปตามสูตรสำเร็จของพระราชาเกาหลีทุกรุ่น คือถูกพวกขุนนางกลุ่มฝ่ายตะวันตกกลับกลุ่มฝ่ายใต้แย่งกันบงการตามใจชอบ ขุนนางทั้ง 2 กลุ่มนี้สืบทอดอำนาจกันมายาวนานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์เลยทีเดียว และต่างก็เคยชิงความเป็นใหญ่กันเรื่อยมา ขณะที่พระเจ้าซุกจงขึ้นเป็นพระราชากลุ่มตะวันตกกำลังใหญ่คับราชสำนักจึงทูลถวายกึ่งบังคับให้ทรงรับเอาธิดาของขุนนางฝ่ายตะวันตกมาเป็นพระมเหสี นามว่า พระมเหสีอินฮยอน ทั้งๆที่พระเจ้าซุกจงทรงรักอยู่กับคุณหนูจางของขุนนางฝ่ายใต้ หรือก็คือพระนางสวยสังหารจางฮีบินนั่นงเอง
พระมเหสีจางนั้นตามประวัติศาสตร์เล่าว่าทรงมีสิริโฉมงดงามมาก ขนาดว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของโชซอนเลยทีเลย แต่เมื่อฝ่ายใต้ของนางกำลังตกกระป๋อง ตำแหน่งมเหสีที่หวังไว้จึงต้องชวดฉลูขาลเถาะไปตามระเบียบ กระนั้นพระเจ้าซุกจงก็ยังตั้งให้เป็นพระสนมขั้นที่หนึ่ง ในตำแหน่งฮีบิน
หลังจากพระเจ้าซุกจงครองราชย์จนอายุได้ 20 ชันษา ก็ทรงรู้แจ้งเห็นจริงในสถานการณ์การเมืองว่าถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้พระองค์ก็ไม่แคล้วต้องเป็นหุ่นกระบอกให้ขุนนางเชิดเล่น ไม่ได้บริหารประเทศด้วยพระองค์เองเสียที จึงมีพระดำริจะกวาดล้างเสือสิงกระทิงอรดทั้ง 2 กลุ่ม ที่เพ่นพ่านอยู่เต็มราชสำนักออกไป ที่สำคัญต้องทรงเดินเกมอย่างแนบเนียนไม่ให้มีพิรุธเด็กขาด เพราะคุณสมบัติของพระราชาโชซอนนั้นเน้นเรื่องว่านอนสอนง่ายเป็นสำคัญ ถ้าองค์ไหนทำตังแข็งข้อกับขุนนางก็มักจะมีอันเป็นไปกะทันหัน พระเจ้าซุกจงจึงต้องแสดงละครเป็นราชาผู้อ่อนแอ พร้อมกับแอบสนับสนุนขุนนางฝ่ายใต้ให้เข้มแข็งขึ้นอย่างช้าๆ ใช้เวลานานถึง 9 ปี ขุนนางฝ่ายได้จึงแข็งแกร่งพอจะทานอำนาจกับฝ่ายตะวันตกได้ (ที่ในละครวาดภาพพระเจ้าซุกจงทรงติงต๊องนิดๆ อาจจะเอามาจากบุคลิกในช่วงนี้ก็เป็นได้)
เมื่อกำลังพลพร้องแล้ว พระเจ้าซุกจงก็หาสาเหตุปลดพระนางอินฮยอน มเหสีผู้เป็นแกนอำนาจของฝ่ายตะวันตกลง แล้วเนรเทศไปนั่งปลูกผักอยู่นอกวัง จากนั้นก็เลื่อนสนมจางขึ้นดำรงตำแหน่งพระมเหสี ทำให้คลื่นอำนาจเปลี่ยนขั้วไปอยู่ในอุ้งมือขุนนางฝ่ายใต้แทน นับจากนั้นในวังก็เกิดมหกรรมการใส่ร้ายป้ายผิดให้ขุนนางฝ่ายตะวันตกกันขนานใหญ่ เล่าเอาฝ่ายตะวันตกทยอยตายกันเป็นใบไม้ร่วง โดยที่พระเจ้าซุกจงทรงทำเป็นไม่รู้ ขุนนางว่าใครผิดต้องย้ายหัวกับตัวออกจากกัน ก็ทรงเซ็นอนุมัติไปตามแต่ผู้ใหญ่ท่านจะบัญชา อิทธิพลของฝ่ายตะวันตกที่สั่งสมมานานหลายรัชกาล จึงมาจบลงในรัชสมัยของพระองค์นี่เอง
การที่พระมเหสีอินฮยอนถูกปลดไป ทำให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้ก้างเข้ามาในหน้าประวัติศาสตร์ของเกาหลี เธอก็คือพระสนมชอยซุกบินหรือทงอีของแฟนละครนั่นเอง สนมชอซุกบิน เกิดเมื่อปี 1670 เป็นลูกหลานตระกูลชอยผู้ปกครองจังหวัดนามยาง ชาติกำเนิดที่แท้จริงของนางจึงไม่ได้เป็นชนชั้นต่ำอย่างในละครทงอี เป็นนางกำนัลในตำหนักของพระมเหสีอินฮยอน แต่พอเจ้านายถูกเตะโด่งไปนุ่งขาวห่มขาวอยู่นอกวัง นางกำนัลทั้งตำหนักก็ตกกระป๋องถูกลดชั้นไปเป็นเจเนอรัลเบ๊ ตัวทงอีถูกลดไปเป็นเด็กตักน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้ดิบได้ดีเมื่อมาพบรักกับพระเจ้าซุกจง การพบกันของทั้งคู่กับมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า
“คืนหนึ่งที่พระเจ้าซุกจงแอบแต่งตัวเป็นสามัญชนเพื่อออกไปเที่ยวนอกวังตามที่พระองค์ทำมาตั้งแต่หนุ่ม ขากลับเข้าวัง ทรงได้ยินเด็กตักน้ำกำลังสวดภาวนาต่อดวงจันทร์ ให้กับพระมเหสีอินฮยอนที่ถูกปลดไป สำเนียงแห่งความจริงใจนั้นจับใจพระเจ้าซุกจงยิ่งนัก จึงให้ขันทีประจำพระองค์เรียกเด็กตักน้ำคนนี้เข้าถวายตัว เหตุนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1693 ซึ่งเป็นปีที่ 19 ในรัชสมัยของกษัตริย์ซุกจง”
หลังจากถวายตัวแล้ว เด็กตักน้ำทงอีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนางในถวายตัวในระดับซุก-วอน เมื่อมีพระโอรสถวายก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นสนมลำดับที่ 2 ในตำแหน่งซุก-อุยและโอรสของนางต่อมาก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ายองโจ. แต่บทบาทของทงอีไม่ได้มีมากมายอยากในละคร ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ เพียงว่าในปี ค.ศ. 1695 สนมชอยซุกบินก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นสนมกวี-อินและอีก 4 ปีต่อมาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นสนมชั้นสูงสุด นั่นคือระดับ "บิน" ซึ่งถืิว่าเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับฝ่ายในเป็นรองก็เพียงพระมเหสีเท่านั้น นางเสียชีวิตในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1718 ซึ่งเป็นปีที่ 44 ในรัชสมัยของพระเจ้าซุกจง หลังจากพระเจ้ายองโจพระโอรสปราบดาภิเษกเป็นพระราชา ก็ทรงเลื่อนขั้นให้พระมารดาขึ้นอีกหลายขั้นเกือบจะเทียบเท่าพระพันปีเลยทีเดียว
กลับมาพูดถึงเกมการเมือง ในราชสำนักกันอีกนิดเมื่อฝ่ายตะวันตกถูกล้างบางเหี้ยนเตียนไปแล้วขุนนางฝ่ายใต้ก็เริ่มกร่างคับวังขึ้นมาใหม่พระเจ้าซุกจงจึวต้องออกแรงเด็ดปีกหางคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหล่านี้อีกรอบ โดยจัดฉากให้ค้นพบหลักฐานว่าอดีตพระมเหสีอินฮยอนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องลดชั้นพระมเหสีจางผู้ที่ทรงรักหนักหนา ลงไปเป็นสนมจางฮีบินตามเดิมแล้วคืนตำแหน่งสรีหมายเลขหนึ่งให้กับพระมเหสีอินฮยอน เมื่อปี ค.ศ. 1694
การกลับมาของพระมเหสีฮินฮยอน ก่อให้เกิดการถ่วงดุลย์อำนาจภายในราชสำนัก เพราะถึงแม้ฝ่ายตะวันตกจะมีพระมเหสีเป็นขุมพลัง แต่องค์ชายที่ดำรงตำแหน่งรัชทายาทอยู่ในขณะนั้นเป็นพระโอรสของสนทฮีบิน จึงเท่ากับอิทธิพลของฝ่ายใต้ก็ยังอยู่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1701 หรือ 7 ปีหลังจากที่มเหสีอิยฮยอนกลับมาครองตำแหน่ง จู่ๆ พระเจ้าซุกจงก็ทรงมีพระดำริแผลงๆจะให้องค์รัชทายาทอภิเษกกับหลานสาวของพระมเหสีอินฮยอนขึ้นมา พอได้ยินรับสั่งเข้สเท่านั้น ขุนนางฝ่ายตะวันตะก็ขนลุกซู่ แทบว่าจะวิ่งไปรดน้ำมนต์เก้าวัดกันให้รู้แล้วรู้รอดเพราะหากการจับคู่ดำเนินไปตามแผนการนี้ อำนาจของฝ่ายได้ก็จะไม่มีเหลือ ต้องกลายเป็นลูกคนใช้ไร้สิทธิ์ไร้เสียงในวังหลวงไปในทันที
เกมอำนาจในวังนั้นเล่นกันแบบไม่มีกติการู้เพียงว่าไม่ฆ่าเขาเราก็ม้วย ด้วยเหตุนี้อีกไม่กี่เดือนต่อมา พระมเหสีอินฮยอนก็ประชวรปุบปับแล้วสิ้นพระชนม์ไป ทำให้โครงการอภิเษกของรัชทายาทต้องเบรกเอี๊ยดไปโดยปริยาย แต่ขุนนางฝ่ายใต้ตีปีกฉลองชัยกันได้ไม่นาน ก็มีราชโองการให้จับตัวทุกคนรวมทั้งพระสนมจางฮีบิน ในข้อหาทำคุณไสยสาปแช่งพระมเหสีจนตาย พยานสำคัญในคดีนี้อ้างว่าผ่านไปเห็นเหตุการณ์ด้วยสองตาตัวเอง ขณะที่หมอผีกำลังทำพิธีอยู่ในตำหนักของพระสนมฮีบินพอดิบพอดีรับรองไม่มีการจับแพะอย่างแน่นอน
ปกติถ้ามีใครมาอ้างอย่างนี้ ไม่เกิน 24 ชั่วโมง คนพูดคงถูกตะครุบตัวไปตัดหัวข้อหาแหลไม่ดูตาม้าตาเรือ เนื่องจากตำหนักของพระสนมฮีบินนั้นทีการป้องกันแน่นหนา จัดเป็นถ้ำเสือแห่งหนึ่งของวังหลวงเลยทีเดียว แต่บังเอิญว่าพยานขี้โม้รายนี้มีชื่อว่าพระเจ้าซุกจง ขุนนางน้อยใหญ่จึงได้และน้ำลายติดคอ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าโอกาสที่จะเสด็จเข้าไปเห็นเหตุการณ์ได้ประจวบเหมาะราวกับมีคนบอกบทนั้น ยากเย็นยิ่งกว่าให้ลิงตกต้นไม้เสียอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนกรายเสียงแข็ง ขุนนางฝ่ายใต้ก็ชะตาถึงฆาตเกือบทั้งหมดถูกประหาร บ้างก็ถูกเนรเทศหรือถูกส่งไปใช้แรงงาน แม้แต่เส้นก๋วยจั๊บอย่างพระสนมจางก็ยังไม่พ้นอาญาแผ่นดิน นางถูกพระราชทานยาพิษให้ดื่มในวันที่ 10 ตุลามคม ค.ศ. 1701 ขณะมีอายุได้ 42 ปี
ยุทธการเสี้ยมเมียคนนั้นให้ชนกับเมียคนนี้จากนั้นก็รวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวของพระเจ้าซุกจงเป็นผลสำเร็จแล้ว ในที่สุดอำนาจบริหารในราชสำนักทั้งหมดก็กลับมาอยู่ในกำมือของพระองค์´สมดังที่ทรงตั้งปณิธาน จากสายตาคนภายนอกอย่างเรา อาจจะมองว่าพระเจ้าซุกจงนั้นเลือดเย็นไร้หัวใจเสียเหลือเกินที่ใช้เมียเป็นหมากในเกมการเมืองคนแล้วคนเล่า หนำซ้ำบทจะกวาดล้างก็สั่งประหารได้อย่างไม่ปราณี แต่ถ้ามองในแง่ของนักปกครอง นี่คือกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาอย่างแท้จริง ทั้งยังมีหัวใจรักที่เต็มเปี่ยม
...สตรีที่พระเจ้าซุกจงรักที่สุดมีชื่อว่า โชซอน ประเทศชาติของพระองค์นั่นเอง...