นิทาน เรื่อง เพราะเหตุใดนกกะปูดจึงตาแดง
ในสมัยดึกดำบรรพ์ นกกะปูดยังมีนัยน์ตาใสแจ๋ว มิได้มีนัยน์ตาสีแดงเหมือนดังเช่นปัจจุบันนี้ในสมัยก่อนนั้นนกกะปูดมีหน้าที่เป็นเสมือนนกผู้เตือนภัย ยามเมื่อน้ำขึ้น เจ้ายกกะปูดก็จะส่งเสียงร้องดัง "ปูด ปูด ปูด ปูด" เป็นสัญญาณเตือนให้นกและสัตว์เล็กๆ นานาชนิดได้รีบหนีน้ำขึ้นทันท่วงที มิต้องมีอันตรายใดๆ
บรรดานกตัวน้อยๆ และสัตว์ตัวเล็กๆ ต่างก็รอดจากการจมน้ำตายได้เพราะเสียงร้องเตือนจากเจ้านกกะปูดมาเป็นเวลาช้านาน
และด้วยความที่เจ้านกกะปูดได้ทำหน้าที่ของมันอย่างขยันขันแข็งมิเคยบกพร่องแม้สักครั้ง
บรรดาสัตว์ต่างๆ จึงพากันรักใคร่เจ้านกกะปูดตาใสผู้คอยเป่าแตรเตือนภัยให้พวกตนเป็นยิ่งนัก
เพื่อนเกลอทั้งหลายต่างก็มีน้ำจิตน้ำใจใคร่จะตอบแทนความดีของเจ้านกกะปูด จึงพากันหารือว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เป็นของขวัญของรางวัลแก่มันดีหนอ
"เลี้ยงอาหารดีๆ ให้เจ้าปูดสักมื้อหนึ่งดีไหม" ตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น
"เจ้าปูดมันไม่ใช่นกที่เห็นแก่กินนะ" นกผู้เฒ่ากล่าวอย่างสุขุม "อาหารดีๆ น่ะกินหมดแล้วก็หมดไป ควรจะหาของที่มีค่า และนำความสุขใจมาให้เจ้าปูดได้ด้วยถึงจะดี"
เมื่อปรึกษาหารือกันเนิ่นนานถึงครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็สรุปได้ว่าควรจะหาภรรยาให้นกกะปูดซึ่งยังเป็นโสดอยู่ในขณะนั้น
แต่การจะหาคู่ให้ผู้ใด สิ่งที่ต้องการก็คือการถามไถ่ถึงความสมัครใจของผู้รับด้วยว่าจะต้องการนกสาวชนิดใดมาเป็นคู่ เพราะถ้าจู่ๆ หานกสาวไปยกให้เป็นเมีย หากเจ้านกกะปูดเกิดไม่ถูกตาต้องใจขึ้นมาก็จะเป็นการคลุมถุงชนไปเสียได้
ดังนั้นนกหัวขวานผู้เฒ่าจึงรับหน้าที่ไปเจรจาถามไถ่นกกะปูดอย่างตรงไปตรงมาในเช้าวันหนึ่ง
"เจ้าปูดเอ๋ย เจ้าน่ะไปแอบรักใครชอบใครไว้บ้างหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีที่หมายตาไว้ พวกเราก็จะได้หาเมียให้ แต่ถ้ามีเมียงมองไว้แล้ว พวกเราก็จะช่วยเป็นธุระไปสู่ขอให้"
นกกะปูดตาใสได้ฟังความแล้วก็ขวยเขินสะเทิ้นอายเป็นยิ่งนัก มันขยับปีกบินไปบินมารอบๆ ต้นไม้จนหายเขินแล้วจึงยอมสารภาพว่า
"คุณลุงหัวขวานครับ อันที่จริงผมก็มีที่เมียงๆ มองๆ หมายปองไว้ในใจแล้วเหมือนกันครับ
"ใครล่ะ เจ้าชอบนางนกขุนทองที่ทั้งพูดทั้งคุย หรือว่าชอบนางนกกางเขนไพรหางงาม"
นกกะปูดส่ายหน้าแล้วอ้อมแอ้มตอบว่า
"ผมหลงรักพระธิดาของพระอิศวรขอรับคุณลุง"
ได้ฟังคำตอบแล้ว นกผู้เฒ่าถึงกับตะลึง เพราะคาดไม่ถึงว่าเจ้านกกะปูดจะใฝ่สูงอยากได้ลูกสาวพระอิศวรมาเป็นเมีย
แต่ถึงอย่างไรนกผู้เฒ่าก็รับอาสาขึ้นไปเฝ้าพระอิศวร กราบทูลไปตามความจริงทุกประการ
ฝ่ายพระอิศวรนั้นทรงเป็นเทพผู้มีพระทัยกว้างขวางอยู่แล้วพระองค์จึงตรัสว่า
"ถึงเป็นนกกะปูดข้าก็ไม่รังเกียจหรอกนะ ขอเพียงแต่ถ้าทำตัวดีมีมารยาท รู้จักกาลเทศะ และขยันขันแข็ง ข้าก็ยอมรับให้มาเป็นลูกเขยได้ เอาล่ะนกหัวขวาน เจ้าจงไปพาเจ้านกกะปูดตัวนั้นมาให้ข้าดูหน้าดูตัวสักหน่อยเถิด
เมื่อพระอิศวรมีพระกระแสรับสั่งดังนั้น นกผู้เฒ่าก็รีบไปพาตัวเจ้านกกะปูดขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรในวันต่อมา
"เจ้าปูดเอ๋ย ในเมื่อริอ่านจะเป็นเขยพระอิศวรก็ต้องรู้จักทำตัวให้ดีๆ นะ ต้องรู้จักรักษากิริยามารยาทให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยให้พระอิศวรท่านเมตตา ท่านจะได้ยกลูกสาวให้"
นกผู้เฒ่าอบรมสั่งสอนนกกะปูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย นกกะปูดก็รับคำอย่างดี
ครั้นเมื่อได้เข้าเฝ้าพรอิศวรแล้ว เจ้านกกะปูดก็พยายามระวังกิริยามารยาทอย่างดี มิให้มีสิ่งใดผิดกาลเทศะเบื้องหน้ามหาเทพผู้เป็นใหญ่
เมื่อพระอิศวรมีรับสั่งถามไถ่ข้อใดก็กราบทูลตอบไปอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวนัก จนพระอิศวรทรงเมตตามิใช่น้อย
แต่แล้วในเวลานั้นเอง น้ำในแม่น้ำก็เริ่มขึ้นทีละนิดทีละน้อย นกกะปูดก็อยากจะส่งเสียงร้อง "ปูด ปูด ปูด ปูด" ตามสัญชาตญาณของมัน
แต่ทว่าในเวลาเช่นนี้มันรู้ดีว่ามิอาจส่งเสียงดังให้ผิดกาลเทศะได้ เจ้านกกะปูดจึงต้องฝืนธรรมชาติ พยายามอดกลั้นไว้มิให้ปากอ้าแล้วส่งเสียงร้องดังออกมา ยิ่งพยายามฝืนกลั้นไว้ นัยน์ตาก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะนั้นพระอิศวรทรงตรัสถามเป็นเชิงชวนสนทนาปราศรัย แต่ทว่าเจ้านกกะปูดก็ต้องอดกลั้นไว้จนตาแดงก่ำ พื่อมิให้ตนเองส่งเสียงออกมาในเวลานั้น
แล้วในที่สุดเจ้านกกะปูดก็มิอาจทนฝืนธรรมชาติของตนได้อีกต่อไป มันอ้าปากส่งเสียงร้อง "ปูด ปูด ปูด ปูด" อย่างยากที่จะหยุดยั้งได้ เสียงร้องของมันก้องกังวานไปทั่วบริเวณนั้น
นกหัวขวานผู้เฒ่าถึงกับหน้าเสียที่เจ้านกกะปูดไม่รู้จักสำรวมเบื้องหน้าพระพักตร์จนเสียพิธีเช่นนั้น
ฝ่ายพระอิศวรนั้นมิทรงถือสาหาโทษแก่เจ้านกกะปูด พระองค์ทรงพระสรวลอย่างขบขันที่เห็นเจ้านกกะปูดอดกลั้นจนตาแดงก่ำ จึงทรงโบกพระหัตถ์ให้นกทั้งสองกลับไปได้
นับจากบัดนั้นเป็นต้นมา นกกะปูดจึงมีนัยน์ตาแดงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาจนทุกวันนี้