นิทานธรรมชาดก เรื่อง คุณธรรมสำหรับผู้เป็นใหญ่ในหน้าที่นั้นๆ
ในครั้งก่อนโน้นพระโพธิสัตว์เจ้า ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตฯ ในกรุงพาราณสี เมื่อประสูติแล้วพระประยูรญาติทั้งหลาย มีพระราชบิดาเป็นต้น ได้พร้อมกันถวายพระนามว่า พระปทุมกุมาร เพราะมีสีพระพักตร์คล้ายดอกปทุม เมื่อพระปทุมกุมารทรงพระเจริญแล้ว ก็ได้ศึกษาศิลปะทั้งปวง ต่อมาเมื่อพระราชมารดาก็สวรรคต พระราชบิดาทรงได้พระอัครมเหสีใหม่ ได้ทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้แก่พระราชโอรส
ต่อมาภายหลังเมื่อพระราชบิดาจะเสด็จไปปราบปรามความวุ่นวายในปลายพระราชอาณาเขต ได้ตรัสสั่งพระอัครมเหสีว่า พระนางจงประทับอยู่ที่วังนี้ เราจะไปทำความวุ่นวายในปลายพระราชอาณาเขตให้สงบ เมื่อพระอัครมเหสีกราบทูลว่า หม่อมฉันไม่ยอมอยู่ หม่อมฉันขอตามเสด็จด้วย จึงทรงแสดงให้เห็นว่า ในการที่พระนางจะตามเสด็จไปในการรบพุ่งชิงชัยนั้นย่อมเป็นการไม่ดี แล้วตรัสว่าพระนางจงอยู่ที่นี่ให้สบายใจจนกว่าเราจะกลับมา เราจะสั่งพระปทุมกุมารไว้ให้เอาใจใส่ต่อกิจการทั้งปวง ไม่ให้เดือดร้อนต่อพระนาง ตรัสได้ดังนี้แล้วก็เสด็จไปปราบปรามโจรผู้ร้ายในปลายพระราชอาณาเขต เวลาเสด็จกลับมาได้ทรงตั้งทัพยับยั้งอยู่นอกพระนครก่อน
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ทราบว่าพระราชบิดาเสด็จกลับมาแล้ว ก็โปรดให้ตกแต่งพระนครแล้วให้ตกแต่งพระราชวังเพื่อรับเสด็จ ครั้นทรงสั่งการทุกอย่างแล้วก็เสด็จไปเฝ้าพระอัครมเหสีโดยลำพังพระองค์เดียว พระอัครมเหสีเห็นรูปสมบัติของพระปทุมกุมาร ก็มีความรักใคร่ พระโพธิสัตว์ถวายบังคมแล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าจะให้ข้าพเจ้าทำสิ่งใดบ้าง พระอัครมเหสีตรัสตอบว่า อย่าเรียกฉันว่าเป็นแม่เลย แล้วก็ลุกขึ้นไปจับมือพระปทุมกุมาร ชวนเชิญให้ขึ้นที่บรรทม พระปทุมกุมารจึงทูลขึ้นว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้
พระอัครมเหสีตอบว่าพระราชายังไม่เสด็จมาถึงตราบใด เราทั้งสองก็ควรจะได้รับความรื่นรมย์ต่อกันตราบนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า พระนางเป็นทั้งพระมารดาของข้าพเจ้าด้วย ทั้งเป็นผู้มีสามีด้วย ธรรมดามาตุคามซึ่งมีผู้หวงแหน ข้าพเจ้าไม่ควรจะแลดูด้วยอำนาจความรักใคร่เลย อย่างไรข้าพเจ้าจึงจะทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นนี้กับพระนางได้ พระอัครมเหสีได้ตรัสอย่างนั้นถึงสามหน เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินยอม จึงทรงขู่ว่า ดีล่ะเธอจะไม่ทำตามถ้อยคำของเราหรือ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่าไม่ทำเป็นอันขาด พระอัครมเหสีตอบว่า ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะกราบทูลพระราชาให้ตัดศรีษะของเธอ พระมหาโพธิสัตว์เจ้าทูลตอบว่า จงทำตามใจชอบ แล้วก็เสด็จออกไป
พระมเหสีมีความสะดุ้งกลัวว่าถ้าพระปทุมกุมารจะทูลพระบิดาก่อนเรา ชีวิตเราก็จะไม่มี เราจะทูลก่อนให้ได้ แล้วก็ไม่ทรงเสวย ทรงนุ่งห่มผ้าเก่าๆ ขีดข่วนตัวเองด้วยเล็บพระหัตถ์ ทรงให้อาณัติสัญญาแก่พวกสาวใช้ว่า เมื่อพระราชาเสด็จมาถามว่า พระเทวีไปไหน ให้ทูลว่าประชวรไข้ ทรงสั่งดังนั้นแล้วก็ทรงบรรทมเหมือนกับเป็นไข้ ฝ่ายพระราชาทรงเลียบพระนครแล้วก็เสด็จขึ้นปราสาท เมื่อไม่ทรงเห็นพระราชเทวีจึงตรัสถามว่าพระเทวีอยู่ที่ไหน พอได้ทรงสดับว่าพระเทวีประชวรจึงได้เสด็จไปที่ห้องบรรทม ตรัสถามว่าพระนางเป็นอะไรไป พระอัครมเหสีทรงทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ถึงพระราชาได้ตรัสถามถึงสองสามครั้ง ก็ทรงนิ่งอยู่ จึงตรัสถามว่า เหตุไรพระเทวีจึงไม่พูดกับเรา
พระมเหสีกราบทูลว่า ธรรมดาหญิงที่มีสามีแล้วย่อมไม่เป็นเหมือนอย่างหม่อมฉัน เมื่อพระราชาตรัสว่า ใครรังแกพระนางอย่างไร จงบอกเรามาโดยเร็ว เราจะตัดศรีษะมันเดี๋ยวนี้ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงตั้งใครให้รักษาพระนคร ตรัสตอบว่า ตั้งพระปทุมกุมารผู้เป็นโอรสของเรา พระอัครมเหสีจึงกราบทูลว่า พระปทุมกุมารนั้นได้มาถึงที่อยู่ของหม่อมฉัน ถึงหม่อมฉันจะห้ามว่าลูกเอ๋ยอย่าทำอย่างนี้เลยฉันเป็นมารดาของเธอ ก็ไม่เชื่อฟัง ขืนกล่าวว่านอกจากข้าพเจ้าแล้ว ผู้อื่นชื่อว่าเป็นพระราชาไม่มี ข้าพเจ้าจักให้พระนางไปอยู่กับข้าพเจ้า ว่าแล้วก็เข้ามากระชากมวยเกศาของหม่อมฉันดึงไป ลากมาทุบตีขีดข่วนหม่อมฉัน ซึ่งไม่ยอมกระทำตาม แล้วก็กลับออกไป
พระราชายังไม่ได้ทรงใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน ก็ทรงด่วนกริ้วเหมือนกับอสรพิษได้ทรงมีพระราชปกาศิต สั่งพวกเพชรฆาตว่า เฮ้ย พวกเจ้าจงจับพระปทุมกุมารมา พวกเพชรฆาตพร้อมทั้งพวกราชบุรุษก็ได้ไปจับพระปทุมกุมารมัดมือไพล่หลังแล้วสวมพวงดอกไม้แดงให้ที่คอ ให้เป็นเครื่องหมายว่าจะต้องถูกฆ่า แล้วก็พากันเฆี่ยนตีนำมาถวาย พระปทุมกุมารก็ทรงทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพระอัครมเหสี จึงทรงรำพันมาตามทางว่า นี่แน่ะท่านทั้งหลาย เราไม่ได้มีความผิดต่อพระราชาเลย ในเวลานั้นบ้านเมืองทั้งสิ้นได้ทราบว่า พระราชาทรงเชื่อพระอัครมเหสี จะให้ฆ่าพระปทุมกุมารเสีย ก็ได้มาประชุมร้องไห้รำพันขึ้นว่า การกระทำอย่างนี้ไม่สมควรแก่พระปทุมกุมารเลย
แต่พวกราชบุรุษก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ได้นำพระมหาปทุมกุมารไปถวายพระราชา พอพระราชาทรงเห็นก็ไมม่อาจยั้งพระทัยไว้ได้ ได้ตรัสว่า กุมารนี้ไม่ใช่เป็นราชา มาทำเหมือนเป็นราชา เจ้าเป็นบุตรของเรามาทำผิดต่ออัครมเหสีของเรา พวกเจ้าจงนำกุมารนี้ไปทิ้งเสียในเหวสำหรับทิ้งโจร พระมหาโพธิสัตว์เจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระราชบิดา ความผิดเช่นนี้ไม่มีแก่ข้าพระองค์เลย ขอพระองค์อย่าทรงเชื่อถือถ้อยคำของมาตุคามเลย พระราชาก็ไม่ทรงเชื่อฟัง ลำดับนั้นพวกนางสนมกำนัลในทั้งหนึ่งหมื่นหกพันก็ได้พากันร่ำร้องรำพันขึ้นว่า ข้าแต่พระมหาปทุมกุมาร พระองค์ได้ทรงรับโทษอันไม่สมควรแก่พระองค์เสียแล้ว คนทั้งหลายมีเจ้านายผู้ใหญ่เป็นต้น
ตลอดถึงอำมาตย์ราชบริพารจึงได้พร้อมกันกราบทูลขึ้นว่า ข้าแต่สมมติเทวราชเจ้า พระราชกุมารองค์นี้ เป็นผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยศีลาจารคุณเป็นอันดี เป็นผู้ทรงดำรงไว้ซึ่งวงศ์ตระกูล ทั้งเป็นรัชทายาท ขอพระองค์อย่าทรงเชื่อฟังถ้อยคำของมาตุคามเลย อย่าทางลงโทษแก่พระกุมาร โดยยังไม่ได้ทรงใคร่ครวญให้ดีก่อนจึงจะชอบ เมื่อคนทั้งหลายมีเจ้านายผู้ใหญ่เป็นต้น กราบทูลอย่างนี้แล้วจึงได้กราบทูลเป็นคำสอนต่อไปว่า ผู้ที่ได้เป็นใหญ่ยังไม่ได้เห็นโทษน้อยใหญ่ทั้งปวงของผู้อื่น ยังไม่ได้ทรงใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน ก็ไม่ควรด่วนลงโทษแก่ใครๆ กษัตริย์พระองค์ใดยังไม่ได้ทรงใคร่ครวญในที่ทั้งปวงแล้วก็ด่วนลงโทษ กษัตริย์พระองค์นั้นชื่อว่ากลืนกินอาหารพร้อมทั้งหนาม ชื่อว่ากลืนกินอาหารพร้อมทั้งตัวแมลงวัน เหมือนกับคนตาบอดฯ
ผู้ลงโทษแก่ผู้ไม่ควรลงโทษ ไม่ลงโทษแก่ผู้ควรลงโทษ ชื่อว่าไม่รู้จักสมควรและไม่สมควร เหมือนคนตาบอดที่ไม่รู้จักทางซึ่งไม่เสมอฉะนั้นฯ กษัตริย์พระองค์ใดทรงห้ามสิ่งเหล่านี้ทั้งน้อยทั้งใหญ่ได้ดีโดยประการทั้งปวง แล้วจึงทรงสั่งสอนหรือลงโทษ กษัตริย์พระองค์นั้นย่อมสมควรแก่ราชสมบัติ กษัตริย์ที่อ่อนอย่างเดียว หรือแข็งอย่างเดียว ก็ไม่อาจตั้งพระองค์ไว้ในความเป็นใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นกษัตริย์ควรประพฤติสองอย่าง กษัตริย์ที่อ่อนอย่างเดียวก็เป็นที่ดูหมิ่นของประชาชน แข็งอย่างเดียวก็มีศัตรู กษัตริย์ควรรู้จักทั้งสองสิ่งนี้ ผู้ลุอำนาจแก่ ราคะ โทสะ ย่อมพูดมาก ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์อย่าทรงโปรดให้ฆ่าพระราชโอรสเพราะเหตุแห่งหญิงเลยพระเจ้าข้า
ถึงแม้ว่าคนทั้งหลาย มีเจ้านายผู้ใหญ่เป็นต้น กราบทูลอ้างเหตุผลต่างๆ อย่างนี้ก็ดี ก็ไม่อาจให้พระราชาทรงเชื่อถือได้ ถึงแม้ว่าพระโพธิสัตว์เจ้าจะทรงขอโทษอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจสำเร็จได้ พระราชาผู้อันธพาลพระองค์นั้นได้ตรัสสั่งว่า พวกเจ้าลงนำกุมารนี้ไปทิ้งเสียที่เหว แล้วก็ตรัสว่า คนทั้งปวงเข้ากันเป็นอันเดียว ส่วนมเหสีของเราไม่มีใครเข้าด้วย มีแต่คนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำอย่างนี้ พวกเจ้าจงนำกุมารนี้ไปทิ้งเสียที่เหว
เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้ ในบรรดาหญิงที่มีในพระราชวังทั้งสิ้น ตลอดจนชาวพระนครทั้งปวง ไม่มีใครที่จะกลั้นความเศร้าโศกไว้ได้ ต่างก็ได้พากันร้องไห้สยายผม พระราชาทรงกลัวว่าจะมีพวกประชาชนไปกั้นกลางไม่ให้โยนพระราชกุมารลงที่เหว จึงเสด็จควบคุมไปด้วย พอเสด็จไปถึงแล้วก็ทรงตรัสสั่งให้จับพระปทุมกุมารให้มีเท้าขึ้นเบื้องบน ให้มีศรีษะอยู่เบื้องต่ำ แล้วให้พุ่งลงไปที่เหว
ครั้งนั้นมีเทวดาตนหนึ่งสิงอยู่ที่ภูเขา ได้รองรับพระปทุมกุมารไว้ด้วยมือทั้งสอง ด้วยอำนาจเมตตาของพระปทุมกุมาร แล้วให้ทิพยสัมผัสแผ่ซ่านไปตลิดองค์พระปทุมกุมารเพื่อไม่ให้ประหวั่นพรั่นใจ ในขณะที่กำลังตกลงในเหว เมื่อเทวดาตนนั้นรับพระปทุมกุมารลงไปถึงเชิงภูเขา แล้วก็มีพญานาคคนหนึ่งขึ้นมารับต่อ พญานาคตนนั้นได้นำพระปทุมกุมารไปที่เมืองนาค ให้เสวยทิพยสมบัติกึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของตน พระปทุมกุมารตรัสว่า เราได้อยู่ในที่นี้ตลอดหนึ่งปีแล้ว เราอยากจะขึ้นไปอยู่ในถิ่นมนุษย์ เมื่อพญานาคถามว่าอยากไปอยู่ที่ไหน ก็ตรัสตอบว่าอยากไปบวชอยู่ในป่าหิมพานต์ พญานาครับว่าได้ แล้วก็นำขึ้นมาส่งที่ป่าหิมพานต์ ได้เนรมิตบริขารของบรรพชิตให้แล้วกลับสู่เมืองนาค พระมหาสัตว์เจ้าก็ได้ทรงบรรพชาเป็นฤาษีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ได้สำเร็จญาณอภิญญาในไม่ช้า
อยู่มาภายหลังได้มีพรานป่าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวเมืองพาราณสีได้ไปถึงที่นั่น พอจะพระมหาสัตว์เจ้าได้ ก็กราบทูลว่าพระองค์เป็นพระมหาปทุมกุมารมิใช่หรือ เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าตอบว่าใช่ จึงถวายบังคมแล้วพักอยู่ในที่นั้นประมาณสองสามวัน จึงได้กลับไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาทรงซักไซร้จนได้ความแน่นอน แล้วจึงพร้อมด้วยพลนิกรเป็นอันมากเสด็จไปที่ป่าหิมพานต์ ด้วยให้นายพรานนั้นเป็นผู้นำทาง เมื่อไปถึงแล้วก็ได้เห็นพระมหาสัตว์เจ้าประทับนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา รุ่งเรืองด้วยพระสิริประหนึ่งว่ารูปหล่อทองคำ จึงนมัสการแล้วประทับนั่งลง พระโพธิสัตว์เจ้าก็ได้ทรงปราศรัยต่อพระราชาด้วยการทรงเชื้อเชิญให้เสวยผลไม้
พระราชาจึงตรัสถามว่า ลูกเอ๋ย บิดาให้โยนเจ้าลงที่เหวลึกๆ แล้ว เจ้ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร พระโพธิสัตว์เจ้าก็ทูลตอบให้ทราบดังที่แสดงมา แล้วพระราชาจึงทูลอาราธนาว่า ลูกเอ๋ย บิดาจะนำเจ้ากลับไปเสวยราชย์ เจ้าอย่าอยู่ที่นี่เลย จึงทูลตอบว่า บุคคลผู้กลืนเบ็ดแล้วถูกชักเบ็ดออก ทั้งมีโลหิตออกมา แล้วเขาก็เป็นสุขได้ฉันใด อาตมาก็เห็นว่าตัวของอาตมาเป็นฉันนั้น พระราชาจึงตรัสถามว่า เจ้ากล่าวว่าสิ่งใดเป็นเบ็ด สิ่งใดเปื้อนด้วยโลหิต ที่ว่าเบ็ดถูกชักออกมานั้น คืออย่างไร ทูลตอบว่า อาตมากล่าวว่ากามารมณ์เป็นเบ็ด ช้าง ม้า เป็นเหมือนเบ็ดที่ติดด้วยโลหิต การยกตัวออกจากกามารมณ์ได้ ย่อมเป็นเหมือนชักเบ็ดออกจากคอ ขอพระองค์จงทราบอย่างนี้
พระราชาทรงสดับดังนี้ ก็ทรงโสมนัสยินดีได้ตรัสขึ้นว่าลูกเอ๋ย บิดาโง่เขลาจึงได้เชื่อถ้อยคำหญิง ได้ทำผิดต่อเจ้าผู้ประกอบด้วยศีลจารคุณอย่างนี้ ขอเจ้าจงอดโทษให้แก่บิดาเถิด พระราชาได้ทรงหมอบลงขอโทษด้วยถ้อยคำอย่างที่ว่ามานี้ เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทูลว่า เชิญลุกขึ้นเถิดมหาราช อาตมาอดโทษให้แก่พระองค์แล้ว ตั้งอต่นี้ต่อไปขอพระองค์อย่าได้ทรงทำโดยยังไม่ใคร่ครวญให้ดีก่อน แล้วท้าวเธอจึงตรัสตอบว่า ลูกเอ๋ย เมื่อเจ้ายอมไปเสวยราชสมบัติจึงจะได้ชื่อว่า อดโทษให้แก่บิดา
พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทูลตอบว่า ดูก่อนมหาราช เพระาอาตมาได้เห็นว่ากามสุขเป็นเหมือนกับเบ็ด ช้าง ม้า พาหนะเป็นเหมือนกับเบ็ดที่เปื้อนด้วยโลหิต การสละกามสุขโดยได้ด้วยการออกบรรพชาย่อมเป็นเหมือนกับชักเบ็ดออกจากคอได้ อาจมาจึงไม่ต้องการด้วยราชสมบัติ ขอมหาบพิตรจงกลับไปเสวยราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม ละเสียซึ่งอคติสี่ประการเถิด พระเจ้าพาราณสีหมดหนทางที่จะทรงอ้อนวอนพระโพธิสัตว์เจ้าแล้ว ก็ทรงกันแสงเสด็จกลับสู่พระนคร ในเวลาที่เสด็จไปตามทาง ได้ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า เราได้พลัดพรากจากบุตรผู้มีคุณธรรมดีงามเช่นนี้เพราะใคร พวกอำมาตย์กราบทูลว่า เพราะพระอัครมเหสีพระเจ้าข้า เมื่อเสด็จถึงพระนครแล้ว จึงตรัสสั่งให้จับพระอัตรมเหสีไปโยนเหวเสีย แล้วก็เสวยราชย์โดยทศพิธราชธรรมต่อไปฯ
ขอท่านผู้อ่านผู้ฟังทั้งหลายจงจำไว้เถิดว่า การทำสิ่งใดโดยยังไม่ได้ใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน ย่อมได้รับโทษเหมือนดังพระเจ้าพาราณสีที่ได้ทรงเสียทั้งพระโอรส และพระอัครมเหสีดังที่ว่ามาแล้วนี้