ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องวิญญาณเลี้ยงลูก

     

กลางดึกคืนหนึ่ง เจ้าของ ร้านขายข้าวต้องตกใจตื่นเพราะ ได้ยินเสียงคนเคาะประตูร้าน “ใครกันนะ..ดึกดื่นป่านนี้..” เจ้าของร้านสบถพร้อมกับลุกไปเปิด ประดู เขาได้เจอกับผู้หญิงสวม ชุดขาวอุ้มลูกอยู่ เธอพูดกับเขาว่า “ขอโทษด้วยนะคะ.. ขอซื้อข้าว หน่อยค่ะ” เจ้าของร้านรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ขายข้าวไห้ ต่อมา ผู้หญิงชุดขาวคนนั้นก็มาซื้อข้าว ทุก ๆ คืน คืนวันหนึ่งเค้าก็รำพันกับตัวเองว่า “ผู้หญิงคนนี้แปลก จัง..ดึกดื่น ป่านนี้แล้วยังออกมา ข้างนอกอีก” และเขาก็ตัดสินใจ สะกดรอยตามผู้หญิงคนนั้นไป ทัน'ใดนั้นเองผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้าไปในสุสานในวัด แล้วตัวเธอ ก็กลายเป็นลูกไฟและลอยหายไป คงเหลือแต่เสียงร้องไห้ของเด็กเท่านั้น

เช้าวันต่อมา เจ้าของร้าน ขายข้าวก็ไปเล่าเรื่องนี้ให้พระในวัดทังทั้งคู่จึงไปดูตรงจุดที่เกิด ลูกไฟแล้วลอยหายไป ที่นั้นพวก เขาได้เจอกับศพของผู้หญิงท้องอุ้มลูกที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ พระได้เห็นอย่างนั้นก็ตกใจเลย ตั้งใจจะดึงเด็กคนนั้นออกมา แต่ว่าศพ นั้นก็กอดเด็กคนนั้นเอาไว้จนแน่น พระองค์นั้นจึงหยุดคิดชั่วครู่ จึงปล่อยเด็กคนนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่ หมู่บ้านโฮฮาร่า ในอำเภอดาเฑะ จังหวัดฟุคุชิมา แต่ก็มีเรื่องที่ คล้ายกันอย่างนี้เล่าสืบต่อกันมา ตั้งแต่จังหวัดอีวาเตะในภาคเหนือ ถึงจังหวัดโอคินาว่าในภาคใต้ ในบรรดาเรื่องราวเหล่านั้นมีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่หมู่บ้านโคจิย่า จังหวัดนางาอากิ เรื่องมีอยู่ว่า วิญญาณของผู้หญิงได้ข้าวไปก็ เลยตอบแทนคนในหมู่บ้านอื่น เดือดร้อนเรื่องนํ้าด้วยนํ้าบริสุทธิ์ ที่หมู่บ้านนี้จึงมีบ่อน้ำที่ชาวบ้าน เรียกว่า “บ่อน้ำวิญญาณ" อยู่ ด้วย

บทความแนะนำ

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องต้นสนแขวนวิญญาณ

     

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยโชกุน คะเฮ มีชาวประมงคนหนึ่งออก ไปจับปลาตอนกลางคืนโคอุโนะไต (ปัจจุบันคือเมืองมัตสิโตะ ในจังหวัดชิบะ ในอดีตมีทะเล ถึงแถว ๆ นี้) แต่ว่าคืนนี้นั้น โชคไม่ดีเพราะจับปลาไม่ได้สักตัวเดียว ชาวประมงเลยตัดสินใจ กลับบ้าน ทันทีที่เขาดึงคันเบ็ดขึ้นมานั้น เบ็ดก็ไปเกี่ยวกับของ มีน้ำหนักมากชิ้นหนึ่ง “ได้แล้ว” ชาวประมงร้องอย่างดีใจ เขาดึง คันเบ็ดขึ้นมา แต่มันไม่ใช่ปลา แต่กลายเป็นศพของสาวสวยอายุ ประมาณ 17 - 18 ปี เขาจึงเอาศพ นั้นไปเผาที่พื้นในวัดเย็นโยจิ

ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาทุก ๆ คืนจะมี วิญญาณของผู้หญิง ที่มีใบหน้าเศร้าหมองปรากฏตัว ขึ้นที่ใต้ต้นสนในวัด เจ้าอาวาสของวัดนั้น จึงถามวิญญาณนั้นว่า ‘‘มีความแค้นอะไรยังหลงเหลือในโลกนี้อีกหรือก็ได้รับคำตอบว่า

“ความจริงแล้ว.. ฉันเกิด ในครอบครัวที่ยากจนเลยไม่สามารถตัดเสื้อของเจ้าสาวไว้ใส่ได้ เจ้าบ่าวก็เลยไม่ยอมแต่งงานด้วย”

วิญญาณนั้นยังบอกอีกว่า เธอเสียใจมากเลยตัดสินใจโดดน้ำทะเลตาย เจ้าอาวาสได้ฟัง ก็รู้สึกสงสาร จึงไปซื้อชุดเจ้าสาว ที่ในเมืองเอโดะมา เพื่อมาแขวน ที่ตรงของต้นสนเพื่อให้เธอตาย อย่างเป็นสุข ตั้งแต่ต้นนั้นมา วิญญาณก็ไม่ปรากฏตัวออกมา อีกเลย ต่อมาชุดเจ้าสาวที่แขวน ที่ตรงสนนั้นก็หายไป แต่มีชุดแขวนที่ของต้นสนเพื่อให้เธอตาย อย่างเป็นสุข ตั้งแต่คืนนั้นมา วิญญาณก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย ต่อมาชุดเจ้าสาวที่แขวน ที่ต้นสนนั้นก็หายไป แต่มีชุดกิโมโนที่เธอสวมตอนเธอโดดน้ำตายมาแขวนอยู่แทน ตั้งแต่นั้นมาใคร ๆ ก็เรียกต้นสนนั้นว่า “ต้นสนแขวนวิญญาณ"

ผีอีกตัวหนึ่งของวัดเย็นโยจิ.. วัดเย็นโยจิในอำเภอเอโตงาว่า ในเมืองโตเกียวที่เล่าเรื่องนี้นั้น เป็นวัดที่เก่าแก่ นอกจากจะมี เรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายหลายเรื่องที่นี้ต้นสนเก่าแก่ต้นหนึ่งแผ่ขยายกิ่งก้านไปกว้างขวาง และที่ใต้ต้นสนนั้นมีก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง และเรื่องราวก็มีดังนี้..คืนหนึ่งในฤดูร้อนมี ขโมยคนหนึ่งได้แอบเข้ามาในวัด เพื่อขโมยของมีค่าไป แต่ว่าเมื่อขโมยวิ่งมาถึงหินก้อนนี้ ของที่ขโมยมาแล้วแขวนไว้ข้างหลังก็หนักขึ้น ขโมยจึงแก้ห่อผ้าเอาของที่ขโมยมาออก แล้วตั้งใจจะวิ่งหนีแต่ว่าขาของเขาไปติดกับก้อนหินจนขยับเขยื้อนไม่ได้ในที่สุดขโมยก็ถูกจับ

บทความแนะนำ

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องวิญญาณของโอมัตสึ

     

ในสมัยเอโดะ มีนักดาบคนหนึ่งชื่อ  นางายามา บูดายู อาศัยอยู่ในจังหวัดอาคิตะ เซา มีลูกสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ มิสะ แต่ว่าตั้งแต่เกิดมามิสะไม่เคยส่งเสียงร้องเลย เมื่อเขาคิดถึง เรื่องลูกสาวที่ไรเขาจะต้องมีความ รู้สึกเศร้าหมองทุกครั้ง ในที่สุด ก็ถึงวันที่ มิสะอายุครบรอบ 1 ขวบ แต่เธอก็ยังไม่ส่งเสียงร้องเลย สักนิดเดียว ในวันนั้นโอมัตสึ สาวใช้ได้อุ้มมิสะเอาไว้ที่หลัง และพาไปที่ข้าง ๆ บ่อน้ำตรงมุม สวน แล้วจู่ ๆ มิสะก็ร้องออกมา เมื่อได้มองเห็นหน้าตัวเองสะท้อน จากน้ำในบ่อนั่นเอง โอมัตสึตกใจ ที่มิสะร้องออกมาได้ ทันใดนั้นเองเธอก็สูญเสียการทรงตัวจน เก้าอี้ที่เธอปีนอยู่ข้างขอบบ่อเขย่าเอน  เด็กที่อยู่บนหลังของโอมัดสีตกกลง ไปในบ่อน้ำนั่น

“ใคร..ใครก็ได้ช่วยด้วย”... โอมัตสีกรีดร้องอย่าง สุดเสียง ทันใดนั้นเองบูดายูก็มาที่ข้างบ่อ น้ำนั่นแล้วดึงมิสะขึ้นมาจากบ่อ แต่ว่ามันสายเกินไปแล้วเพราะ มิสะหมดลมหายใจไปแล้ว ลูก­สาวสุดที่รักตายไป ทำให้บูดายู โกรธแค้นโอมัตสึมาก ถึงแม้ว่า โอมัตสึจะนั่งลงคุกเข่าขอโทษ แต่ว่าบูดายูก็ยังไม่ยอม บูดายู ตะโกนออกมาว่า “ฉัน..ฉันต้อง ฆ่าแก" และก็จับตัวโอมัตสึโยน ลงไปในบ่อน้ำ เท่านั้นยังไม่พอ ยังโยนหินก้อนใหญ่ในสวนลงไป ในบ่อน้ำนั่นด้วย ในที่สุดโอมัดสึ ก็ตาย

หลังจากเกิดเรื่องน่าเศร้านี้ได้ไม่นานที่บ้านของบูดายู ก็เกิด เรื่องประหลาด ตามมา แม้ว่าคนข้าง ๆ บ้านของบูดายู จะสืบค้นว่า เรื่องประหลาดมันเกิดจาก วิญญาณของโอมัตสึ แต่ว่าบูดายู ก็ยังคงเสียใจเกี่ยวกับการตายของลูกสาวตนเองจนไม่มีเวลา คิดถึงเรื่องที่ฆ่าโอมัตสึและในคืนวันหนึ่ง เกิดไฟไหม้ที่บ้านของบูดายูวอดหมด ทั้งหลัง ๆ คนถูกไฟคลอกตายหมด ไม่มีใครรอดชีวิตเลยและที่หากของบ้าน ชาวบ้านแถว ๆ นั้น ก็ได้ตั้งศาลเล็ก ๆ ขึ้นมา แม้แต่ในปัจจุบันก็มีหินก้อน ใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ข้างศาลนั้น มันคือหินในสวนที่ถูกขุดขึ้นมาจาก บ่อน้ำและเป็นหินที่ดูดเลือดของ โอมัตสีนั่นเอง

บทความแนะนำ