google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

กระแสน้ำมหาสมุทรและระบบลม

สายพานลำเลียงแห่งมหาสมุทรและกระแสน้ำอุ่น (Gulf Stream) กระแสน้ำมหาสมุทรมีอิทธิพลโดยตรงต่อชีวิตของเรา มันกำหนดสภาพอากาศ ภูมิอากาศ และอีกหลายอย่างของเรา กระแสน้ำมหาสมุทรและระบบลม นำพาความร้อนจากเส้นศูนย์สูตรมาสู่ขั้วโลก และกระบวนการคล้ายกับเครื่องจักรขนาดใหญ่สำหรับภูมิอากาศโลก ในมหาสมุทร มีกระแสน้ำจำนวนมาก สิ่งที่เรียกว่า สายพานลำเลียงแห่งมหาสมุทร คือสิ่งที่สำคัญต่อภูมิอากาศของเรา คำๆ นี้อธิบายการรวบตัวกันของกระแสน้ำ ซึ่งมีผลคือ 4 ใน 5 ของมหาสมุทรโลกแลกเปลี่ยนน้ำระหว่างกัน พวกมันก่อให้เกิดระบบหมุนเวียนระดับโลก สายพานลำเลียงถูกเรียกว่า การไหลเวียนของเทอร์โมฮาไลน์ (Thermohaline Circulation) คำว่า "เทอร์โม" อ้างอิงถึงอุณหภูมิ และคำว่า "ฮาไลน์" สำหรับส่วนที่เป็นเกลือของน้ำ ทั้งสองอย่างกำหนดความหนาแน่นของน้ำ



ในระหว่างที่มวลของน้ำถูกเคลื่อนที่บางส่วนโดยลม แต่โดยหลักแล้วความแตกต่างของความหนาแน่นในมหาสมุทรโลก มีส่วนในการเคลื่อนไหวมากกว่า น้ำอุ่นมีความหนาแน่นน้อยกว่าและลอยขึ้นในขณะที่น้ำเย็นจมลง ความหนาแน่นของน้ำมากขึ้นโดยการที่มีเกลือมากขึ้นด้วย ณ เส้นศูนย์สูตร ความร้อนจากดวงอาทิตย์มีความแรงมากกว่า ซึ่งเป็นผลให้มีการระเหยจำนวนมากและทำให้เกลือให้น้ำมีมากขึ้น และนั่นคือที่ที่กระแสน้ำอุ่นเริ่มต้นขึ้น กระแสน้ำอุ่นสำคัญมากต่อภูมิอากาศยุโรป ความยาวถึง 10,000 กิโลเมตรทำให้นี่คือกระแสน้ำที่ยาวและเร็วที่สุดบนโลก และมันอุ่นมากๆ ที่ความเร็วประมาณ 2 เมตร ต่อ วินาที จะนำพาน้ำ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อ วินาที ไปยังยุโรป และทำให้เกิดลมพัดจากตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ลมค้า (Trade Wind) ผลักดันผิวน้ำอุ่นไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปสู่อ่าวเม็กซิโก ที่ๆ อุณหภูมิสูงขึ้นไปถึง 30 องศา เซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเลี้ยวของโลกและลมจากทิศตะวันตกจะพากระแสน้ำอุ่นสู่ยุโรปและแยกมันออก ส่วนหนึ่งไหลไปทางใต้ อีกส่วนไปทางตะวันออก สู่ กระแสน้ำคานารี (Canary Current) และส่วนที่สามไหลไปทางเหนือ ที่ซึ่งมันจะปล่อยความร้อนจำนวนมาก ไปทางชั้นบรรยากาศ ทึซึ่งกระน้ำแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Current)

น้ำจะเย็นขึ้นที่ตรงนี้ ปริมาณเกลือและความหนาแน่นจากการระหาย และจะลดลงระหว่างกรีนแลนด์, นอร์เวย์, และไอซ์แลนด์ ทึ่ซึ่งพวกเราจะพบน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก สิ่งที่เรียกว่า ปล่องไฟ (Chimneys) มีความกว้างราว 15 กิโลเมตร และน้ำตกสูงมากถึง 4 พันเมตร น้ำ 17 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือประมาณ 15 เท่าของปริมาณน้ำที่ถูกนำพาโดยแม่น้ำทั้งหมดในโลก สิ่งนี้สร้างน้ำวนอันทรงพลังที่ดึงเข้าน้ำใหม่ๆ ...และคือเหตุผลที่กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังยุโรป สิ่งมีชีวิตหลากสายพันธุ์ได้ใช้กระแสน้ำอุ่นเป็นระบบขนส่งสำหรับการเดินทางของพวกมัน จากแคริบเบียนไปยังบริเวณทางเหนือ แต่มันไม่ได้เอาไปเพียงแค่สัตว์เท่านั้น ยังนำพาอากาศอุ่นปริมาณมหาศาลมากับมันด้วย

ถ้าจะสร้างความร้อนในระดับเดียวกันนี้ที่มาสู่ชายฝั่งยุโรป เราต้องการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 1 ล้านแห่ง และนี่คือเหตุผลที่เราเรียกกระแสน้ำอุ่นว่าปั๊มความร้อน ปราศจากมันอุณหภูมิในบริเวณนี้จะเย็นอย่างมาก อย่างน้อย 5 ถึง 10 องศา แทนจะมีทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม เราจะมีหน้าหนาวที่ยาวนานและน้ำแข็งที่จะปกคลุมดินแดนในยุโรป ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสาตร์และผู้เชี่ยวชาญในสื่อได้ย้ำ การแสดงออกถึงความกลัวที่กระแสน้ำอุ่นจะหยุดไหล จากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เพราะถ้าขั้วโลกละลาย ประมาณเกือบในน้ำ... ...บริเวณกรีนแลนด์จะลดลง รวมถึงความหนาแน่นของมันด้วย กระแสน้ำแอตแลนติกเหนือจะไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และมันจะไม่จมลงอย่างที่เคย



ในกรณีที่แย่ที่สุด มันจะทำให้กระแสน้ำอุ่น หรือเครื่องปั๊มความร้อนของเราหยุดลง ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศบางท่านคาดการณ์ว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจะสามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าว เรารู้ว่ามันสามารถเป็นเรื่องปกติที่สภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลง เมื่อดูการพัฒนาของโลกในไม่กี่ล้านปีที่ผ่านมา มันจะมีช่วงเวลาของยุคน้ำแข็งและยุคที่อบอุ่น ในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย น้ำท่วมที่เกิดจากน้ำแข็งละลายได้ทำลายกระแสน้ำแอตแตกติกเหนือที่น้ำความร้อนมา ทำให้ซีกโลกทางเหนือกลายเป็นน้ำแข็ง นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นแตกต่างกันไปในเรื่องของผลของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ที่มีต่อสายพานลำเลียงแห่งมหาสมุทร แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีความชัดเจน เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ระบบที่ซับซ้อนของกระแสมหาสมุทธและลม ซึ่งเดิมเกือบจะไม่เสถียรตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เรายังไม่เข้าใจ
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านกาลเวลาบนดาวโลก

เราสามารถทำความเข้าใจกับเวลาสั้นๆ ได้โดยง่าย แต่ถ้าหากเรามองไปยังช่วงเวลาที่ยาวนาน มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำความเข้าใจมันทั้งหมด ถ้าเช่นนั้น เราต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ จากนาที จากชั่วโมง จากวัน คุณอาจจะใช้เวลา 24 ที่ผ่านมาไปกับการนอนหลับ, การทำงาน, พร้อมๆ กับกาแฟสักแล้วหนึ่ง! อย่างไรก็ตาม กรุณาดูทีวีให้น้อยลง เอาล่ะ มองไปยังปี 2013 เราแทบจะไม่ทันสังเกตุเลยว่า... บอดี้การ์ดของฮิตเลอร์เสียชีวิตในวัย 96 ปี และในเดือนมิถุนายน นายเอ็ดเวิร์ด สโนเดน เปิดเผยเรื่องราวของ NSA ย้อนไปอีกสักหน่อย ศตวรรษที่ 21 ยังเริ่มต้นและกำลังจะเป็นรูปเป็นร่าง โดยเหตุการณ์ 11 กันยายน ที่นำไปสู่สงครามอิรักครั้งที่ 3 โอ้ ...และเว็บไซต์ Facebook กับ โทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ดึงเอาชีวิตของเราไป แต่เราพึ่งจะเริ่มต้น



ย้อนกันไปอีกหน่อย ศตวรรษที่ 20 มีเหตุการณ์สำคัญเช่นกัน หลังจาก 2 ครั้งของสงครามโลก สงครามเย็นยาวนานกินเวลาเกือบครึ่งศษวรรษ ช่วงชีวิตของคนทั่วๆ ไปอยู่ในช่วงเวลาของเหตุการณ์เหล่านี้ รวมถึงต้นกำเนิดของอินเทอร์เน็ต จุดเริ่มต้นของยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร มนุษย์ที่อายุมากที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ มิซาโอ โอกะวะ ได้เกิดในปี 1898 นั่นหมายความว่าช่วงเวลาที่เธอเกิด ... นั่นใกล้เวลาของนโปเลียน มากกว่าเวลาในยุคปัจจบัน ในช่วงเวลา 500 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมาก การปฏิวัติอุตสาหกรรมนำไปสู่แนวคิดของคอมมิวนิสต์ ชาวไร่กลายเป็นแรงงาน และการกระจายความรู้ทำได้ง่ายมากขึ้น ทฤษฎีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมุมมองของเราต่อตัวเอง และโลกที่เราอาศัย ในช่วงเวลาไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา! ช่วงศษวรรษที่ 15 มีเหตุการณ์มากมายเช่นกัน โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริก และเป็นช่วงเวลาล่มสบายของคอนสแตนติโนเบิลซึ่งเป็นจุดสุดท้ายของยุคกลาง ผู้คนในยุคกลางมีชีวิตกับสงครามแก่งแย่งดินแดนและเรื่องศาสนา ... แต่กาฬโรคได้คร่าชีวิตของผู้คนไปมากกว่าสงคราม โดยเอาชีวิตของชาวยุโรปไปกว่า 1 ใน 3

จนมาถึงช่วงเวลาเหล่านี้ ลองมองกลับไปดูเวลาปัจจุบันของพวกเราสิ! เวลาปัจจุบันของเราสั้นมาก ปี 2013 นั้นเล็กน้อยแทบจะมองไม่เห็น นี่คือบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ปิรามิดถูกสร้างราว 4500 ปีก่อน ในขณะที่ช่วงเวลารุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันคือ 2000 ปีก่อน สำหรับชาวโรมันแล้วปิรามิดเก่าแก่สำหรับพวกเค้า เท่ากับ ที่ชาวโรมันเก่าแก่สำหรับพวกเราในปัจจุบันเลย ประวัติศาสตร์เริ่มต้นจากการบันทึก หากเป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ล่ะ ? ประมาณ 12,000 ปีก่อน การปฏิวัติด้านเกษตรได้เกิดขึ้น มนุษยชาติได้เริ่มต้นการทำกสิกรรม ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มของเมืองและสังคมขนาดใหญ่ และการที่มนุษย์ได้กลายมาเป็นผู้ครอบครองโลก เริ่มจากจุดนี้นี่เอง 90,000 ปีที่แล้ว นีอันเดอร์ทัลและมนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกันที่ยุโรป รู้ไว้ใช่ว่า : นี่คือช่วงเวลาที่ยานอวกาศรุ่นล่าสุด จะใช้ในการเดินทางไปสู่ดาวที่ใกล้ที่สุด (ไม่นับพระอาทิตย์) โฮโมซาเปียน มนุษย์ในปัจจุบันได้วิวัฒนการเมื่อ 200,000 ปีก่อน มองไปยังประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทั้งหมด สิ่งที่เราเรียกกันว่า ศักราช ดูเหมือนจะเล็กลงไปเลยใช่ไหม ? 6 ล้านปีก่อน บรรพบุรุษของเรา... และลิงชิมแพมซีในปัจจุบันมีบรรพบุรุษเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวกัน  และเมื่อ 2.75 ล้านปีก่อน เครื่องมือหินเป็นสิ่งที่ใช้กว้างขวาง และราว 65 ล้านปีก่อนเป็นเวลาที่ยุคไดโนเสาร์สิ้นสุดลงจากการระเบิดครั้งใหญ่ ทำให้ช่วงเวลาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิดขึ้น แต่ไดโนเสาร์ครองโลกมาเป็นเวลานานมากๆ มากกว่า 165 ล้านปี! มันนานมากๆ นั่นหมายความว่า T. Rex ที่มีชีวิตราว 65 ล้านปีก่อน... มีโอกาสที่จะดูคอนเสิร์ตของ Miley Cirus... มากกว่าที่จะเห็นสเตโกซอรัสตัวเป็นๆ ซะอีก ! ชีวิตของสัตว์บนโลกเริ่มต้นราว 600 ล้านปีก่อน สัตว์ยุคแรกสุดเป็นปลาและสิ่งมีชีวิตในน้ำ จากนั้นกลายเป็นแมลงและสัตว์เลื้อยคลาน และท้ายที่สุด ราว 200 ่ล้านปีก่อน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็ถือกำเนิดขึ้น !

สำหรับ "ชีวิต" นั่นเริ่มต้นย้อนไปอีกหน่อย ราว 3600 ล้านปีก่อน ก่อนที่สัตว์จะเริ่มต้นขึ้น ก่อนหน้านั้นราว 2400 ล้านปี เมื่อชีวิตยังเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว ที่มีเซลล์เดียวจำนวนนับไม่ถ้วน และราว 3000 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า มันยากที่จะเข้าใจได้ว่าเซลล์ๆ เดียว... สามารถพัฒนาจนกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเช่นปลา หรือตัวสลอทได้ คำตอบก็คือ ...เวลา ...เวลาจำนวนมาก 2400 ล้านปี เป็นเวลาทั้งหมดของกระบวนการเหล่านี้ ราว 4600 ล้านปีก่อน ดวงอาทิตย์ยังเป็นกลุ่มก้อนของการระเบิด และ 60 ล้านปีถัดจากจุดนั้น โลกถือกำเนิดขึ้น


ในช่วงเริ่มแรก ดาวตกและเศษหินจากอวกาศที่ตกจากอวกาศมาสู่โลก ได้ทำให้โลกมีน้ำ และก่อให้เกิดดวงจันทร์สำหรับนักบินอวกาศได้เดินทางไป แต่สำหรับจักรวาลล้ว ระบบสุริยะของเรานั้นใหม่มาก 13,750 ล้านปีก่อน จักรวาลได้ถือกำเนิดขึ้น และราว 600 ล้านปีถัดจากนั้น กาแลกซี่ของเราได้ถือกำเนิดจากดวงดาวนับพันล้าน แต่... มันมีอะไรก่อนเหตุการณ์บิ๊กแบง จุดกำเนิดจักรวาล? ความจริงคือ... เราก็ยังไม่รู้หรอก และอาจจะไม่มีวันรู้! แต่เราจะใส่สีให้มันแบบนี้ อย่างน้อยๆ เราก็ทำได้แค่นั้น และนี่คือทั้งหมด ของอดีต ตอนนี้เราลองมาดูว่าเรารู้อะไรเกี่ยวกับอนาคตบ้าง ราวๆ 1,000 ล้านปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์จะร้อนมากขึ้นจนชีวิตบนโลกอยู่ไม่ได้ และการตายของดวงอาทิตย์ใน 4,000 ล้านปีให้หลังจะเป็นจุดจบของระบบสุริยะของเรา เอาล่ะ พอกันทีสำหรับระบบสุริยะ ! ... แล้วหลังจากนั้นล่ะ ในช่วงเวลาหลาย ล้าน ล้าน ปี ข้างหน้า ดวงดาวจะไม่กำเนิดใหม่อีก และในวันดาวดวงสุดท้ายของจักรวาลจะตาย มันจะกลายเป็นความมืดมิด และเต็มไปด้วยหลุมดำ และหลังจากนั้นอีกนาน จนหลุมดำอันสุดท้ายหายไป จักรวาลของเราจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของมัน ที่เราเรียกว่า... "HEAT DEATH (ฮีทเดท)" ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว จักรวาลได้ตายตลอดไป

เอาละ ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกแปลกๆ หรือไม่? เราเช่นเดียวกัน! มันเป็นเรื่องธรรมชาติเท่านั้น และข่าวดีคือ... มันยังอีกนานมากๆ ! และเวลาที่สำคัญต่อเรามากที่สุด คือ "ปัจจุบัน"! เวลามีค่า ใช้มันให้คุ้มค่าซะ

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

Hydraulic fracturing หรือ Fracking คืออะไร

ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมานั้น การบริโภคพลังงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพลังงานส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจากถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ ไม่นานมานี้มีการพูดคุยและการถกเถียงอย่างมากมายเกี่ยวกับวิธีที่จะสกัดก๊าซธรรมชาติออกมา นั่นคือ วิธีการ Hydraulic fractuiring หรือ fracking  เอาล่ะ  Fracking นั้นอธิบายถึงการกู้คืนก๊าซธรรมชาติจากใต้ดินชั้นลึกๆของโลก ด้วยวิธีนี้ ก้อนหินที่มีรูพรุนจะแตกร้าวโดยใช้ประโยชน์จากน้ำ ทราย และสารเคมี เพื่อปลดปล่อยก๊าซธรรมชาติที่ถูกห่อหุ้มไว้ออกมา เทคนิคการ fracking นี้เป็นที่รู้จักตั้งแต่ช่วงปี 1940 ถึงอย่างไรก็ตาม ในสิบปีล่าสุดเท่านั้นที่การ fracking ค่อนข้างเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากแหล่งก๊าซธรรมชาติทั่วไปในอเมริกาและทวีปยุโรปนั้นถูกใช้จนหมดเแล้ว  ดังนั้นราคาของก๊าซธรรมชาติและเชื้อเพลิงอื่นๆ จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีที่มีราคาแพงและมีความซับซ้อนสูงอย่าง fracking จึงเป็นที่นิยมและได้ผลประโยชน์ ในขณะเดียวกันการ fracking ถูกใช้มากกว่าล้านครั้งเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 60% ของบ่อน้ำมันและก๊าซใหม่ถูกขุดเจาะโดยการ fracking



ทีนี้ เรามาดูกันเถอะว่าการ fracking นั้นทำงานอย่างไร เริ่มแรก ใช้สว่านเจาะพื้นโลกลงไปหลายร้อยเมตร จากนั้น เจาะรูตามแนวนอนเข้าสู่ชั้นของหินห่อหุ้มก๊าซไว้อยู่  ต่อไป ของเหลวจาก fracking จะถูกสูบฉีดเข้าไปในพื้นโดยเครื่องปั๊มน้ำทรงประสิทธิภาพ  โดยเฉลี่ยแล้ว ของเหลวจะประกอบด้วยน้ำปริมาณ 8 ล้านลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่ใช้ประจำวันสำหรับประชาชน 65,000 คน นอกจากนั้นยังประกอบด้วยทรายหลายตัน และสารเคมี อีกประมาณ 200,000 ลิตร ส่วนผสมเหล่านี้แทรกซึมเข้าไปในชั้นหินและสร้างรอยแตกเล็กๆขึ้นนับไม่ถ้วน ทรายจะกันรอยแตกไม่ให้ปิดตัวลงอีกครั้ง สารเคมีจะทำงานหลายอย่าง เหนือสิ่งอื่นใด พวกมันทำให้น้ำจับตัวกันมากขึ้น กำจัดแบคทีเรีย หรือละลายแร่ธาตุ

จากนั้นของเหลวส่วนใหญ่ของ fracking จะถูกสูบออกมาอีกครั้ง และในตอนนี้เองที่ก๊าซธรรมชาติถูกกู้คืนออกมา ในทันทีที่แหล่งก๊าซหมด รูที่เจาะก็จะถูกปิดผนึก ตามกฏแล้ว ของเหลว fracking จะถูกสูบกลับเข้าไปในใต้ดินชั้นลึกๆและปิดผนึกไว้ในนั้น อย่างไรก็ตาม fracking นั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงหลายประการด้วยกัน ความเสี่ยงหลักๆก็คือ การปนเปื้อนในแหล่งน้ำดื่ม Fracking ไม่เพียงแต่ใช้น้ำปริมาณมากอย่างฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ยังเป็นผลทำให้น้ำมีสิ่งปนเปื้อนและมีความเป็นพิษสูง สิ่งปนเปื้อนนั้นมีความรุนแรงถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ในโรงงานบำบัด ถึงแม้ว่าจะรับรู้ทุกความอันตรายและในทางทฤษฎีแล้วสามารถจัดการได้ แหล่งน้ำที่มีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีสิ่งปนเปื้อนเพราะความเพิกเฉย ยังไม่มีใครรู้ว่าแหล่งน้ำปิดจะมีบทบาทอย่างไรในอนาคต



ตราบใดที่ยังไม่มีการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับหัวข้อนี้ สารเคมีที่ใช้ในการ Fracking นั้นมีตั้งแต่สารที่อันตรายจนถึง พิษร้ายแรงและสารก่อมะเร็ง เช่น เบนซอล หรือ กรดฟอร์มิก บริษัทที่ใช้การ fracking ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดที่แม่นยำของส่วนผสมของสารเคมี แต่เป็นที่รู้กันว่ามีประมาณ 700 สารเคมีที่แต่ต่างกันที่ใช้ในกระบวนการ อีกความเสี่ยงหนึ่งคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก๊าซธรรมชาติถูกกู้คืนโดยการ fracking ที่ประกอบไปด้วยก๊าซมีเทนจำนวนมาก ก๊าซเรือนกระจกนั้นส่งผลกระทบรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า ก๊าซธรรมชาตินั้นมีความรุนแรงต่ำกว่าถ่านหินเมื่อถูกเผา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านลบของ fracking ที่มีต่อสมดุลสภาพอากาศโดยรวมนั้นมีมากขึ้น

อย่างแรก กระบวนการ fracking นั้นต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาล อย่างที่สอง รูที่เจาะจะถูกใช้จนหมดอย่างรวดเร็วและมันยังจำเป็นจะต้องเจาะ รู fracking บ่อยกว่าบ่อก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมมาก ยิ่งไปกว่านั้น ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซที่ถูกกู้คืนจะหายไประหว่างการสกัดและระเหยไปสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นวิธีการ fracking และผลประโยชน์ที่คาดหวังจะต้องถูกประเมิณค่าว่า เมื่อไหร่ที่ผลประโยชน์จะสมดุลกับผลเสีย ? เมื่อถูกใช้อย่างถูกต้อง เทคนิคนี้จะเป็นอีกทางหนึ่ง ในระยะสั้นถึงปานกลาง ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์สำหรับการใช้พลังงานต้นทุนต่ำของพวกเรา แต่สำหรับผลที่ตามมาในระยะยาวของการ fracking ยังทำนายล่วงหน้าไม่ได้ และความเสี่ยงต่อน้ำดิ่มของพวกเรานั้นก็ไม่ควรประมาท
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

ตลาดหุ้นคืออะไร และมันทำงานอย่างไร

ตลาดหุ้นคืออะไร และมันทำงานอย่างไร


ตลาดหุ้นเป็นแค่เครือข่ายยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ที่จัดการตลาด และทุกวันมีเงินมหาศาลถูกย้ายไปมา รวมทั้งหมดเป็นเงิน 60 พันพันล้านยูโร (60,000,000,000,000) ต่อปี ซึ่งมากกว่ามูลค่าของสินค้าและบริการของเศรษฐกิจโลกทั้งหมด แต่มันไม่ใช้แอปเปิลหรือแปลงสีฟันมือสองที่ถูกค้าขายในตลาดนี้ แต่ส่วนมากเป็นหลักทรัพย์ หลักทรัพย์ คือสิทธิ์ที่มีเหนือทรัพย์สิน ส่วนมากในรูปแบบของหุ้น หุ้น หมายถึงหุ้นที่มีในบริษัท แต่ทำไมต้องซื้อขายหุ้นกัน อันดับแรกและสำคัญที่สุด ค่าของหุ้นจะเกี่ยวพันธ์กับบริษัทที่ออกหุ้นน้ัน ถ้าเราเปรียบเทียบมูลค่าของบริษัทเป็น พิซซ่า ถ้าพิซซ่ายิ่งใหญ่ แต่ละชิ้นก็ยิ่งใหญ่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ถ้า Facebook สามารถเพิ่มกำไรโดยใช้โมเดลธุรกิจใหม่ ขนาดของพิซซ่าของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้น และผลตามมาก็คือ หุ้นก็จะเพิ่มราคาด้วย นี้มันดีสำหรับผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ หุ้นที่เคยราคา 38 ยูโร อาจกลายมีราคา 50 ยูโร เมื่อนำไปขายจะได้กำไรหุ้นละ 12 ยูโร แต่ Facebook จะได้อะไรจากการขายนี้ บริษัทสามารถระดมทุนโดยการขายหุ้นและลงทุนหรือขยายกิจการก็ได้ ยกตัวอย่าง Facebook ทำเงิน $60 พันล้าน จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์



แต่การซื้อขายหุ้นมักเป็นการเสี่ยงโชค ไม่มีใครบอกได้ว่าบริษัทไหนจะเจริญหรือไม่ ถ้าบริษัทมีชื่อเสียงดี นักลงทุนก็จะสนับสนุน บริษัทที่ชื่อเสียงไม่ดีหรือสมรรถภาพไม่ดีก็จะขายหุ้นไม่ออก ผิดไปจากตลาดปกติที่เราสามารถหยิบสินค่าและเอามันกลับบ้านได้ ผิดไปจากตลาดปกติที่เราสามารถหยิบสินค่าและเอามันกลับบ้านได้ มันเป็นแต่รูปแบบราคาหุ้น และตารางบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งราคาของมันอาจขึ้นลงภายในเซี่ยววินาที เจ้าของหุ้นจึงต้องตัดสินอย่างฉับไวถ้าจะไม่พลาดโอกาศดี แม้แต่ข่าวลือก็สามารถทำให้ความต้องการหุ้นตกอย่างรวดเร็วไม่ว่ามูลค่าจริงของบริษัทจะเป็นอย่างไร และตรงข้ามก็เป็นไปได้ ถ้าคนจำนวนมากซื้อหุ้นที่อ่อนแอเพราะเขาเห็นว่ามีศักดิ์สูง ราคาของหุ้นก็จะพุ่งสูงขึ้น โดยมากบริษัทใหม่ๆ จะได้ประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้ แม้ยอดขายจะตก เขาสามารถทำเงินสดโดยขายหุ้น

ในกรณีที่ดีที่สุดก็จะทำให้ความคิดเป็นสมจริง ในกรณีเลวร้ายสุดก็จะเกิดฟองสบู่ที่มีแต่ลมร้อน และเหมือนฟองสบู่ทั่วไป สักวันมันจะแตก มูลค่าของบริษัทเยอร์มันที่ใหญ่สุด 30 บริษัทจะสรุปในดัชนีที่เรียกว่า DAX DAX แสดงว่าบริษัทเหล่านี้มีสมรรถนะอย่างไร และจึงเป็นตัวชี้วัดสมรรถนะของเศรษฐกิจทั้งมวลด้วย ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่นก็มีดัชนีของเขาด้วย และทั้งหมดนี้ทำให้เกิดตลาดทั่วโลกที่เป็นเครือข่ายกัน
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

will refinancing hurt my credit va loan multi family va loan after chapter 7 va home loan specialist us bank home mortgage top insurance companies tax debt relief program tax credit for college students structured settlement loan small business loans personal loan rates permanent life insurance payday loans online no credit check loans national guard va home loan mortgage life insurance maximum fha loan amount low cost health insurance Irs Tax Debt Relief Program how to get preapproved for a va home loan how long does a credit card balance transfer take homeowners insurance companies home loan interest rate home equity line of credit health insurance free car insurance quotes fixed annuity fha loan foreclosure waiting period does opening a checking account affect credit define insurance brokers current mortgage rates cost to refinance home loan Compare Vehicle Insurance cheap travel insurance bad credit car loans average home insurance cost

3 วิธีทำลายเอกภพ

สักวันหนึ่งเอกภพจะตายลง แต่ทำไม? และอย่างไร? แล้วเอกภพจะดับสูญตลอดกาลไหม? และเราทราบได้อย่างไร ก่อนอื่น, เอกภพกำลังขยายตัว ไม่เพียงเท่านั้น, อัตราเร็วของการขยายตัวยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุผล: พลังงานมืด พลังงานมืดคือปรากฏการณ์ประหลาดที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแผ่ซ่านอยู่ทั่วเอกภพ จนกระทั่งปี 1998 เราคิดว่าเอกภพต้องทำงานเหมือนกับลูกบอลที่คุณโยนไปบนฟ้า ลูกบอลลอยขึ้นไป, แต่อย่างไรก็ตามก็จะตกลงมาอีกครั้ง แต่ การขยายตัวของเอกภพกลับมีอัตราเร็วสูงขึ้น นั่นคือลูกบอลลอยสูงขึ้นและเห็นว่ามันลอยเร็วขึ้น เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก ความเร็วที่เพิ่นขึ้นนี้มาจากไหน? คือ เราไม่ทราบ, แต่เราเรียกมันว่า 'พลังงานมืด' ไอสไตน์เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนแต่ตอนหลังก็ตัดสินใจว่ามันเป็นเรื่องโง่ๆ ตอนนี้ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ได้ตัดสินว่ามันมีเหตุผล, ปัญหาคือเรื่องทั้งหมดยังเป็นเพียงทฤษฎีและเรายังไม่รู้จริงๆว่าคุณสมบัติของพลังงานมืดเป็นอย่างไร แต่ มันมีทฤษฎีต่างๆและนำเราไปสู่ 3บทแห่งจุดจบของเอกภพ



บทที่หนึ่ง: การฉีกขนาดใหญ่
ตัังแต่ตอนเกิด เอกภพขยายตัวขึ้น ด้วยเหตุผลที่เราไม่รู้ อวกาศได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในทุกทิศทุกทางเท่าๆกัน อวกาศระหว่างกาแลคซี่ก็ขยายขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงเคลื่อนที่แยกจากกัน อวกาศภายกาแลคซี่ก็ขยายขึ้นด้วย แต่ในนี้แรงดึงดูดแข็งแกร่งพอที่ดึงเข้าไว้ด้วยกัน  ในบทของการฉีกขนาดใหญ่ การขยายตัวนั้นเร็วขึ้นเป็นเหตุให้อวกาศขยายตัวอย่างรวดเร็วจนแรงดึงดูดไม่สามารถชดเชยต่อปฎิกิริยานีได้อีกต่อไป ผลคือการฉีกขนาดใหญ่ ในตอนแรง มีเพียงโครงสร้างใหญ่ๆอย่างกาแลคซี่ที่ฉีกออกจากกันเพราะอวกาศระหว่างวัตถุหนึ่งๆขยายตัวเร็วมาก ต่อมา ส่วนใหญ่ๆอย่าง หลุมดำ ดาว และดาวเคราะห์ ตาย แรงดึงดูดไม่แข็งแกร่งพอที่จะดึงดูดพวกมันเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นพวกมันจะมลายไปสู่ส่วนต่างๆ ในตอนท้าย อวกาศจะขยายตัวเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสง อะตอนในตอนนี้จะได้รับผลกระทบและทำให้พวกมันแตกออก ในตอนที่อวกาศขยายตัวเร็วกว่าแสง ก็จะไม่มีอนุภาคใดในเอกภพตอนนั้นจะสามารถทำปฏิกิริยากับอนุภาคอื่นได้อีกต่อไป เอกภพจะละลายไปเป็นอนุภาคโดดเดี่ยวที่ไม่สามารถจะสัมผัสสิ่งอื่นๆในเอกภพได่อย่างถาวร อืมม, และคุณก็คิดว่าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว

บทที่สอง: ร้อนสุดขั้วหรือหนาวสุดขีด
ดูผิวเผินความแตกต่างระหว่าการฉีกขนาดใหญ่และ ความร้อนสุดขีดคือในบทร้อนสุดขีดนั้นสารจะไม่เสียหายและมันเปลี่ยนความเหลือเชื่ออันยาวนาน เพียงแค่ขอบเขตของเวลากลายเป็นรังสี ในขณะที่เอกภพขยายตัวไปตลอด แต่ มันทำงานอย่างไร, มาพูดถึงเอนโทรปี(ค่าวัดความไม่เป็นระเบียบ) ในทุกๆระบบมีแนวโน้มจะมีสถานะเอนโทรปีสูงสุด เหมือนตอนเราดื่มลาเต้แมคเคียโต้ ในขั้นต้น, มันมีความต่างกันในแต่ละส่วนแต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเริ่มเย็นลงและเริ่มละลายไปเป็นส่วนเดียวและมันทำงานแบบเดียวกับเอกภพด้วย เช่นนั้น, ในขณะที่เอกภพใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น สารจะสลายช้าลงและกระจายออก ในบางเหตุ หลังจากหลายช่วงอายุของดวงดาว กลุ่มเมฆก๊าซที่จำเป็นต่อการเกิดดาวจะหมดสิ้นไป ดังนั้นเอกภพมืดมิด ดวงอาทิตย์ที่ยังเหลืออยู่จะตาย หลุมดำจะค่อยๆเสื่อมลงและค่อยๆระเหยไปกว่าล้านล้านปีโดยรูจักกันใน ฮวกกิ้นเรดิเอชั่น(hawking radiation) เมื่อการกระบวรการสำเร็จแล้ว แก๊สที่เจือจางของโปรตอนและอนุภาคเบายังเหลืออยู่จนกระทั่งมันย่อยสลายไป จากการกระทำทั้งหมดในเอกภพก็จะเข้าใจในจุดนี้ เอนโทรปีไปอยู่ที่ค่าสูงสุดและเอกภพตายไปตลอดกาล นอกจาก, ในทางทฤษฏีมันอาจเป็นไปได้แต่หลังจากความเหลือเชื่ออันยาวนานในชัวระยะเวลา มันอาจจะเป็นไปตามธรรมชาติการลดลงของเอนโทรปี ก็จะได้ผลบางอย่างที่เราเรียกว่า 'quantum tunnelling' นำไปสู่การเกิดบิกแบงครั้งใหม่



บทที่สาม: การบดและการกระแทกขนาดยักษ์
นี่เป็นบทที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ถ้าปราศจากพลังงานมืดอย่างที่เราเคยคิดไว้หรือมันลดลงไปผ่านกาลเวลา แรงดึงดูดจะมีอำนาจเหนือเอกภพสักวัน ในอีกไม่กี่ล้านล้านปีระยะเวลาของการขยายตัวของเอกภพจะเริ่มช้าลงและหยุด หลังจากนั้น มันย้อนกลับ กาแลคซี่จะแข่งขันกับอันอื่นๆรวมเข้าด้วยกัน เอกภพจะเริ่มเล็กลงและเล็กลง ด้วยเหตุผลที่ เอกภพเล็กลงหมายถึงเอกภพร้อนขึ้น อุณหภูมิจะสูงขึ้นในทุกๆที่ ในคราวเดียว 1แสนปีก่อนการบดยักษ์ รังสีภูมิหลังจะร้อนขึ้นที่พื้นผิวของดวงดาวส่วนใหญ่ นั่นหมายถึงพวกมันจะเกรียมจากด้านนอก หลายนาทีก่อนการบดยักษ์ อะตอนแกนกลางถูกฉีดออกก่อนที่สุดยอดหลุมดำยักษ์จะกลืนกินทุกสิ่ง ท้ายสุด หลุมดำทั้งหมดจะปรากฎออกมาเป็นสุดยอดอภิมหาหลุมดำยักษ์ที่จุไปด้วยมวลทั้งหมดของเกภพและในช่วงสุดท้ายก่อนการบดยักษ์มันจะกลืนกินเอกภพ รวมถึงตัวมันเอง ทฤษฏีสภาพการกระแทกบักษ์ เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมาลหลายครั้ง และนั่นทำให้เอกภพเข้าสู่วงจรอันไม่สิ้นสุดของการขยายและการก่อขึ้น นั่นมันไม่ดีหรอ? ถ้าอย่างนั้น อะไรจะเกิดขึ้นในตอนจบของเอกภพ ในตอนนี้,ร้อนสุดขีดดูจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่พวกเราหวังว่าการ 'ดับสูญชั่วนิรันดร์' จะผิดและเอกภพจะเริ่มต้นใหม่ และเริ่มใหม่อีกครั้ง เราไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเป็นทางไหน ดังนั้นเราเพียงทึกทักเอาว่าทฤษฎีที่ก้าวหน้าที่สุดจะเป็นความจริง

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

กลไกของการวิวัฒนาการ

การวิวัฒนาการคืออะไร การวิวัฒนาการคือการพัฒนาชีวิตในโลก ซึ่งเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นเมื่อพันล้านปีก่อน และยังเกิดขึ้นอยู่ การวิวัฒนาการอธิบายได้ว่า ทำไมชีวิตในโลกจึงหลากหลายมาก มันอธิบายได้ว่า โปรโตซัว ง่ายๆ สามารถกลายเป็นสัตว์และพืชล้านๆ สปีชีสที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ การวิวัฒนาการเป็นข้อสงสัยที่เราอาจมีเมื่อเราเห็นสุนัขพันธุ์ Dachshund และ Great Dane อยู่พร้อมกัน ทำไมบรรพบุรุษของสายพันธุ์หนึ่งสามารถมีลูกหลานที่ดูต่างกับเขามาก ในการตอบปัญหานี้เราจะโฟกัสไปที่สัตว์ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่นต้นไม้และฟังไจ คำถามแรกที่เราควรตอบคือ สัตว์สายพันธ์หนึ่งสามารถพัฒนากลายเป็นอีก สปีชีส์ หนึ่งได้อย่างไร อ้า แต่สปีชีส์ มีความหมายว่าอะไร  สปีชีส์ หมายถึงประชาคมสัตว์ที่สามารถสืบพันธุ์กันได้ และลูกหลานของมันก็สามารถสืบพันธุ์กันได้ต่อๆ ไป เพื่อที่จะเข้าใจปัญหาให้ดีขึ้น เราจำเป็นต้องโฟกัสไปที่สิ่งเหล่านี้



ความเป็นสิ่งเดียวอันเดียว (uniqueness) ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นผลจากการผลิตลูกจำนวนมากเกินความจำเป็นและการถ่ายทอดลักษณะ (heredity) และประเด็นที่ 2 คือ การเลือกสรร (selection) เรามาดูเรื่องความเป็นสิ่งเดียวอันเดียวก่อน สัตว์ทุกตัวมีความเป็นสิ่งเดียวอันเดียวอยู่เสมอ และสิ่งนี้จำเป็นสำหรับการวิวัฒนาการ สมาชิกในแต่ละสปีชีส์อาจมีคุณลักษณะคล้ายกันมาก  แต่ทุกตัวจะมีคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะที่แตกต่างกันบ้าง มันอาจใหญ่กว่า อ้วนกว่า แข็งแรงกว่า หรือกล้าหาญกว่า สัตว์พวกเดียวกัน เพราะเหตุใดถึงเกิดความแตกต่างเหล่านี้ ลองดูสัตว์ชนิดหนึ่ง สัตว์ทุกตัวประกอบด้วยเซลล์ เซลล์เหล่านี้มีนิวเคลียส ซึ่งในนิวเคลียสมีโครโมโซม และโครโมโซม มี ดีเอ็นเอ

ดีเอ็นเอ ประกอบด้วยยีนต่างๆ และยีนเหล่านี้เป็นตัวที่เก็บข้อมูลชีวิต มันเก็บคำสั่งสำหรับเซลล์ และเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้น และเป็นเพราะดีเอ็นเอมีความเป็นได้อย่างเดียวสำหรับสัตว์ทุกตัว  มันแตกต่าง กันในสัตว์แต่ละตัว จึงทำให้มันมีคุณลักษณะต่างกันไปบ้าง แต่ดีเอ็นเอที่หลากหลายมหาศาลเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งคือ การผลิตลูกมากเกินความต้องการหรือจำเป็น ในธรรมชาติเราสังเกตว่าสัตว์จะออกลูกมากกว่าที่จำเป็น สำหรับให้สปีชีส์นั้นอยู่รอดได้ และลูกเหล่านี้จะตายเมื่ออายุเยาว์ไว หรือมีจำนวนมากกว่าที่สิ่งแวดล้มจะสนับสนุนได้ นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างในแต่ละสปีชีส์ ยิ่งมีลูกมากเท่าใด ยิ่งมีความแตกต่างมากเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการ คือความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ มากๆ เท่าที่เป็นไปได้

สาเหตุที่ 2 ที่ทำให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวคือ heredity หรือการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั่นเอง การถ่ายทอดทางพันธุกรรมหมายถึงการถ่ายทอด ดีเอ็นเอ ให้กับลูก ปัจจัย 2 อย่างที่มาเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้คือ recombination and mutation (รีคอมบินเนชั่น และ การกลายพันธุ์) รีคอมบินเนชัน เป็นการผสมผสานอย่างสุ่มของดีเอ็นเอของสัตว์ 2 ตัว เมื่อสัตว์ 2 ตัวผสมพันธุ์กัน มันจะ รีคอมไบน (รวมตัวใหม่) ยีนของมัน 2 ครั้ง ครั้งแรกจะต่างคนต่างทำกันเมื่อมันผลิตเซลล์สืบพันธุ์ คือตัวอสุจิหรือไข่ เซลล์สืบพันธุ์จะได้รับยีนครึ่งหนึ่ง และสลับมัน (เหมือนสับไผ้) รีคอมบินเนชันครั้งที่ 2 จะเกิดเมื่อตัวผู้ผสมพันุ์กับตัวเมีย พ่อแม่จะให้ 50% ของดีเอ็นเอของตนแก่ลูก เรียกได้ว่า ให้ 50% ของคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะที่ไม่ซ้ำใครให้แก่ลูก ยีนเหล่านี้จะถูกผสมผสานและผลก็คือ ลูกใหม่ ลูกเหล่านี้จะมีดีเอ็นเอที่เป็นการผสมผสานอย่างสุ่ม  ซึ่งทำให้ความแตกต่างหลากหลายในแต่ละสปีชีส์ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่การกลายพันธุ์ก็สำคัญไม่น้อยสำหรับการวิวัฒนาการ

การกลายพันธุ์ (mutation) คือการเปลี่ยนแปลงอย่างสุ่มในดีเอ็นเอ ซึ่งอาจเปรียบเหมือนการคอปปี้ ดีเอ็นเอ ผิด ซึ่งเกิดจากชีวพิศ หรือสารเคมีอื่น ๆ หรือโดยรังสี Mutation จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอถูกเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีผลเสียและทำให้ป่วยหรือเป็นโรคก็ได้เช่นมะเร็ง แต่มันอาจเป็นผลกลางหรือผลดีก็ได้ เช่นตาสีฟ้าในมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งเป็น mutation สุ่มอย่างหนึ่ง ในทุกกรณี mutation ต้องมีผลต่อเซลล์สืบพันธุ์ นั่นคือ เซลล์สเปิร์มหรือไข่ เพราะดีเอ็นเอในเซลล์สืบพันธุ์เท่านั้นที่ถูกถ่ายทอดให้ลูก นี่คือสาเหตุที่เราต้องปกปิดอวัยะสืบพันธุ์เมื่อมีการฉายเอ็กซเรย์ ส่วนอื่นของร่างกายจะไม่รับการเสี่ยงภัยแต่อย่างใด

สรุป ในกระบวนการถ่ายทอด สัตว์จะถ่ายทอดคุณลักษณะให้ลูกในรูปแบบดีเอ็นเอ รีคอมบินเนชัน และการกลายพันธ์ทำการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ ทำให้ลูกๆ แต่ละตัวไม่เหมือนกัน และได้รับส่วนผสมอย่างสุ่มของคุณลักษณะของพ่อแม่ คำสำคัญที่นี่คือ สุ่ม กระบวนการทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความบังเอิญ รีคอมบินเนชัน และการกลายพันธุ์แบบสุ่มทำให้เกิดปัจเจกที่มีคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะผสมผสานกันอย่างสุ่ม ซึ่งก็จะถูกผสมผสานอีกทีและถูกถ่ายทอดต่อไปอีก แต่เราจะลงเอยว่ามันขึ้นอยู่กับความอังเอิญได้อย่างไร เมื่อสัตว์ทั้งหลายดูเหมือนว่าปรับตัวเข้าสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี  เช่น ตั๊กแตนกิ่งไม้ นกฮัมมิงเบิร์ด และปลากบ (frogfish) คำตอบอยู่ที่สองประเด็นที่กล่าวถึงแล้ว คือ การคัดเลือก (selection) สัตว์แต่ละตัวจะอยู่ภายใต้กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ละบุคคลจะผิดเพี้ยนจากบุคคลอื่นเล็กน้อย และในแต่ละสปีชีส์ก็มีความแตกต่างมากพอ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมก็มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ปัจจัยการคัดเลือกเหล่านี้ คือ ผู้ล่า ปรสิต สัตว์สปีชีส์เดียวกัน ชีวพิศ คุณลักษณะของถิ่นที่อยู่ที่เปลี่ยนไป และภูมิอากาศ

การคัดเลือกเป็นกฎเกณฑ์ที่สัตว์ทุกตัวต้องอยู่ภายใต้ สัตว์แต่ละตัวมีคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะต่างๆ ที่ไม่เหมือนใคร คุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะนี้ทำให้มันสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ได้ในสภาพแวดล้อมต่างๆ คุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะนี้ทำให้มันสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ได้ในสภาพแวดล้อมต่างๆ พวกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก็จะรอดได้และจะถ่ายทอดคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะที่เพิ่มสมรรถนะให้ลูก เพราะเหตุนี้ความหลากหลายจึงสำคัญมาก เพราะเหตุนี้สัตว์จึงพยายามมีลูกที่แตกต่างกันให้มากที่สุด มันเป็นการรับประกันว่าลูกอย่างน้อย 1 ตัวจะผ่านการคัดเลือกธรรมชาติ ทำให้โอกาสรอดได้สูงขึ้น

ตัวอย่างที่ดีคือ นกฟินช์ที่อยู่บนเกาะเล็กๆห่างชายฝั่งอเมริกาใต้  มันเป็นสัตว์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกวิทยาศาสตร์ นกนี้เรียกว่า Darwin’s finches (นกฟินช์ของดาร์วิน) เป็นการให้เกียรติผู้ที่ค้นพบ และนี่คือเรื่องของนกฟินช์พวกนี้ 2-3 ร้อยปีมาแล้ว นกฟินช์ฝูงเล็กๆ ถูกลพายุพัดออกทะเลไปตกที่เกาะกาลาพากอส กลางมหาสมุทรปาซิฟิก นกฟินช์พวกนี้พบสิ่งแวดล้อมใหม่ ที่เป็นสวรรค์ของฟินช์ คือมีอาหารมากมายและไม่มีผู้ล่ามัน มันจึงแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ในไม่ช้าเกาะก็เต็มไปด้วยนกฟินช์ ซึ่งหมายความว่า อาหารก็ร่อยหรอ สวรรค์ฟินช์ก็ถูกคุกคามโดยการอดตายและเพื่อนฟินช์ก็กลายเป็นฟินช์คู่แข่ง ตอนนี้ละที่การคัดเลือก (selection) จะมาเกี่ยวข้อง ความแตกต่างเล็กน้อย ในกรณีนี้คือจะงอย ที่แตกต่างกันเล็กน้อย  ทำให้นกเหล่านี้อยู่ได้โดยไม่ต้องแข่งขันกับฟินช์เพื่อนด้วยกัน จะงอยของฟินช์บางตัวจะเหมาะสมสำหรับการขุดหาไส้เดือน ตัวอื่นสามารถใช้จะงอยสำหรับการกะเทาะเปลือกเมล็ดต่างๆ นกฟินช์เหล่านี้จึงหาช่องทางในระบบนิเวศน์ให้กับตนเองได้ ในช่องทางนี้มันปลอดภัยจากการเข็งขันสูง มันเริ่มผสมพันธุ์กับฟินช์ที่ใช้ช่องทางระบบนิเวศน์เดียวกันเท่านั้น ในหลายชั่วอายุของมัน คุณลักษณะพิเศษของมันก็จะเพิ่มสมรรถนะเรื่อยๆ  ซึ่งทำให้นกฟินช์สามารถทำประโยชน์กับช่องทางของมันได้อย่างสำเร็จ ความแตกต่างระหว่างนกที่กินหนอนกับนกที่กินเมล็ดยิ่งห่างเหิน จนมันไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้ จึงเกิดสปีชีส์ใหม่ ทุกวันนี้มีนกฟินช์14สปีชีส์บนเกาะกาลาพากอส  ซึ่งทั้งหมดสืบเชื้อสายจากนกฝูงเดิมที่ถูกพัดพาไปที่เกาะ ทั้งหมดนี้คือ วิธีที่เกิดสปีชีส์ใหม่โดยการวิวัฒนาการ ซึ่งอาศัยความแตกต่างของแต่ละบุคคล และการออกลูกหลานจำนวนมากเกินความจำเป็น รีคอมบินเนชันและการกลายพันธุ์ ในการถ่ายทอดพันธุกรรม และในการคัดเลือก โดยธรรมชาติ



ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ เพราะมันอธิบายว่าความหลากหลายของชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมสิ่งมีชีวิตจึงเหมาะกับสภาพแวดล้อมของมัน แต่มันมีผลต่อเราส่วนตัวด้วย เราทุกคนเป็นผลของการวิวัฒนาการ 3.5 พันล้านปี ซึ่งรวมถึงคุณด้วย บรรพบุรุษของคุณได้ต่อสู้และปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดมาได้ ซึ่งความอยู่รอดนี้เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนมาก อย่าลืมว่า 99% ของทุกสปีชีส์ที่เคยมีมาในโลกสูญพันธุหมดไปแล้ว คุณก็อาจนับได้ว่าเป็น เรื่องที่สำเร็จก็ได้ พวกไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์หมดไปแล้ว แต่คุณยังมีชีวิตอยู่ เพราะคุณเป็นสิ่งพิเศษมาก เช่นเดียวกับสัตว์อื่นที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ ไม่สามารถมีอะไรมาแทนได้และไม่เหมือนสิ่งใดอื่นในเอกภพ

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

วิทยาศาสตร์ของการชะลอวัย ต้านความชรา

สุขภาพคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา แต่เรามักจะมองข้ามมันจนกระทั่งเราเสียมันไป เรามีชีวิตยืนยาวกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่มีผลตามมาซึ่งเราไม่อาจเห็น นั่นก็คือเราได้ใช้ช่วงชีวิตกับการป่วยมากขึ้นและมากขึ้น มีอายุมากหมายถึงการได้ใช้ชีวิตกับความเจ็บป่วยนานขึ้น  ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้เปลี่ยนจุดมุ่งหมายจากการขยายช่วงชีวิตเป็นการขยายช่วงสุขภาพ นั่นก็คือช่วงชีวิตที่เราสุขภาพดีไม่มีโรคภัย เพื่อการนี้ เราต้องจัดการไปที่จุดกำเนิดของการเสื่อมสภาพของร่างกายเกือบทั้งหมด การแก่ชรานั่นเอง โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ วิทยาการเกี่ยวกับการแก่ชรานั้นได้ก้าวหน้าไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยที่การทดลองกับมนุษย์จะเริ่มขึ้นภายอนาคตอันใกล้นี้ เรามาดูตัวอย่างสามประการที่อาจจะเอื้อประโยชน์แก่ผู้คนที่กำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน



1.เซลล์แก่ชรา
เซลล์ของคุณมีวันหมดอายุเช่นกัน ทุกๆ ครั้งที่เซลล์แบ่งตัว มันคัดลอกโครโมโซมของตัวมันเอง เพราะกระบวนการนี้ เซลล์จึงสูญเสียดีเอ็นเอเล็กน้อยที่ปลายสาย นี่อาจจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ ดังนั้นเพื่อป้องกันตัวพวกมันเอง ร่างกายพวกเราจึงมีดีเอ็นเอสายยาวเรียกว่า เทโลเมียร์ มันคล้ายกับปลายเชือกรองเท้า แต่มันหดตัวลงทุกครั้งที่เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ ในบางเซลล์ หลังจากการแบ่งตัว เทโลเมียร์ได้หมดไป ทำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์ซอมบี้ หรือเซลล์แก่ชรา เซลล์แก่ชราจะยังคงอยู่ และจะไม่ตาย เมื่อคุณแก่ตัว เซลล์พวกนี้ก็จะมีมากขึ้น พวกมันสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อโดยรอบ และทำให้เกิดโรคต่างๆ ที่มากับความชรา เช่น เบาหวานและไตวาย แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าคุณกำจัดพวกมันออกไปได้? นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการดัดแปลงพันธุกรรมหนู ซึ่งจะทำให้พวกมันสามารถกำจัดเซลล์แก่ชราได้ หนูอายุมากที่ไม่มีเซลล์แก่ชราแข็งแรงขึ้น หัวใจและไตของพวกมันทำงานได้ดีขึ้น และมีแนวโน้มต่ำลงที่จะเป็นมะเร็ง

โดยรวมแล้ว หนูพวกนี้จะมีอายุยืนและสุขภาพดียาวนานกว่าหนูทั่วๆ ไปถึงร้อยละ 30 แต่เนื่องจากเราไม่สามารถดัดแปลงพันธุกรรมในทุกๆ เซลล์ของมนุษย์ได้ เราจึงต้องหาวิธีอื่นที่จะกำจัดเซลล์แก่ชราลง แต่เราจะทำอย่างไรล่ะเพื่อไม่ให้มันไปทำลายเซลล์ที่ยังสุขภาพดีอยู่? เซลล์ส่วนใหญ่ในร่่างกายได้ฆ่าตัวมันเองหลังจากได้รับความเสียหาย แต่เซลล์แก่ชราไม่เป็นเช่นนั้น ปรากฏว่าพวกมันไม่ได้ผลิตโปรตีนที่บอกพวกมันว่าถึงเวลาตายแล้วมากพอ ดังนั้นในช่วงปลายปี 2016 หนูทดลองได้รับการฉีดโปรตีนประเภทนี้ มันฆ่าเซลล์แก่ชราไปถึง 80% จากทั้งหมดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ที่ยังสุขภาพดี หนูทดลองที่ได้รับการฉีดโปรตีนนั้น โดยรวมแล้วสุขภาพดีขึ้น และบางตัวยังงอกขนที่เคยสูญเสียไป จากผลการทดลอง ทำให้มีบางบริษัทสนใจในการรักษาเกี่ยวกับเซลล์แก่ชรา และการทดลองกับมนุษย์ จะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้

2. NAD+
เซลล์ประกอบด้วยนับร้อยล้านชิ้นส่วน พวกมันเป็นโครงสร้าง กลไก สื่อสัญญาณ และตัวเร่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหล่านี้ขึ้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องถูกทำลาย เก็บกวาด และสร้างใหม่ตลอดเวลา เมื่อพวกเราแก่ตัว กระบวนการเหล่านี้มีประสิทธิภาพต่ำลง ทำให้ชิ้นส่วนที่พังเกาะตัวเป็นก้อน หรือถูกกำจัดช้าลง หรือถูกผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของเรา หนึ่งในชิ้นส่วนนี้คือ NAD+ เป็นโคเอนไซม์ที่บอกให้เซลล์เราให้ดูแลตัวเอง เมื่อเราอายุ 50 ปี เราจะมี NAD+ จำนวนครึ่งหนึ่งของตอนที่เราอายุ 20 ปี ปริมาณที่ลดลงของมันเชื่อมโยงหลายๆ โรค ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และปลายประสาทเสื่อม NAD+ ไม่สามารถซึมเข้าเซลล์ได้ เราจึงไม่สามารถบริโภคมันเป็นยา

แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารประกอบที่สามารถซึมเข้าเซลล์และจะเปลี่ยนเป็น NAD+ ในภายหลังได้ ในปี 2016 การทดลองกับหนูทดลองหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าการทดลองได้เร่งการแบ่งตัวของผิวหนัง เซลล์สมอง และสเต็มเซลล์ หนูกระปรี้กระเปร่าขึ้น สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอมากขึ้น และมีช่วงชีวิตที่ยาวนานขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ NASA ยังให้ความสนใจการทดลองนี้ เพราะ NASA กำลังหาทางที่จะลดความเสียหายของดีเอ็นเอนักบินอวกาศ จากการับรังสีคอสมิกในภารกิจเดินทางไปดาวอังคาร ในปัจจุบัน เริ่มวางแผนจะนำไปใช้ทดลองกับมนุษย์ แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่า วิธีนี้จะขยายช่วงสุขภาพดี หรือ ช่วงชีวิตของเรา แต่ NAD+ เป็นตัวเต็งที่อาจมาเป็นยาต้านการแก่ชราของมนุษย์ตัวแรก



3.เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)
สเต็มเซลล์เป็นเหมือนกับพิมพ์เขียวของเซลล์ที่มีอยู่ในหลายๆ ส่วนในร่างกาย และคัดลอกตัวมันเองเพื่อที่จะผลิตเซลล์ใหม่ๆ แต่มันก็เสื่อมสภาพไปตามที่เราแก่ตัวลงเช่นกัน เมื่อไม่มีชิ้นส่วนใหม่ ร่างกายมนุษย์ก็ได้พังลง ในหนูทดลอง นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตว่า เมื่อสเต็มเซลล์ในสมองของหนูได้หายไป พวกมันจะเริ่มมีโรคตามมา นักวิทยาศาสตร์จึงได้นำสเต็มเซลล์จากหนูที่อายุน้อยไปฉีดใส่สมองของหนูที่อายุมากกว่า โดยเฉพาะที่ไฮโพทาลามัส ที่ควบคุมการทำงานส่วนใหญ่ของร่างกาย สเต็มเซลล์ได้ทำการฟื้นฟูเซลล์สมองอายุมากโดยหลั่ง RNA หลายชนิดที่ควบคุมขบวนการเมทาบอลิซึมให้กลับมาปกติ หลังจาก 4 เดือน สมองและกล้ามเนื้อของหนูทดลองทำงานได้ดีกว่า หนูพวกที่ไม่ได้รับการฉีดสเต็มเซลล์ และโดยเฉลี่ย หนูพวกนี้มีอายุยาวขึ้นถึงร้อยละ 10 อีกการศึกษาหนึ่งได้นำสเต็มเซลล์จากเอ็มบริโอของหนู และฉีดใส่หัวใจของหนูที่อายุมากกว่า ผลก็คือหัวใจของมันมีประสิทธิภาพดีขึ้น ออกกำลังกายได้นานขึ้นร้อยละ 20 และที่ประหลาดใจคือขนของมันงอกเร็วขึ้น

บทสรุป
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้คือ ไม่มียาวิเศษใดๆ ที่สามารถหยุดการแก่ชราลงได้ มันต้องการการรักษาที่ซับซ้อนแตกต่างกันมากมาย เราสามารถจัดการกับเซลล์แก่ชราเพื่อกำจัดเซลล์ขยะทิ้ง ฉีดสเต็มเซลล์เพื่อเพิ่มเติม ขณะที่เราควบคุมเมทาบอลิซึมของร่างกายด้วยสิ่งที่กลายเป็น NAD+
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

Popular Posts