สารคดีชุดใหม่สะท้อนความโหดร้ายของการขลิบอวัยวะเพศหญิง

แอตแลนตาเจอร์นัลคอนสติติวชัน - ผู้สร้างสารคดีชื่อดังชาวแอฟริกันเตรียมทำสารคดีเกี่ยวกับคดีขลิบอวัยวะเพศหญิงคดีล่าสุดในสหรัฐฯ หวังกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงอันตรายและความโหดร้ายของพิธีกรรมดังกล่าว

       โซโรยา ไมร์ ผู้สร้างสารคดี "ไฟร์ อายส์" เกี่ยวกับพิธีกรรมการขลิบอวัยวะเพศหญิงในแอฟริกา ซึ่งเคยสร้างความฮือฮาในสหรัฐฯ มาแล้วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เตรียมหยิบคดีเกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าวคดีล่าสุดในสหรัฐฯ ขึ้นมาทำเป็นสารคดีเพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่า ยังต้องช่วยกันดำเนินการมากกว่านี้เพื่อยุติกระบวนการอันโหดร้ายซึ่งมีมานานหลายศตวรรษ

       เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กาลิด อาเดม วัย 27 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวและตั้งข้อหาทารุณเด็ก เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าอาเดมใช้กรรไกรขลิบอวัยวะเพศของลูกสาววัยสองปีของเขา เมื่อปี 2001 โดยที่แม่เด็กไม่ทราบเรื่องเลย จนพาลูกไปพบแพทย์ในปีนี้ แต่อาเดมให้การปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมโหดดังกล่าว

       ประเพณีการขลิบอวัยวะเพศหญิงนั้นถูกตำหนิจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสุขภาพและสิทธิมนุษยชนมาหลายสิบปีแล้ว โดยในหลายพื้นที่แถบแอฟริกา จะมีการประกอบพิธีกรรมดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องหมายของการเป็นผู้ใหญ่ กลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยอ้างว่ากระบวนการนี้ ซึ่งอาจรวมถึงการตัดคลิตอริส หรืออวัยวะเพศภายนอกทั้งหมดออกนั้น เจ็บปวดทรมานมาก ในทางการแพทย์ถือว่าไม่จำเป็นและไม่ปลอดภัย

       การขลิบอวัยวะเพศหญิงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสหรัฐฯ และถูกประณามโดยสหประชาชาติ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายกรณีในสหรัฐฯ ทั้งนี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อประเมินตัวเลขว่า ในสหรัฐฯ มีผู้หญิงและเด็กหญิงที่อพยพเข้าเมืองกว่า 160,000 ที่ถูกขลิบอวัยวะเพศ ส่วนตัวเลขขององค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่า จำนวนผู้หญิงที่ทำตามประเพณีดังกล่าวมีอยู่ราว 135 ล้านคนทั่วโลก

       ไมร์ ซึ่งโด่งดังมาจากสารคดีเกี่ยวกับการขลิบอวัยะเพศชุดแรกของเธอกล่าวว่า "ฉันขนลุกที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก" และ "เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าเด็กวัยสองปีจะถูกทรมานอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่มีการศึกษา และมีความพยายามหลาย ๆ ด้านที่จะยุติประเพณีนี้"

       สารคดีเรื่องแรกของไมร์ เล่าถึงประสบการณ์ของเธอเองเมื่อต้องรับการขลิบในโซมาเลียเมื่อเธออายุได้ 13 ปี ในสารคดีนั้นเธอวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมของตนเองจากมุมมองของผู้หญิงที่ถูกบังคับให้ต้องประกอบพิธีดังกล่าว นับตั้งแต่สารคดีออกฉายและได้รับความสนใจ รวมถึงได้รับรางวัลหลายรางวัล ไมร์ก็ได้เคลื่อนไหวเพื่อให้มีการสนับสนุนในระดับสากล โดยหวังว่าการให้การศึกษาจะช่วยให้ผู้หญิงแอฟริกันสามารถสอนกันและกันเกี่ยวกับอันตรายทางกาย และทางจิตในการดำเนินตามประเพณีโบราณนี้ต่อไป

       ไมร์ไม่ส่งเสริมให้ชาวตะวันตกเข้าไปแทรกแซงโดยตรง แต่สนับสนุนการช่วยเหลือกันเองในหมู่ผู้หญิงชาวแอฟริกัน เพราะเธอเชื่อว่ากลไกที่จะได้ผลควรเป็นทางออกที่มาจากวัฒนธรรมของพวกเธอเอง