โดยทั่วไป เดนไดรติกเซลล์ (dendritic cells) จะกระตุ้นกองทัพของเซลล์ป้องกันไวรัส, เซลล์สนับสนุนและโรงงานสร้างภูมิต้านทาน (แอนติบอดี้) ที่ทำงานร่วมกับเซลล์ป้องกัน เพื่อกำจัดการติดเชื้อภายในชั่วระยะเวลาวันเดียว แต่เมื่ออีโบล่าโจมตี มันจะตรงไปจัดการระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์บางส่วนที่ถูกครอบงำคือ เดนไดรติกเซลล์ ซึ่งเป็นมันสมองของระบบภูมิคุ้มกัน ไวรัสอีโบล่าเข้าสู่เดนไดรติกโดยผูกตัวเองเข้ากับตัวรับสำหรับการเคลื่อนที่เซลล์เมื่อเข้าไปได้ มันจะแยกเปลือกนอกออกและปล่อยสารพันธุกรรม นิวคลีโอโปรตีน และเอนไซม์ โดยย่อ มันได้เข้าควบคุมเซล์ ยกเลิกระบบป้องกันของเซลล์และปรับเปลี่ยนระบบของเซลล์ใหม่
เซลล์นี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างไวรัส และใช้ทรัพยากรที่มีในการสร้างไวรัสอีโบล่า เมื่อเซลล์อิ่มตัว มันละลายเมมเบรนออกมาและไวรัสนับล้านได้ถูกปล่อยเข้ามาในเนื้อเยื้อ ไวรัสไม่เพียงแค่สะกัดกั้นเดนไดรติกเซลล์ จากการกระตุ้นกองกำลังที่มีความเฉพาะในการต่อต้านไวรัสมันยังเปลี่ยนแปลงพวกเซลล์ด้วยการส่งสัญญาณโปรตีนที่หลอกเซลล์ที่มีความเฉพาะนั้น เพื่อให้จบชิวิตของตัวมันเองก่อนเวลาที่สมควร ดังนั้นระบบภูมิคุ้มกันจึงถูกแทรกแซงอย่างหนัก และไม่สามารถที่จะโต้ตอบได้ เมื่อไวรัสทำการแบ่งตัว เรากำลังพูดถึงระดับพันล้าน มีเซลล์ที่ต้องจัดการกับเซลล์ที่ติดเชื้อ เป็นเซลล์นักทำลาย แต่ว่าพวกมันก็ติดเชื้อเช่นกัน และได้ตายก่อนที่พวกมันจะสามารถป้องกันโรคจากการแพร่กระจาย ในเวลาเดียวกันที่ติดเชื้ออีโบล่า เซลล์ผู้พิทักษ์ของร่างกาย มาโครฟาจ (macrophage) และ โมโนไซต์ (monocyte) ไม่เพียงแต่ที่จะหลีกเลี่ยงการป้องกันของพวกมัน มันยังเปลี่ยนแปลงสัญญาณบางส่วนสำหรับเซลล์ที่สร้างหลอดเลือด โดยบอกให้ปล่อยของเหลวเข้าสู่ร่างกาย
โดยปกติสิ่งนี้ไม่แปลก แต่ในกรณีนี้ มันจะทำให้เกิดความโกลาหล นิวโทรฟิล (neutrophil) (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) จะถูกกระตุ้นทั้งร่างกาย ถูกปลุกให้ตื่นโดยไวรัสและสัญญาณจากมาโครฟาจ และไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัส ซึ่งไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้และเริ่มทำในสิ่งต่างๆ ที่พวกมันไม่สมควรทำ นิวโทรฟิลจะส่งสัญญาณไปยังหลอดเลือด ให้ปล่อยของเหลวมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดเลือดตกใน และส่วนอื่นของรางกายที่เชื้ออีโบล่าโจมตีคือตับ พวกไวรัสพบว่า มันง่ายที่จะเข้าไปยังตับ และเริ่มทำลายเซลล์ตับจำนวนมากอย่างรวดเร็ว และทำให้อวัยวะล้มเหลวและเลือดตกในมากขึ้น และสิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน
ในเวลาที่ไวรัสแพร่กระจาย เหมือนโดยทิ้งระเบิดปรมาณูทุกๆ ที่ เพียงแค่หนึ่งเหตุการณ์ในที่ๆ เดียวก็เป็นปัญหามากพอแล้ว แต่ขณะนี้มันได้เกิดขึ้นทุกๆ ที่พร้อมกัน กลไลของระบบภูมิคุ้มกันต้องพัฒนาเพื่อที่จะรับมือกับการติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับคุณและไวรัสได้แพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดได้เริ่มต้นทำให้เซลล์ร่างกายติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ร่างกายดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่ ในความพยายามสุดท้ายที่จะพลิกสถานการณ์ ระบบภูมิคุ้มกันได้ปล่อยพายุไซโตไคน์ (cytokine) โดยพายุไซโตไคน์คือสัญญาณข้อความช่วยเหลือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยอาวุธทุกอย่างที่มีพร้อมกันในการโจมตีครั้งสุดท้าอย่างเอาเป็นเอาตาย สิ่งนี้ทำร้ายไวรัสแต่ได้ความเสียหายข้างเคียงจำนวนมาก โดยเฉพาะหลอดเลือด ยิ่งระบบภูมิคุ้มกันมีสุขภาพดีแค่ไหน มันยิ่งทำร้ายตัวเองมากขึ้น ของเหลวจำนวนมากออกจากกระแสเลือด ทำให้เลือดไหลออกจากทุกรูรั่วของร่างกาย คุณจะอยู่ในภาวะภาวะร่างกายขาดน้ำอย่างหนัก โดยไม่มีเลือดเหลือพอที่จะส่งออกซิเจนให้อวัยวะ และเซลล์กำลังจะตาย ถ้าคุณถึงจุดนั้น โอกาสที่คุณจะเสียชีวิตมีสูงมาก ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 6 ใน 10
ว้าว! โอเค อีโบล่ามันน่ากลัว ตอนนี้เราควรตื่นตระหนก ใช้ไหม? ไม่ ไม่ใกล้เคียงเลย ความรุนแรงของอีโบล่าทำให้สื่อขายข่าวได้และคลิบยูทูปถูกแชร์ให้ทุกคนพูดเกี่ยวกับอีโบล่า และ ณ ตอนนี้ วิธีเดียวที่จะติดเชื้ออีโบล่าคือการสัมผัสของเหลวจากร่างกายของผู้ที่ติดเชื้ออีโบล่า หรือค้างคาวที่ติดเชื้อไวรัส ดังนั้นอย่าทำเช่นนั้น เชื้ออีโบล่าพรากชีวิตคนไปราว 5,000 คน ตั้งแต่มิถุนายน 2557 แต่ไข้หวัดปกติ พรากชีวิตคนไปร่วม 500,000 ต่อปี ไข้มาลาเรียส่งผลถึง 1 ล้านต่อปี 3,000 คนต่อปี ถึงแม้ว่าอีโบล่าจะร้ายแรงและน่ากลัว อย่าให้คุณเองตื่นตระหนก สิ่งที่แพร่เชื้อมากที่สุดเกี่ยวสกับอีโบล่า คือการเผยแพร่เกินจริงของสื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม คุณควรเรียนรู้เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบ้าง
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel