google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 ผลข้างเคียงของการใช้วัคซีน

ผลข้างเคียงของการใช้วัคซีน

วัคซีนถูกยกย่องในฐานะที่มีบทบาทในการต่อสู้กับเชื้อโรค แต่มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่ามันเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มากกว่าจะปกป้อง ในโลกของอินเทอร์เน็ต เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการแพ้วัคซีน..เป็นจุดเริ่มต้นของความพิการ แม้แต่การตายจากการฉีดวัคซีน มันเป็นเรื่องจริงที่วัคซีนสามารถมีผลข้างเคียงได้ งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่ามันทำงานยังไง และมันอันตรายแค่ไหน

ระบบภูมิคุ้มกันนั้นเต็มไปด้วยการทำงานที่ซับซ้อนของเซลล์หลายพันล้านเซลล์ทหาร เซลล์ประมวลผล และโรงงานผลิตอาวุธ ในทุกวันร่างกายถูกโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน แต่เซลล์ภูมิคุ้มกันจะจัดการกับเรื่องนั้นเอง โดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ถ้าเชื้อโรคนั้นร้ายแรง เซลล์ประมวลผลของเราจะเก็บข้อมูลของพวกมัน และส่งสัญญาณไปยังโรงงานผลิตอาวุธของเราให้เริ่มทำงาน คุณก็รู้ว่าคืออะไร: แอนติบอดี มันเป็นเหมือนจรวดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายศัตรูที่เจาะจง แต่อย่างโชคร้ายที่กระบวนการนี้ใช้เวลาหลายวัน นั่นทำให้ผู้บุกรุกมีเวลามากพอที่จะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายเรา ตรงข้ามกับความเชื่อของเรา...

อะไรก็ตามที่ไม่ได้ฆ่าคุณ ไม่ได้ทำให้คุณแกร่งขึ้น ร่างกายของเราไม่ต้องการที่จะสู้กับเชื้อร้ายหลายต่อหลายครั้ง เซลล์ภูมิคุ้มกันของเราจึงใช้วิธีอันชาญฉลาด เพื่อที่แกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าเราสู้กับเชื้อโรคที่อันตรายมากพอที่จะบีบให้เราใช้อาวุธร้ายแรง เซลล์ภูมิคุ้มกันจะสร้างเซลล์ความจำ เซลล์ความจำจะอยู่ในร่างกายเราหลายปี ในสภาพหลับลึก พวกมันจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากจำ เมื่อเราถูกโจมตีอีกครั้ง เซลล์ความจำที่หลับใหลจะตื่นขึ้นมา...สั่งให้โจมตีและสร้างแอนติบอดีเพื่อจัดการกับเชื้อโรคนั้นทันที นี่เป็นวิธีที่เร็วและได้ผลมาก เชื้อโรคที่คุณเคยจัดการไปแล้วจะไม่สามารถทำให้คุณป่วยได้อีก คุณอาจต้านเชื้อนั้นได้ตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ นั้นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเด็กเล็กจึงป่วยบ่อย พวกเขายังไม่มีเซลล์ความจำที่มากพอและกลไกธรรมชาติอันสวยงามนี้ เราก็ได้นำมาใช้กับวัคซีน

วัคซีนทำงานอย่างไร
ไม่ว่าเซลล์ความจำจะยิ่งใหญ่เพียงใด การเก็บข้อมูลเชื้อโรคผ่านการติดเชื้อนั้น บางทีก็ไม่ราบรื่นและเป็นอันตราย วัคซีนเป็นหนึ่งในวิธีการหลอกล่อให้ร่างกายสร้างเซลล์ความจำขึ้น... และใช้ในการต่อต้านเชื้อโรค พวกมันทำเหมือนว่าเป็นการติดเชื้ออันตราย หนึ่งในวิธีคือ การฉีดเชื้อโรคที่ไม่เป็นอันตราย เข้าสู่ร่างกาย ตัวอย่างเช่น เชื้อโรคที่ตาย หรือถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว ระบบภูมิคุ้มกันจะจัดการกับวัคซีนแบบนี้ได้ง่ายมาก ในบางครั้งมันจำเป็นที่จะต้องให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักมากขึ้น... เพื่อที่จะสร้างเซลล์ความจำเพิ่ม นั่นคือการใช้ วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต มันสามารถโจมตีกลับได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ใหญ่กว่าชนิดเชื้อตาย แต่นี่ฟังดูเป็นความคิดที่เลวร้าย

จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันชนะ?
เพื่อป้องกันสิ่งนั้น เราจึงสร้างเชื้อโรคที่คล้ายกันซึ่งอ่อนฤทธิ์กว่าในห้องทดลอง แค่มีพลังมากพอที่จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงาน และสร้างเซลล์ความจำได้ โอเค นี่เป็นหลักการเบื้องต้นของการใช้วัคซีน พวกมันกระตุ้นปฏิกิริยาของระบบในร่างกาย... ทำให้เราสามารถต่อกรกับเชื้อโรคที่ร้ายแรงได้ ตัวอย่างเช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่มักกลายพันธุ์บ่อย ทำให้เราต้องได้รับวัคซีนตัวใหม่ทุก ๆ ปี แต่วัคซีนส่วนใหญ่ปกป้องเราได้เป็นปี ๆ หรืออาจตลอดทั้งชีวิต แต่มันก็มีด้านลบ เหมือนกับทุกสิ่งบนโลกนี้ วัคซีนยังมีอีกด้านของมัน: ผลข้างเคียงมันคืออะไร? แล้วถ้าลูกของคุณเป็นขึ้นมาล่ะ?

ความเสี่ยงของวัคซีน
มันยากมากที่จะเปรียบเทียบผลข้างเคียงของวัคซีน กับผลข้างเคียงของเชื้อโรค ตัวอย่างเช่น มีผู้คน 100 ล้านคนฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด ในประเทศตะวันตก แต่มีผู้ป่วยเพียงแค่ 83,000 คนในทวีปยุโรป ในปี 2018 แม้จำนวนจะต่างกันมาก แต่ผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นอันตรายได้... เมื่อเทียบกับผลกระทบที่เลวร้ายซึ่งเราไม่ค่อยได้พบเห็นแล้ว ของเชื้อโรค ก่อนที่จะมีวัคซีนโรคหัดในปี 1963... เด็กเกือบทุกคนบนโลกเป็นโรคหัดในเวลานั้น มีผู้ป่วยประมาณ 135 ล้านคนในทุก ๆ ปี ในช่วง 1950-1959 แต่ในปี 2019 โรคหัดอันตรายขนาดนั้นเลยหรือ? ด้วยการรักษาที่ก้าวหน้าและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เนี่ยนะ? มันคุ้มไหมถ้าจะเสี่ยงกับผลข้างเคียงของวัคซีน?

งั้นมาลองทดลองในความคิดโดยอิงตัวเลขเป๊ะ ๆ กันเถอะ ลองจินตนาการว่ามีประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกคู่ขนาน ที่นั้นมีสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยม แต่ผู้คนไม่ยอมฉีดวัคซีน ในกรณีนี้ ให้สมมุติว่ามีเด็ก 10 ล้านคนเป็นโรคหัด จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? เด็ก 9.8 ล้านคน หรือ 98% จะมีไข้สูงและมีผื่นขึ้นตามตัว มากถึง 800,000 คน หรือ 8% จะประสบกับอาการท้องร่วงรุนแรง เด็ก 700,000 คน หรือ 7% จะประสบกับอาการหูติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการได้ยินแบบถาวร เด็ก 600,000 คน หรือ 6% จะประสบกับโรคปอดบวม ซึ่งเป็นผลกระทบที่อันตรายที่สุดของโรคหัด โรคปอดบวมลำพังอาจฆ่าเด็กได้ถึง 12,000 คน เด็กมากถึง 10,000 คน หรือ 0.1% จะติดเชื้อไข้สมองอักเสบ เด็ก 2,500 คน หรือ 0.025% จะเกิดภาวะสมองอักเสบแบบกึ่งเฉียบพลัน (SSPE)...เป็นเชื้อที่ทำให้ไวรัสหัดฝังตัวอยู่ในสมอง และฆ่าเด็กเหล่านั้นในหลายปีต่อมา เมื่อนำมารวมกันแล้ว เด็กประมาณ 2.5 ล้านคนจะประสบกับผลกระทบที่ร้ายแรงจากโรคหัด และเด็กประมาณ 20,000 คนจะเสียชีวิตด้วยโรคนี้

มันยังไม่หยุดแค่นี้
ระบบภูมิคุ้มของเด็กที่รอดมาได้จะเสียหายอย่างหนัก ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อการฟื้นฟู เป็นเวลาสำหรับให้เชื้อโรคตัวอื่นเข้ามา นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่รับรองได้เลยก็คือ..เด็กเหล่านั้นจะประสบกับช่วงเวลาอันเลวร้ายตลอดเวลา 2 สัปดาห์ โอเค แล้วถ้าเด็กได้รับวัคซีนล่ะ? เราก็ต้องดูที่ความเสี่ยงด้วยนะเพื่อความยุติธรรม งั้นเรามาทดลองกันอีกรอบ แต่ครั้งนี้เด็กทั้งหมดได้รับวัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR)

ตามทฎษฎีแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากฉีดวัคซีนให้เด็ก 10 ล้านคนนี้แล้ว เด็กประมาณ 10% จะมีไข้ เด็ก 500,000 คน หรือ 5% จะมีผื่นขึ้นเล็กน้อย เด็กมากถึง 100 คน หรือ 0.001% อาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง และต้องรับการรักษา เด็กชายมากถึง 10 คน หรือ 0.0001% อาจมีอาการอักเสบที่อวัยวะเพศ และเด็กอีกมากถึง 10 คน หรือ 0.0001% อาจประสบกับผลข้างเคียงร้ายแรงอย่างไข้สมองอักเสบ เช่นนั้น เราได้ฉีดวัคซีนให้กับเด็ก 10 ล้านคนแล้ว จากทั้งหมดแล้ว จะมีเด็กประมาณ 120 คนที่ประสบกับข้างเคียงร้ายแรงต้องขอบคุณการรักษาที่ก้าวหน้า เด็กเกือบทั้งหมดนั้นจะไม่เป็นอะไร

แล้วออทิซึมล่ะ?
ความเกี่ยวข้องกันระหว่างออทิซึมและวัคซีนจากแหล่งข้อมูลหนึ่งนั้น...ถูกพิสูจน์ว่าไม่เป็นจริงหลายต่อหลายครั้งแล้ว เราได้แปะลิงก์ไว้ในคำอธิบายด้านล่างแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม แต่ในปี 2019 มันก็สมเหตุสมผลนะที่จะบอกว่า วัคซีนไม่ได้ทำให้เป็นออทิซึม เอาล่ะ แล้วพวกการเสียชีวิตล่ะ? มันเป็นการยากที่จะบอกว่า ในเด็กทุก ๆ 1 ใน 10 คนล้านที่ได้รับวัคซีนจะเสียชีวิต เราสืบค้นอย่างหนักและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากมาย ถ้าเราไม่อิงผลรายงานที่เราได้มา...เรายังสามารถใช้เคสต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ได้...

สำหรับเด็กทั้งหมด 100 ล้านคนที่ได้รับวัคซีน MMR ตั้งแต่ปี 1971 โรคหัดอันตรายเป็นหลายพันเท่าสำหรับลูกของคุณ...แต่มันก็ไม่เลวร้ายเท่าผลข้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุดจากวัคซีนเลย คุณคงต้องใช้แว่นขยายอันใหญ่มาก ๆ สำหรับการหาผลข้างเคียงที่ร้ายแรงของวัคซีน และที่ยากกว่านั้นคือ การหากรณีที่ยืนยันได้จริง ๆ ในขณะที่การเสียชีวิตจากโรคหัดสามารถหาได้ง่ายนิดเดียว เฉพาะในปี 2017 ผู้คนมากถึง 110,000 คน เสียชีวิตจากโรคหัดจากทั่วโลก จากสิถิติแล้ว ทุกวันนี้จากเด็กประมาณ 300 คน จะมี 1 คนเสียชีวิตจากโรคหัด คุณอาจเปรียบวัคซีนเป็นเหมือนเข็มขัดนิรภัย เคยมีอุบัติเหตุประหลาด ๆ ที่มีคนตายเพราะเข็มขัดนิรภัยไหม? นั่นแหละ!

แต่คุณอาจแย้งว่า มันจะไม่ปลอดภัยกว่าหรอ ถ้าไม่รัดเข็มขัดรัดนิรภัยให้ลูกคุณ? เดี๋ยวนะ! แล้วถ้าลูกของคุณแพ้วัคซีนจริง ๆ ล่ะ? แล้วถ้าสิ่งที่เราพูดไปไม่เกิดกับลูกของคุณเลยล่ะ? ในกรณีนี้ คุณคงเป็นคนที่สนับสนุนการฉีดวัคซีนมากเลยล่ะ เพราะถ้าหากลูกคุณไม่สามารถรับวัคซีนได้ ก็คงมีแค่คนรอบ ๆ ตัวที่จะปกป้องเขาได้ นี่เรียกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity)มันเป็นสิ่งเดียวที่จะปกป้องเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนได้ ภูมิคุ้มกันหมู่ คือการมีคนที่มีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคมากพอ...ที่จะทำให้เชื้อแพร่พันธุ์ไม่ได้และตายก่อนที่เชื้อจะไปถึงเหยื่อของมัน แต่การป้องกันเฉพาะโรคหัดอย่างเดียว..คนรอบ ๆ ตัวคุณอย่างน้อย 95% จะต้องได้รับวัคซีน

บทสรุป
ปัญหาของการโต้เถียงเกี่ยวกับวัคซีน ไม่ได้สู้กันในระดับพื้น ๆ ในขณะที่ผั่งผู้เชี่ยวชาญสู้ด้วยการค้นคว้าและสถิติ ในขณะที่อีกฝั่งมักสู้ด้วยความรู้สึกของตนเอง ซึ่งมีข้อมูลเพียงน้อยนิดและอาจคลาดเคลื่อน ซึ่งความรู้สึกมักจะชนะข้อเท็จจริงซะด้วย เราไม่สามารถโน้มน้าวใครด้วยการตะโกนใส่ได้หรอก แต่เราก็ไม่สามารถซ่อนความเป็นจริงที่พวกต่อต้านวัคซีนก่อขึ้นได้หรอก พวกเขาฆ่าเด็กที่ยังอายุน้อยเกินกว่าจะรับวัคซีนได้ พวกเขาฆ่าเด็กที่มีสุขภาพดีที่ไม่มีโอกาสได้รับวัคซีน พวกเขานำโรคร้ายแรงที่เกือบจะสาบสูญไปแล้วกลับมา และผลข้างเคียงที่ใหญ่ที่สุดของวัคซีนคือ มีเด็กเสียชีวิดน้อยลง วัคซีนเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังมากในการกำจัดปีศาจอันตรายเหล่านั้นที่เราลืมไปแล้ว อย่านำปีศาจเหล่านั้นกลับมาเลย!

Popular Posts