google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic: จักรวาล | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์
Showing posts with label จักรวาล. Show all posts
Showing posts with label จักรวาล. Show all posts

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

5 ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล

"ดวงอาทิตย์ของเรามีคู่ปรับอันตรายที่จะทำให้ชีวิตบนโลกดับสูญหรือไม่" 

"เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเดินทางข้ามเวลา มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง"

 
"เกิดอะไรขึ้นกับคู่แฝดตัวร้ายของสสาร ความคิดของนักฟิสิกส์ทั้งหลายตามหาคำอธิบายนั้นอยู่"


"น้ำบนดาวอังคารหายไปได้อย่างไร"

 
"อะไรมาก่อนบิ๊กแบง นี่คือปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวิทยาศาสตร์ทั้งปวง"
 

คำถามสำคัญและวิทยาศาสตร์ล้ำยุค ปริศนาที่ไร้คำอธิบายของจักรวาล



1. อุกกาบาตชนโลกจนชีวิตดับสูญ
ในบรรดาปริศนาคำถามของจักรวาลนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรีบหาคำตอบเป็นพิเศษ สำหรับมนุษย์ทุกคนที่ยังอาศัยอยู่บนโลก ชาวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกมีกำหนดเวลาที่ต้องถูกล้างเผ่าพันธุ์ทุกๆ 26 ล้านปีหรือไม่ และหากใช่อะไรคือสาเหตุที่ก่อความเสียหายที่รุนแรงนั้น คุณจะเจอการระเบิดอย่างใหญ่หลวง ทุกสิ่งภายในรัศมี 1,000 ไมล์จะตายหมด เราจะต้องเจอแรงระเบิด คลื่นสึนามิ ความร้อนมหาศาล ไฟลุกขึ้นทั่วโลก จากนั้นก็มืดสนิท เป็นเวลาหลายล้านปีแล้วที่วัตถุขนาดใหญ่จากอวกาศได้พุ่งชนโลก จนสร้างความหายนะอย่างร้ายแรง การพุ่งชนครั้งหนึ่งที่นอกชายฝั่งแหลมยูคาทันเป็นสิ่งที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน แต่นี่ไม่ใช่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่บนโลก และมันก็น่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มีการสูญพันธุ์ที่ใหญ่กว่านั้นในยุคเฮอเมียส ทำให้สิ่งมีชีวิต 95% ในมหาสมุทรตายไป และราว 80% ของสัตว์บกด้วย ดังนั้นการสูญพันธุ์ที่รุนแรงได้เคยเกิดขึ้นแล้ว

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าช่วงจังหวะการสูญพันธุ์และการทำลายล้างนี้จะมาเป็นระยะที่แน่นอน นักดึกดำบรรพ์วิทยาพบรูปแบบที่แปลกมาก สิ่งที่พวกเขาพบคือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ฆ่าไดโนเสาร์และครั้งอื่นๆ ด้วย มันไม่ได้เกิดแบบสุ่มๆ แต่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตามกำหนด นั่นเป็นสิ่งแปลกมาก มันเกิดขึ้นทุกๆ 26 ล้านปี นั่นทำให้เราอยากรู้คำอธิบาย

นักแอสโตรฟิสิกส์ "ริชาร์ด มุลเลอร์" เชื่อว่าคำอธิบายของการทำลายล้างทุกๆ 26 ล้านปีนี้คือดาวแคระแดงสลัวที่ซ่อนอยู่ที่ขอบระบบสุริยะ ดาวฤกษ์ที่เขาเรียกได้อย่างเหมาะสมว่า "เนเมซิส" จากทฤษฏีของมุลเลอร์ เนเมซิสคือดาวคู่หูของดวงอาทิตย์ของเราที่ยังไม่ถูกค้นพบ มันเดินทางไปมาระหว่าง 1-3 ปีแสง จากศูนย์กลางของระบบสุริยะในวงโคจรทรงรียาว เมื่อเนเมซิสเคลื่อนมาใกล้กับดวงอาทิตย์ทุกๆ 26 ล้านปี วงโคจรของมันพามันผ่านกลุ่มเมฆออร์ต (Oort Cloud)ซึ่งเป็นกลุ่มดาวหางราวล้านๆ ดวงรอบๆ ระบบสุริยะของเรา นั่นคือตอนที่ระบบสุริยะเริ่มมีความปั่นป่วนเป็นพิเศษ

"เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เนเมซิสเริ่มเข้าใหล้ดาวหาง และรบกวนวงโคจรของพวกมัน" มุลเลอร์กล่าว
จากทฤษฎีของมุลเลอร์ การรบกวนแรงดึงดูดที่เกิดจากดาวฤกษ์ที่ดูไร้พิษภัยนี้ ทำให้ดาวหางที่ยาวและไม่ถูกดึงดูดไว้ หนีออกจากวงโคจรในกลุ่มเมฆออร์ต ถูกดึงเข้าสู่ดวงอาทิตย์โดยแรงดึงดูด ดาวหางนับพันล้านดวงถูกส่งให้มุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะวงใน บางดวงจะพุ่งมาสู่โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทำให้เกิดแรงกระแทกและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ขึ้น ข้ออ้างที่ว่าดวงอาทิตย์ของเรามีดาวสหายที่ยังไม่ถูกค้นพบนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์เดี่ยวที่ไม่มีคู่ แต่ในจักรวาลนั้นดาวฤกษ์คู่หรือกลุ่มสามดวงที่อยู่ใกล้กันเพราะแรงดึงดูดเป็นเรื่องปกติ

"ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในกาแล็คซี่ของเราเป็นดาวฤกษ์คู่หรือแบบสามดวง และดังนั้นแนวคิดที่ว่าดวงอาทิตย์อาจเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นก็ไม่ได้สุดกู่นักจากมุมมองนั้น มันเป็นคำถามที่น่าสนใจ" เอเดรียน คูล (Adrienne Cool) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์หญิงกล่าว

แม้ว่าดวงอาทิตย์อาจจะมีสหายที่เป็นคู่กัน นักดาราศาสตร์ก็ไม่เคยเห็นดาวคู่ที่คู่ของมันอยู่ห่างกันอย่างที่มุลเลอร์อ้างว่าดวงอาทิตย์และเนเมซิสเป็นอยู่เลย มุลเลอร์ต้องการข้อพิสูจน์ว่าเนเมซิสมีจริง ในปี 1997 ภารกิจหนึ่งของนาซ่าเริ่มขึ้น ซึ่งจะมีโอกาสให้ความกระจ่างในปริศนานี้ กล้องทูไมครอนสกายเซอร์เวย์ (Two Micron Sky Survey) หรือทูแมส (2MASS) ใช้กล้องดูดาวอินฟราเรดคู่เพื่อส่องจักรวาลหาดาวฤกษ์ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ทูแมสเชี่ยวชาญการหาดาวหายาก ภายในและใกล้แกแล็คซี่ของเรา และถึงบัดนี้ได้ให้ภาพสองล้านภาพแล้ว หากมีเนเมซิสอยู่จริง ทูแมสควรจะมองเห็นมันแล้ว แต่กล้องนี้ยังไม่เคยตรวจจับสิ่งใดที่ตรงกับลักษณะดาวมรณะนี้ของมุลเลอร์เลย

"เราได้มองหาดาวมรณะนั้นอย่างมากแล้ว ดาวเนเมซิสนั่น และเราก็ไม่พบมันที่ไหนเลย" ดร.มิชิโอะ คากุ (Michio Kaku) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์กล่าว

แต่มุลเลอร์ไม่แปลกใจที่กล้องทูแมสไม่พบดาวเนเมซิสของเขา

"เหตุผลก็คือด้วยระยะทางราว 1 ปีแสงเป็นระยะทางที่ไกลพอที่จะต้องโคจรเป็นเวลา 26 ล้านปี ความเคลื่อนไหวของมันจึงน้อยนิดมาก และมันน่าจะถูกมองพลาดไปโดยการสำรวจมาตรฐานที่มองหาดาวฤกษ์ในระยะไกลๆ" มุลเลอร์กล่าว

ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือเนเมซิสอาจเป็นดาวแคระสีน้ำตาล ดาวฤกษ์ที่ใกล้ดับพวกนี้เล็กกว่าดาวแคระแดงมาก และด้วยวงโคจรที่หรี่มากๆ ดาวแคระน้ำตาลจะอยู่ห่างจากโลกเกือบตลอดเวลาและพ้นจากสายตาที่จ้องมองของนักดาราศาสตร์ หากเป็นเช่นนั้นจริงเนเมซิสก็น่าจะพ้นจากเรดาห์ของกล้องทูแมสได้ง่ายๆ

ริชาร์ดมุลเลอร์ปฏิญาณว่าจะมองหาต่อไปและวางแผนที่จะศึกษาอย่างละเอียดยิ่งขึ้น เขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเนเมซิสจะต้องถูกพบ

"มีดาวฤกษ์อยู่มากมายบนนั้นมีเป็นล้านๆ ดวง แต่เมื่อคุณงมเข็มในมหาสมุทร คุณสามารถดูมันแล้วก็บอกได้ว่า โอ้ นั่นไม่ใช่เข็ม นี่ก็เช่นกัน เมื่อเราพบเนเมซิส เราก็จะวัดวงโคจรของมันและพิสูจน์ได้ว่ามันคือเนเมซิส" มุลเลอร์กล่าวทิ้งท้าย

2. การเดินทางข้ามกาลเวลา
ในบรรดาปริศนาไร้คำอธิบายทั้งหมดในจักรวาล บางทีสิ่งที่ยั่วเย้าและเป็นที่โต้เถียงมากที่สุดคือปริศนาที่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเดินทางข้ามเวลา เราสามารถเดินทางย้อนเวลาได้หรือไม่ เราจะเปลี่ยนแปลงชะตาของเราได้หรือไม่ มันเป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง

ในปี 1955 รอน มาลเล็ต  มีอายุเพียงสิบขวบ เมื่อพ่อของเขาตายด้วยโรคหัวใจวาย ด้วยความโศกเศร้า หนูน้อยมาเล็นอยากหาวิธีที่จะพบพ่อของเขาอีกครั้ง และอาจจะช่วยชีวิตพ่อไว้

"ราวหนึ่งปีหลังจากเขาตาย ผมก็ได้เจอหนังสือ เดอะ ไทม์แมชชีน ของ H.G. WELLS และนั่นคือสิ่งที่ช่วยผม เพราะผมคิดว่าถ้าผมสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาอย่างที่ H.G. WELLS เขียนเรื่องนี้เอาไว้ได้ ผมก็สามารถกลับไปในอดีต ไปช่วยชีวิตพ่อผมเอาไว้และได้เห็นเขาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นผมจึงหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะพยายามสร้างไทม์แมชชีนขึ้น

เดอะ ไทม์แมชชีน เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น แต่มาลเล็ตค้นพบในไม่ช้าว่ามีเหตุผลที่สนับสนุนเรื่องการเดินทางข้ามเวลาที่ลึกลับนี้ และแหล่งนั้นไม่ใช่ใครนอกจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์เสนอทฤษฎีว่าอวกาศและเวลาเชื่อมโยงกัน ดังนั้นเราสามารถจินตนาการอวกาศเวลาว่าเป็นเหมือนเส้นใยหรือแผ่นหยัก ด้วยทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของเขา ไอน์สไตน์แสดงให้เห็นว่าวัตถุขนาดใหญ่ เช่นดาวเคาะห์หรือดาวฤกษ์หรือหลุมดำจะทำให้เส้นใยของอวกาศและเวลาโค้งงอ จริงๆ แล้วไอน์สไตน์เชื่อว่าแรงดึงดูด พลังที่ดึงเราไว้ติดกับโลกและทำให้โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงผลของการโค้งงอนี้

สำหรับมาลเล็ต แนวคิดที่น่าปวดหัวระดับจักรวาลนี้มีความหมายที่กว้างไกล เพราะถ้าคุณสามารถสร้างแรงดึงดูดมากพอที่จะบิดเวลาจนเป็นวงได้ บางทีคุณก็อาจสร้างเส้นทางสำหรับเคลื่อนที่เดินหน้าหรือถอยหลังไปในเวลาได้ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ปลุกพลังให้รอน มาลเล็ตเรียนรู้หาวิธีที่จะสร้างไทม์แมชชีนของเขาเอง แต่การเดินทางข้ามเวลาไม่ใช่หัวข้อที่จะศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ที่จริงจังได้อย่างเปิดเผย

"ว่ากันตามตรงแล้วผมใช้แนวคิดที่เข้ากันได้ในแบบของผม ผมศึกษาเกี่ยวกับหลุมดำ เพราะหลุมดำทำให้ผมเข้าใจว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์ส่งผลต่อเวลาและอื่นๆ อย่างไร มันเป็นแนวคิดบ้าๆ แต่มันถูกมองว่าบ้าแบบมีหลักการ ดังนั้นผมจึงโตาในสายงานในการศึกษาสิ่งเหล่านั้น" รอน มาลเล็ตกล่าว

หลุมดำบริเวณส่วนที่เหลือของดาวฤกษ์ ส่วนที่ยุบตัวขนาดใหญ่ยักษ์ มีแรงดึงดูดที่แทบไม่มีสิ่งใดเทียบได้ที่จะบิดเบือนอวกาศและเวลา ซึ่งก็คือสิ่งที่มาลเล็ตต้องการทำ แต่เขาจะสร้างอุปกรณ์ในห้องแล็บที่มีสสารมากพอที่จะทำให้อวกาศและเวลาโค้งได้อย่างไร เพื่อหาแรงดลใจ มาลเล็ตหันไปหาไอน์สไตน์อีกครั้ง และสมการที่โด่งดังที่สุด E = mc2 ซึ่งแสดงว่าสสารและพลังงานเป็นเพียงรูปแบบที่ต่างกันของสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจากทฤษฎีของไอน์สไตน์ก็อาจที่จะสามารถทำให้อวกาศและเวลาโค้งงอได้ เหมือนกัยที่วัตถุขนาดใหญ่ทำได้

"เราคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่าแรงดึงดูดเกิดขึ้นจากสสารจะกลับกลายเป็นว่าทฤษฎีของไอน์สไตน์ แสงสามารถสร้างแรงดึงดูดได้ และนั่นคือแนวคิดที่งานของผมอิงอยู่ พูดอีกอย่างนึงคือหากแรงดึงดูดมีผลต่อเวลา และแสงสามารถสร้างแรงดึงดูดได้ ดังนั้นแสงก็สามารถส่งผลต่อเวลาได้" รอน มาลเล็ตกล่าว

มาลเล็ตได้สร้างเครื่องมืออย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อสาธิตแนวคิดของเขาว่าแสงเลเซอร์ที่เกิดวนไปมาสามารถสร้างอุโมงค์แสงที่บิดอวกาศและเวลาได้

"มันมีแสงเลเซอร์ที่ตัดกันสี่เส้น พื้นที่ภายในลำแสงนั้นจะเป็นพื้นที่ที่อวกาศกำลังถูกบิดตัวอยู่ และในที่สุดเวลาก็จะถูกบิดไปด้วยโดยลำแสงนี้ และนี่จะทำให้เราเดินทางย้อนไปในอดีตได้" รอน มาลเล็ตกล่าว

สิ่งที่เดินทางข้ามเวลาได้อย่างแรกจะต้องเล็กกว่ามนุษย์มาก เช่น อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เช่น นิวตรอน

"สิ่งที่เราพยายามส่งไปไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมและข้อมูล และนั่นก็ถือเป็นก้าวใหญ่มากแล้ว เพราะนึกดูสิครับว่าถ้าเราสามารถส่งข้อมูลกลับไปในอดีตที่บอกถึงหายนะในอนาคตเพื่อที่จะสามารถป้องกันมันได้ เราสามารถเข้าใจว่าลำแสงที่วนเวียนสามารถบิดอวกาศและเวลาได้อย่างไรด้วยการเปรียบเทียบกับถ้วยกาแฟ ถ้าเราคิดว่ากาแฟในถ้วยเป็นอวกาศที่ว่างเปล่า และคิดถึงช้อนว่าเป็นลำแสงที่วนไปมา คุณก็จะเห็นว่าเกิดอะไรกับกาแฟในขณะที่ผมคนมัน กาแฟนั้นหมุนวน นี่คือสิ่งที่ลำแสงกระทำกับอวกาศที่ว่างเปล่า และเราสามารถเห็นผลเช่นนี้ในกรณีของกาแฟด้วยการใส่เมล็ดกาแฟแล้วคน เมล็ดกาแฟก็จะถูกเหวี่ยงไปรอบๆ ในกรณีของเลเซอร์ขณะที่ลำแสงวนไปมา เราใส่อนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เร็วกว่านิวตรอนลงไป และเมื่อเราคน อากาศรอบๆ นิวตรอนจะถูกทำให้หมุนวนเหมือนเมล็ดกาแฟ ทีนี้จำได้ไหมว่าในทฤษฎีของไอน์สไตน์นั้นอวกาศและเวลานั้นเชื่อมโยงกัน ดังนั้นการหมุนวนของอวกาศจะทำให้เส้นตรงของเวลาหมุนวนเป็นวงกลม และในห่วงของเวลานั้นเราสามารถเดินทางจากอดีตไปปัจจุบันไปอนาคตและกลับไปในอดีตก็ยังได้"  รอน มาลเล็ตกล่าว

ในนิยายวิทยาศาสตร์ได้ให้ภาพไทม์แมชชีนว่า สามารถเดินทางไปข้างหน้าและย้อนเวลากลับได้อย่างไม่จำกัด แต่มาลเล็ตเตือนว่า นักเดินทางข้ามเวลา สามารถเดินทางกลับได้ไกลสุดเท่ากับตอนที่ไทม์แมชชีนเดินเครื่อง

รอน มาลเล็ต "พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าผมเปิดเครื่องวันนี้แล้วเปิดทิ้งไว้ร้อยปี และใครบางคนในอีกร้อยปีข้างหน้านั้นสามารถเดินทางกลับได้ถึงแค่ช่วงเวลาที่ผมเปิดเครื่องนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางย้อนไปกว่านั้นได้เพราะเครื่องนั้นยังไม่มีตัวตนขึ้นมา และเครื่องมือเป็นตัวทำให้เกิดผลนั้นขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้พวกเขาได้กลับมาหาหรือได้ปรากฏร่างขึ้น"

ข้อจำกัดนี้หมายถึงไทม์แมชชีนของมาลเล็ตไม่สามารถทำให้เขาเดินทางกลับไปปี ค.ศ. 1955 เพื่อช่วยชีวิตพ่อของเขาได้ การจะทำเช่นนั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีที่มาจากนอกโลก ในทางทฤษฎี อารยะธรรมต่างดาวที่ล้ำยุค อาจมีไทม์แมชชีนที่เปิดทิ้งไว้เมื่อหลายพันปีก่อน

รอน มาลเล็ต "เราอาจสามารถใช้ไทม์แมชชีนของพวกเขาไปเยือนอดีตที่เก่าแก่ของเรา เพราะถ้าพวกเขาพัฒนาการเดินทางข้ามกาลเวลามาได้ เอาเป็นว่าหมื่นปีก่อนมันมีข้อจำกัดแบบเดียวกัน แต่ถ้าเราพบพวกเขา เราสามารถใช้มันได้ และบางทีในวันหนึ่ง เราสามารถไปเยือนอียิปต์ยุคโบราณหรือโรมยุคโบราณก็ได้"

สำหรับตอนนี้มาลเล็ตจดจ่ออยู่ที่การสร้างไทม์แมชชีนของเขา โครงการที่จะต้องใช้เงิน 250,000 เหรียญแค่ในการเริ่มต้นเท่านั้น เงินเป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งที่นักฟิสิกส์ต้องเจอในการอาจหาญที่จะเดินทางข้ามเวลา และยังมีสิ่งขัดแย้งบางอย่างที่หลายคนเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางข้ามเวลาเป็นไปไม่ได้ เช่นความขัดแย้งเรื่องคุณปู่ที่มักกล่าวถึงกัน ลองนึกดูว่าถ้าคุณย้อนเวลากลับไปแล้วฆ่าปู่ของคุณก่อนที่เขาจะพบกับย่าของคุณ ดังนั้นคุณจะไม่มีทางได้เกิดมา และดังนั้นจึงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ตั้งแต่แรก แล้วเหตุการณ์จะถูกกำหนดว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นหรือไม่ได้เกิดขึ้น

แต่มาลเล็ตเชื่อว่าความก้าวหน้าล่าสุดในฟิสิกส์ ทฤษฎีบ่งชี้ว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่ปัญหาใดใดเลย นักฟิสิกส์หลายคนในขณะนี้เชื่อในแนวคิดสุดขั้วที่ว่าจักรวาลของเราเป็นหนึ่งในจักรวาลขนานหลายๆ แห่ง ดังนั้นเมื่อคุณย้อนเวลากลับคุณอาจเข้าไปในจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งคุณสามารถไปยังเหตุการณ์ต่างๆ โดยไม่ส่งผลต่อจักรวาลที่คุณจากมา

ดร.มิชิโอะ คากุ "เราเชื่อว่าแม่น้ำแห่งเวลาอาจมีการไหลวนได้ การไหลวนซึ่งคุณอาจใช้มันกลับไปเพื่อพบกับพ่อแม่คุณก่อนที่คุณจะเกิดมา หรืออาจจะแยกออกเป็นแม่น้ำสองสาย คุณสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อให้เป็นจักรวาลอีกแห่งหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นทฤษฎีที่อยู่ในระดับที่สูงมากๆ ของฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกวันนี้

มาลเล็ตเชื่อว่าเราอาจต้องรออีกเพียงร้อยปีที่จะได้เดินทางข้ามเวลาโดยมนุษย์ แต่ก็ยังสายไปสำหรับเขาที่จะได้เดินทางกลับไปช่วยพ่อของเขา แต่ความสูญเสียส่วนตัวของเขาได้เปิดประตูไปสู่โลกใหม่สำหรับคนรุ่นหลังๆ

3. ปริศนาของปฏิสสารคู่แฝดของสสาร
ขณะที่จักรวาลเริ่มก่อตัวช่วงแรกๆ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันประกอบไปด้วยสิ่งที่มากกว่าสสารปกติที่ประกอบเป็นทุกๆ สิ่งรอบตัวเรา พวกเขาเชื่อว่ามันมีปฏิสสารจำนวนเท่าๆ กัน คู่แฝดที่ร้ายกาจและหลบซ่อนอยู่ของสสาร

"หากคุณกลับไปยังจักรวาลช่วงแรกมากๆ ปรากฏว่ามันประกอบไปด้วยสสารและปฏิสสาร และปรากฏว่าอนุภาคทุกอันมีปฏิอนุภาคอยู่ และมันฟังดูค่อนข้างบ้าแต่มันจริงและดูเหมือนกับนิยายวิทยาศาสตร์เลย" เอเดรียน คูล กล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่อะไรคือปฏิสสารที่ลึกลับนี้และพวกมันทั้งหมดนั้นหายไปไหน

"ปฏิสสารนั้นเหมือนกับสสารทุกอย่าง ความแตกต่างระหว่างกันคือการที่มันมีประจุที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง"

สสารทั่วไปประกอบด้วยอะตอม และตัวมันก็จะประกอบไปด้วยอนุภาคที่เล็กลงไปอีก เช่นอิเล็กตรอนที่มีประจุลบกับโปรตอนที่มีประจุบวก ปฏิสสารจะตรงข้ามกับอนุภาคเหล่านี้ พวกมันมีมวลเท่ากันแต่มีประจุไฟฟ้าตรงข้าม

"โปรตอนเป็นอนุภาคประจุบวกซึ่งเป็นนิวเคลียสของอะตอม แอนตี้โปรตอนจะเป็นโปรตอนที่มีประจุลบซึ่งมีมวลเท่ากัน"

ในจักรวาลของเราสิ่งที่ตรงข้ามจะดึงดูดกัน อนุภาคและปฏิอนุภาคถูกดึงดูดเข้าหากัน เราคงคิดว่านี้คือความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างระหว่างฟากฟ้า แต่ทุกครั้งที่สสารมาสัมผัสกับปฏิสสาร ผลลัพธ์จะเหมือนเดิม มันทำลายล้างกันและกัน ลองจินตนาการถึงยานอวกาศสองลำพุ่งไปในอวกาศโดยมีเส้นทางประสานงากัน ลำหนึ่งประกอบด้วยสสารปกติ อีกลำเป็นแบบปฏิสสารสร้างโดยอารยธรรมต่างดาว การชนจะน่ายิ่ง และจะไม่มีซากเหลือให้นักสืบอวกาศได้ตรวจสอบเลย

"สสารและปฏิสสารอันตรธานไป พวกมันหายวับไปเลย แต่พลังงานไม่ได้หายไป พลังงานปรากฏขึ้นในรูปแบบของรังสีแกมม่าสองลำที่แรงมากอย่างโฟตอน และปริมาณพลังงานที่ถูกขังอยู่ในมวลขนาดเล็กจิ๋วนั้นมันน่าตะลึงทีเดียวค่ะ" เอเดรียน คูล กล่าว

"ถ้าคุณนำสสารและปฏิสสารมา แล้วนำมารวมกัน ตูมตามขึ้นมาเลยล่ะ และจริงๆ แล้วมันเป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างนึงในจักรวาล การชนกันของสสารและปฏิสสาร ดังนั้นถ้าผมเป็นคุณผมจะไม่นำปฏิสสารไว้ในกระเป๋า" ดร.มิชิโอะ คากุ ว่าไว้

แม้จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้เมื่อเจอกับปฏิสสาร แต่มันก็มีพลังงานมากมายซ่อนอยู่ ถ้าเรารู้วิธีตักตวงจากมัน

"ดังนั้นเพื่อให้พอรู้ว่ามีพลังงานอะไรซ่อนอยู่ในสสารและปฏิสสาร ลองสมมติกองทรายสองกองในมือ กองหนึ่งเป็นสสาร อีกกองเป็นปฏิสสาร และคุณปล่อยให้พวกมันมารวมกันและทำลายล้างกันและให้พลังงานออกมา มากแค่ไหนน่ะเหรอ ก็มากพอที่จะจ่ายไฟให้แคลิฟอร์เนียทั้งหมดหนึ่งอาทิตย์ได้เพียงแค่จากทรายสองกองนี้เท่านั้น" เอเดรียน คูลชี้แจง

ปริศนาใหญ่สุดเกี่ยวกับปฏิสสารคือเรื่องนี้ หากมีปริมาณของปฏิสสารและสสารเกือบเท่ากันในจักรวาลช่วงแรก แล้วปฏิสสารอยู่ไหนกันหมดตอนนี้

ดร.มิชิโอะ คากุ "หนึ่งในปริศนาข้อใหญ่ของจักรวาลก็คือเกิดอะไรขึ้นกับคู่แฝดที่ร้ายกาจของเราอย่างปฏิสสาร ทุกแห่งที่เรามองไปในฟากฟ้า เราเห็นแต่สสารปกติ เราไม่เห็นปฏิสสาร มีปฏิสสารเพียงน้อยนิดที่มาจากศูนย์กลางของกาแล็กซี่ทางช้างเผือก"

คิม สแตนลีย์ โรบินสัน ""ทำไมจักรวาลนี้จึงดูเหมือนจะประกอบไปด้วยสสารล้วนๆ และไม่มีปฏิสสารให้เห็นกันมากนัก ถือเป็นปริศนาอยู่ และผมก็ไม่คิดว่ามันจะได้รับการอธิบายอยู่ดี แต่พวกเราเนี่ยแหละคิดหาคำอธิบายอยู่ตลอด"

ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ อาจมีเปอร์เซ็นต์ของสสารสูงกว่าปฏิสสารเล็กน้อยในจักรวาลช่วงต้นๆ ดังนั้นเมื่ออนุภาคเหล่านั้นชนกันเกิดเป็นสงครามทำลายล้าง สสารที่มีสูงกว่าน้อยนิดจึงเหลือมาจากช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นเหมือนทหารผ่านศึกของสงครามที่เก่าแก่ที่สุดของเรา

เอเดรียน คูล "สำหรับแอนดี้โปรตอนหนึ่งพันล้านอนุภาค คุณต้องการโปรตอนหนึ่งอนุภาค และแล้วทั้งหนึ่งพันล้านนั้นห้ำหั่นกันหมด เหลือมาเพียงหนึ่งโปรตอนเท่านั้น"

ดร.มิชิโอะ คากุ "และสิ่งที่เหลือคือพวกเรา เราคือเศษซาก เราคือสิ่งที่เหลือจากการระเบิดของพลังงานครั้งใหญ่ที่ปล่อยมาจากการชนของสสารและปฏิสสารในช่วงเริ่มที่มีเวลาเกิดขึ้น ทฤษฎีที่ก้าวหน้าที่สุดของเราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงมีความไม่สมดุลระหว่างสสารและปฏิสสาร แต่ขอบคุณพระเจ้าที่มันเป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่"

แต่แม้ว่าสสารจะเหลือมามากมาย จนประกอบเป็นทุกสิ่งที่เราเห็นรอบๆ ตัว จะมีกาแล็คซี่ที่ห่างไกลหรือพื้นที่อวกาศไหนที่ปฏิสสารยังครองความเป็นใหญ่อยู่หรือไม่

คิม สแตนลีย์ โรบินสัน "อาจจะมีกาแล็คซี่อันที่เป็นปฏิสสาร 99.99% เหมือนที่แกแล็คซี่นี้เป็นสสาร แล้วถ้ากาแล็คซี่ที่เป็นปฏิสสารชนเข้ากับกาแล็คซี่ที่เป็นสสาร มันจะทำลายล้างกันเกิดแสงและพลังงานจนสุดจะบรรยายกันเลยทีเดียว"

ถึงแม้จะแปลกประหลาด นักวิทยาศาสตร์ยังเรียนรู้วิธีที่จะสร้างปฏิสสารปริมาณน้อยนิดในเครื่องเร่งของห้องแล็บเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ได้ อนุภาคปฏิสสารจากสารกัมมันตภาพรังสีที่สลายตัวง่ายถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างภาพ PET SCAN (Positron-Emission Tomography) ของสมอง

หลายคนไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขาไปที่โรงพยาบาลแล้วทำการ PET SCAN นั้นคือจริงๆ แล้วพวกเขาถูกฉีดด้วยแหล่งของปฏิสสาร ตัว P ใน PET มาจากคำว่า โพสิตรอน (Positron) โพสิตรอนนั้นเป็นตัวแอนตี้อิเล็คตรอน แล้วพอมันเข้าไปในบางส่วนของร่างกายที่พวกเขาพยายามดูว่ามันมีปัญหาอะไร เมื่อโพสิตรอนถูกส่งออกมามาเจออิเล็กตรอนอย่างรวดเร็ว เกิดการทำลายล้างกันเกิดเป็นรังสีแกมม่าในร่างกาย และถูกตรวจจับได้ มันจะถูกนำไปรวมในส่วนของสมองที่มีกิจกรรมด้านความคิด และดังนั้นเราสามารถตรวจจับการรับรังสีโพสิตรอนได้ ในการสแกนสมองก็จะให้ภาพที่สวยงามของสมองที่กำลังคิดซึ่งมันเกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานของปฏิสสาร

ในขณะที่ปฏิสสารช่วยไขความลับของสมองมนุษย์ สมองมนุษย์ยังไม่อาจไขความลับทั้งหมดของปฏิสสารได้

เอเดรียนคูล "เรายังไม่รู้ว่าทำไมจักรวาลจึงประกอบด้วยสสารในตอนนี้แต่เรากำลังคืบหน้าไปในการตอบคำถามนั้น แบบว่าไปทีละขั้นเล็กๆน่ะค่ะ"

4. น้ำและสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
เช่นเดียวกับปริศนาจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดของเรา ความจริงเกี่ยวกับปฏิสสารอาจจะยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ในตอนนี้ ดาวอังคารและปริศนามักจะไปด้วยกันเสมอ แต่ปริศนาที่น่าสนใจของดาวเคราะห์สีแดงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้รุกรานจากต่างดาว หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าดาวอังคารเคยเหมือนโลกมากกว่านี้ โดยมีองค์ประกอบสำคัญอย่างนึงที่จะเกื้อหนุนชีวิตได้ "น้ำ" นั่นเอง

"น้ำเคยมีอยู่มากมายบนดาวอังคาร เราพบหลักฐานการไหลเมื่อนานแล้ว เราเห็นไอน้ำบ้างนิดๆ ในบรรยากาศ" ปีเตอร์ สมิทธ์กล่าว

มีกระทั่งภูมิปรเทศบนดาวอังคารที่ดูเหมือนหุบเขาแม่น้ำเก่าและที่ราบน้ำท่วมถึง

"มันเคยเป็นดาวเคราะห์ที่เหมือนเขตร้อนที่มีมหาสมุทรและทะเล แต่น้ำทั้งหมดหายไปแล้ว" ดร.มิชิโอะ คากุ

น้ำทั้งหมดหายไปได้อย่างไรและทำไมมันจึงหายไป สิ่งเหล่านี้คือปริศนาที่นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามค้นหาคำตอบ หลักฐานทางธรณีที่รวบรวมโดยยานมาร์สโรเวอร์์และออร์บิเตอร์บ่งชี้ว่าเมื่อ 3,500 ล้านปีก่อน พื้นผิวที่เป็นน้ำของดาวอังคารเปลี่ยนไปอย่างมาก ดาวเคราะห์ที่เคยเป็นที่ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นกลายเป็นพื้นที่เย็นและแห้งและน้ำอันตรธานหายไป แต่การหาคำตอบว่าเมื่อไหร่ที่น้ำหายไปไม่ได้บอกว่าน้ำหายไปไหนและทำไม

เหตุการณ์หลายอย่างบนดาวอังคารหายดูเหมือนจะเปลี่ยนภูมิประเทศที่เป็นน้ำไปอย่างมาก ดาวอังคารเจอกับช่วงที่เกิดภูเขาไฟอย่างรุนแรงและพ่นลาวาออกมาทั่วพื้นผิว เมื่อมันสิ้นสุดลงแกนเหล็กที่หลอมเหลวของมันก็แข็งตัว นี้อาจทำให้ดาวอังคารสูญเสียสนามแม่เหล็กและชั้นโอโซนป้องกันของมัน นี่ทำให้ชั้นบรรยากาศเปราะบางจากลมสุริยะของดวงอาทิตย์ซึ่งมีพลังมากทีเดียว ลมสุริยะพัดกระหน่ำดาวอังคารอยู่หลายล้านปี ทำให้บรรยากาศที่เหลืออยู่หมดไป บัดนี้ไอน้ำที่เคยตกลงมาเป็นหิมะหรือฝนได้หลุดไปจากแรงดึงดูดที่เหลือน้อยของมันไปแล้ว

ดังนั้นน้ำจึงถูกพาไปที่ชั้นบรรยากาศในรูปของไอน้ำและมันถูกกระหน่ำโดยรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต มันสามารถแยกน้ำซึ่งก็คือ H2O ไปเป็น ไฮโดรเจนและออกซิเจน ไฮโดรเจนซึ่งเป็นก๊าซที่เบาที่สุดที่เรารู้จักลอยไปที่ชั้นบนของบรรยากาศและถูกพัดไปโดยลมสุริยะ

อีกทฤษฎีหนึ่งของการเสียน้ำบนดาวอังคารเกี่ยวข้องกับภับคุกคามจากภายนอกดาว มีหลักฐานว่าในช่วงปีแรกๆ ของระบบสุริยะ ดาวอังคารอยู่ในตำแหน่งที่ถูกพุ่งชนอย่างหนัก มีกลุ่มก้อนอย่างหนึ่งเมื่อราว 3,600 ล้านปีก่อน ดาวอังคารถูกพุ่งชนหลายครั้งทำให้วัตถุที่อยู่บนดาวและบรรยากาศปลิวออกไปนอกดาวและออกจากสนามแรงดึงดูด

คำตอบอื่นๆ เรื่องน้ำที่หายไปจากดาวอังคารอาจซ่อนอยู่ลึกลงไปในดาวเคราะห์แดงนี้ น้ำบางส่วนรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์กลายเป็นน้ำแข็งที่ขั้วดาวหนาถึง 2 ไมล์ และเพอร์มาฟรอสต์ที่ครอบคลุมพื้นผิวส่วนใหญ่ แต่มีหลักฐานว่าภายใต้น้ำแข็งนั้น น้ำยังคงไหลอยู่ น้ำส่วนใหญ่บนดาวอังคารซึมลงไปใต้ดินและบางส่วนของมันได้หนีลงไปที่ความลึกซึ่งอบอุ่นพอที่มันจะอยู่ในสภาพของเหลวได้ และจากนั้นเมื่อมันเริ่มเย็นขึ้น มันจะแข็งตัวเป็นไครโอสเฟียร์ก็ว่าได้ ส่วนที่เป็นน้ำแข็งของใต้ผิวดาวและที่ใกล้ผิวจะแห้งไปเพราะน้ำสามารถเคลื่อนผ่านดินและเข้าสู่บรรยากาศได้

นักวิทยาศาสตร์มหาลัยอริโซน่า ปีเตอร์ สมิทธ์ อยากจะไขปริศนาน้ำที่หายไปของดาวอังคาร สมิทธ์เป็นผู้ควบคุมหลักของภารกิจบนดาวอังคารฟีนิกซ์ของนาซ่า มันคือยานหุ่นยนต์ที่มีวัตถุประสงค์ง่ายๆ อย่างเดียวคือลงจอดบนดาวอังคารและตามหาน้ำ เกิดอะไรขึ้นกับน้ำนั่น มันน่าจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็งใต้ดิน หรือแม้แต่น้ำใต้ดินที่เป็นของเหลว นี่คือสิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่ทุกวันนี้ โดยใช้วิทยุและเรดาห์ส่องผ่านทะลุผิวเข้าไปและพยายามมองหาแหล่งน้ำพวกนี้ให้พบ

สมิทธ์เชื่อว่า วิลค๊อกซ์ พลายาของอริโซน่าจะคล้ายกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบ เมื่อยานฟีนิกซ์เริ่มตะกุยผิวดาวอังคารสีแดง แม้ว่าพื้นผิวที่อริโซน่าจะถูกเผาจนเป็นเกลือและแห้ง ลึกลงไปเพียง 6 นิ้วบนพื้นผิวนี้กลับกลายเป็นดินเหียวที่เปียกมากเหมือนที่เก็บน้ำและมีระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในดินที่เปียกพวกนี้ ในดินเหนียวนี้ เมื่อฝนตกมันจะขึ้นมาที่พื้นผิว แล้วคุณก็จะเห็นกุ้งน้ำเค็มในบ่อน้ำเล็กๆ ที่ติดอยู่ในดินพวกนี้ เราสงสัยว่าเราขุดในที่ๆ ถูกต้องบนดาวอังคารหรือไม่ และนั่นก็คือเขตที่เป็นเพอร์มาฟรอสต์ เราจะพบระบบนิเวศน์แบบเดียวกันที่น้ำแข็งละลายไปเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนซึ่งทำให้อยู่อาศัยได้สำหรับสิ่งมีชีวิตบางอย่างของดาวอังคารหรือไม่

บางคนเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกมีที่มาจากดาวอังคารและการเปลี่ยนแปลงที่แปลกของมันทำนายถึงดวงชะตาของเรา หากนั่นเป็นจริง การพบน้ำบนดาวอังคารจะพาเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นในอวกาศของเราและนำไปสู่อนาคตด้วย



5. อะไรเกิดก่อน Big Bang
เมื่อพูดถึงจักรวาลแล้ว สิ่งที่เรารู้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เรายังไม่ได้เรียนรู้ และจากปริศนาที่ไร้คำอธิบายทั้งหลายนั้น คำถามหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือ มีอะไรมาก่อนบิ๊กแบงหรือไม่ หรือบิ๊กแบงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างจริงๆ และถ้าเป็นเช่นนั้นอะไรที่เป็นตัวจุดประกายมัน นี่คือปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางวิทยาศาสตร์ทั้งปวง อะไรเป็นตัวเริ่มการสรรค์สร้างนั้น ทฤษฎีบิ๊กแบงยังมีช่องว่างที่หญ่มากอยู่ เราไม่รู้เลย เราไม่รู้ว่าอะไรทำให้เกิดบิ๊กแบงขึ้น

บิ๊กแบงคือแนวคิดของเราที่อธิบายการเกิดของจักรวาลเมื่อ 13,700 ล้านปีก่อน ทุกอย่างในจักรวาลของเราสามารถหาที่มาได้ย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น ดูเหมือนจะมีจุดที่เป็นปริศนาในตอนเริ่มต้นแล้วเราเรียกมันว่าซิงกูลาริตี้ แม้ว่ามันจะดูลึกลับและมีคำถามที่ต้องตอบมากมายตามมา มันก็เป็นจุดเริ่มที่ดีในการเริ่มมีเวลาของเรา แต่อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ของเราไม่รับรู้และตายสนิทในช่วงก่อนบิ๊กแบง หากว่ามีช่วงเวลานั้นจริงๆ ซิงกูลาริตี้เป็นเหมือนเส้นขอบฟ้าที่เราไม่สามารถเดินทางเลยไปได้

เนื่องจากในการสรรค์สร้างนั้น เวลาถูกสร้างขึ้นพร้อมกับอวกาศและพร้อมสสารและบิ๊กแบงเป็นเหตุการณ์แบบนั้นเลย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนการสร้างจักรวาลขึ้นมา อย่างไรก็ตามความคาดหมายทางวิทยาศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนบิ๊กแบง ทำให้ผู้ปราดเปรื่องที่สุดหลายคนทางสาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์สนใจ

นักทฤษฎีบางคนเชื่อว่าจักรวาลของเราเกิดบิ๊กแบงขึ้นเป็นช่วงๆ แนวคิดที่เป็นวัฏจักรนี้เสนอว่า ทุกๆ ล้านล้านปีจะเกิดบิ๊กแบงขึ้นครั้งหนึ่งซึ่งจักรวาลจะขยยตัวออกไปก่อนที่จะยุบตัวลงมาอีกครั้ง ทำให้พร้อมที่จะเกิดบิ๊กแบงอีกครั้ง มีวิธีที่น่าสนใจที่จะเชื่อมโยงกับเรื่องราวของจักรวาลก่อนหน้านี้ได้ จุดจบของจักรวาลหนึ่งทำให้เกิดการเริ่มต้นของอีกจักรวาลหนึ่ง

บางทีมันอาจไม่เคยมีจุดเริ่มต้น มันอาจมีมาตั้งแต่นานแสนนานและไม่มีจุดกำเนิดเลยก็เป็นได้ แต่เราอาจเข้าใกล้คำอธิบายเรื่องช่วงก่อนบิ๊กแบงมากกว่าที่เรารู้ คลื่นสะท้อนจะช่วยบิ๊กแบงที่ยังคงกระจายอยู่จนทั่วจักรวาล อาจมีคำตอบเรื่องช่วงเวลาก่อนซิงกูลาริตี้ก็ได้ กลับกลายเป็นว่าคลื่นที่ขยายออกนี้เป็นกุญแจสำคัญที่เราใช้เข้าใจจักรวาลทุกวันนี้ และพลังขยายมากระตุ้นจักรวาลครั้งใหญ่ในช่วงแรก

ดังนั้นเราจึงส่งดาวเทียมออกไป เราสังเกตรังสี คลื่นแนวตั้งที่ไม่สมมาตร เครื่องตรวจจับรุ่นใหม่ๆ มากมาย อย่างเครื่องตรวจจับคลื่นแรงดึงดูดจะถูกส่งเข้าไปในอวกาศในทศวรรษหน้าด้วยการเชื่อมกับลำแสงเลเซอร์ หากมีคลิ่นกระแทกในแห่งการถือกำเนิด มันจะทำให้ลำแสงเลเซอร์กระตุกและเราจะสามารถบันทึกแรงสะเทือนที่เหลือมาจากช่วงบิ๊กแบงนั้น นั่นคือเหตุที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเราสามารถหาคำตอบได้ทั้งเรื่องบิ๊กแบงและช่วงที่ก่อนเกิดบิ๊กแบงอีกด้วยเลเซอร์จะไปตรวจจับแหลังพลังงานที่อาจทำให้เกิดการขยายตัว และอาจบอกถึงกลไกที่ทำให้เกิดบิ๊กแบงได้

 ถ้าเราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไขปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราหวังที่จะเข้าใจจักรวาลอย่างแท้จริงได้อย่างไร เมื่อใดก็ตามที่คุณได้คำตอบของคำถามหนึ่ง มันจะนำไปสู่คำถามอื่นเพิ่มขึ้นมาเสมอ คุณคืบหน้าไปและไขปริศนาจักรวาลได้หลายอย่าง แต่แล้วก็จะมีปริศนาออกมามากขึ้นเสมอ เราคือผลลัพธ์ของจักรวาลที่กำลังพยายามเข้าใจตัวมันเองอยู่ มันยากที่จะเข้าใจได้ แต่อย่างไรก็ตามสักวันมันก็อาจเป็นไปได้ที่เราจะเข้าใจปริศนาเหล่านี้ จักรวาลนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่กฏของฟิสิกส์ที่มีการพิสูจน์แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่เปลี่ยน และนั่นให้ความหวังเราว่าจากความปั่นป่วนทั้งหลายนี้

เราจะสามารถอธิบายได้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ในตอนแรกได้อย่างไร ในจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดของเรา ปริศนาที่ไร้คำอธิบายมากมายจะยังคงทำให้เราสงสัยต่อไป แต่เราเริ่มเข้าใกล้เข้าไปอีกสู่การไขความลับชั้นสุดยอด กุญแจสู่อดีตและเส้นทางไปยังอนาคตของเรา ขณะที่วิทยาศาสตร์อธิบายหลายๆ สิ่งได้ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังรอการค้นพบเกี่ยวกับจักรวาลที่ไพศาล มืดมิดและลึกลับของเรา

19 ความฝันที่พบบ่อยที่สุดในโลกและความหมาย

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงประตูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกฮูกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเรือหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาวาฬหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช็อกโกแลตหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นดวงดาวหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงงานหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นช้างหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหิมะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นนกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นทองหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นผีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงดาราคนดังเซเลบหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปลาโลมาหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันของการเดินทางหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันถึงหมีหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ความฝันถึงสงครามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฝนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นฉลามหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นวัวกระทิงหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นจระเข้หมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหอยทากหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นปูหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าช่วยชีวิตใครสักคนหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นขยะหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันว่าจัดกระเป๋าหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นหมอกหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นการผ่าตัดหมายความว่าอย่างไร

จิตวิทยาความฝัน ฝันเห็นเครื่องประดับหมายความว่าอย่างไร

ประวัติหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ ตามรอยหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

ชุ่มฉ่ำรับสงกรานต์ สรงน้ำพระธาตุตามปีเกิดด้วยหัวใจอิ่มบุญ

วิธีตั้งเลขพยากรณ์ ดูดวงตำราพรหมชาติ

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีชวด

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีฉลู

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีขาล

ดูดวงตำราพรหมชาติ ปีเถาะ

ดูดวงทำนายฝัน ความหมายของความฝัน

19 Most Frequent Dreams in the World

What Does It Mean to Dream of Owls

What Does It Mean to Dream of a Ship

What Does It Mean to Dream of Whales

What Does It Mean to Dream of Chocolate

What Does It Mean to Dream of Doors

What Does It Mean to Dream of Stars

What Does It Mean to Dream About Work

What Does It Mean to Dream of Elephants

What Does It Mean to Dream of Snow

What Does It Mean to Dream of Birds

What Does It Mean to Dream of Gold

What Does It Mean to Dream of Ghosts

What Does It Mean to Dream of Celebrities

What Does It Mean to Dream of Dolphins

What Does It Mean to Dream of Traveling

What Does It Mean to Dream of Bears

What Does It Mean to Dream of a War

What Does It Mean to Dream of Rain

What Does It Mean to Dream of Sharks

What Does It Mean to Dream of Bulls

What Does It Mean to Dream of Crocodiles

What Does It Mean to Dream of Snails

What Does It Mean to Dream of Crabs

What Does It Mean to Dream of Saving Someone

What Does It Mean to Dream of Garbage

What Does It Mean to Dream of Packing Your Bags

What Does It Mean to Dream of Fog

What Does It Mean to Dream of an Operation

What Does It Mean to Dream of Jewels

What Does It Mean to Dream of Roses

What Does It Mean to Dream of Leaks

What Does It Mean to Dream About Clothes

What Does It Mean to Dream of a Disease

What Does It Mean to Dream of Policemen

What Does It Mean to Dream of Lizards

What Does It Mean to Dream of the End of the World

What Does It Mean to Dream of Strangers

What Does It Mean to Dream of Fruits

What Does It Mean to Dream of Wolves

What Does It Mean to Dream About Ants

What Does It Mean to Dream of a Swimming Pool

What Does It Mean to Dream of Dancing

What Does It Mean to Dream of a Party

What Does It Mean to Dream of a Fight

What Does It Mean to Dream of a Tsunami

What Does It Mean to Dream About Food

What Does It Mean to Dream of Lions

What Does It Mean to Dream of Fish

What Does It Mean to Dream of a Car Accident

What Does It Mean to Dream of the Person You Like

What Does It Mean to Dream of Turtles

What Does It Mean to Dream of Friends

What Does It Mean to Dream About Horses

What Does It Mean to Dream of Water

What Does It Mean to Dream of Mice

What Does It Mean to Dream That Your Hair Is Cut

What Does It Mean to Dream About Lice

What Does It Mean to Dream of Dogs

What Does It Mean to Dream of Fire

What Does It Mean to Dream of Blood

Dream Interpretation About Snake

Dream Interpretation About King

Dream Interpretation


ระบบสุริยะจักรวาล ดวงอาทิตย์ กำเนิดเอกภพ
ปริศนาจักรวาล สตีเฟน ฮอว์คิง ระบบสุริยะ
สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน

บทความแนะนำ

กำเนิดดวงอาทิตย์ กำเนิดเอกภพ 7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล สตีเฟ่น ฮอว์คิงกับคำถามของเอกภพ อนาคอนด้า งูยักษ์แห่งอเมซอน เห็ดมีพิษ 10 สุดยอดไม้มงคลที่คนไทยนิยมปลูก 12 ความจริงเกี่ยวกับน้ำ

7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล

7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล

ตอนแรกมีแต่ความมืด ต่อมาระเบิด สิ่งที่ขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุดของกลางอวกาศ และสสารถือกำเนิดขึ้น ทุกวันการค้นพบใหม่ๆไขปริศนา ความลับของสิ่งที่เราเรียกว่าจักรวาล จักรวาลของเราไม่เหมือนทุกสิ่งที่เราเคยเห็นหรือรู้มาก่อน กาแล็คซี่เพื่อนบ้านของเราคือบ้านของ 7 สิ่งที่น่าตื่นตะลึงและสร้างปรากฏการณ์มากมายในจักรวาล ดาวเคราะห์ที่มีวงแหวนที่น่าทึ่งประกอบด้วยภูเขาสูงเทียมเทือกเขาแอลป์ ดาวบริวารขนาดยักษ์ที่มีชั้นน้ำพุร้อนและน้ำแข็งพุ่งขึ้นมาสู่พื้นผิว ภูเขาไฟขนาดใหญ่มหึมา จากนั้นมีกลุ่มพายุที่ทะลุผ่านกลุ่มดาวก่อนดำดิ่งสู่เฮอริเคนขนาดใหญ่ ประสบการณ์ใหม่ล่าสุดที่น่าตื่นเต้นรอบดวงอาทิตย์ เรามาผจญภัยไปใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของระบบสุริยะจักรวาล



ได้เปิดเผยถึงเรื่องราวที่อันตราย แปลก และมหัศจรรย์เอาไว้หมดแล้ว คิดซะใหม่ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในใจกลางการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรอวกาศ สิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์กำลังเกิดขึ้นที่นี่ในจักรวาลของเราเอง ระบบสุริยะของเราเป็นสถานที่ที่น่าหลงใหล ตอนนี้เราพบระบบดาวเคราะห์อื่นๆ แต่เรายังไม่พบอะไรที่เหมือนระบบสุริยะจักรวาลของเราเลยแม้แต่น้อย ร่วมเดินทางไปกับเราเพื่อค้นพบ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของระบบสุริยะจักรวาล

อันดับที่ 7 ดาวเอนเซลาดุส (Enceladus)


ก่อนอื่นเรามุ่งหน้าสู่วงโคจรของดาวเสาร์กัน เที่ยงคืนวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 2009 ยานอวกาศแคสซินี่(Cassini)โคจรรอบดาวเสาร์ กล้องของยานจับภาพแปลกประหลาดของหนึ่งในดาวบริวารที่อยู่ด้านนอกที่ชื่อว่าเอนเซลาดุส (ENCELADUS) ดาวบริวารส่วนใหญ่ในระบบสุริยะจักรวาลเป็นดาวที่ตายแล้ว และการมองที่พื้นผิวน้ำแข็งที่ระยิบระยับที่ขั้วโลกใต้ของมัน ดาวเอนเซลาดุสมองดูเหมือนโลกที่สงบสุข แต่ทันใดนั้นมีน้ำพุร้อนและน้ำแข็งขนาดมหึมาพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นดิน  เอนเซลาดุสเป็นดาวบริวารที่สุดยอดของดาวเสาร์ แม้จะมีขนาดเล็ก  และภูเขาไฟของเอนเซลาดุสก็มีความแตกต่างจากภูเขาไฟบนโลกซึ่งเป็นแมกมาร้อนที่เป็นหินที่หลอมเหลว แต่เอนซาลาดุสเป็นน้ำที่เป็นของเหลวพุ่งออกมาแล้วก็แข็งเรียกว่า โครโอโวคานิซึ่ม (Cryovolcanism)  ยานแคสซินี่บินทะลุเข้าไปยังพลังงานที่ระเบิดออกมาในอวกาศนับร้อยไมล์ ด้วยความเร็ว 1,400 ไมล์ต่อชั่วโมง

เอนเซลาดุสสะดุดตาเราเมื่อไม่นานมานี้ เพราะว่าเราเห็นน้ำร้อนที่พึ่งขึ้นมาจากขั้วโลกใต้ เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในดาวบริวารที่เป็นน้ำแข็งในระบบสุริยะจักรวาล แสดงว่าเกิดอะไรขึ้นบนดาวเอนเซลาดุส มันยังไม่ตายและเราอยากรู้ว่าทำไม นักวิทยาศาสตร์สนใจน้ำพุร้อนอย่างน้อย 30 แห่ง ที่พุ่งขึ้นมาจากรอยแยกเล็กๆที่เรียกว่าไทเกอร์สทริป (Tiger Stripe) ตามแนวขั้วโลกใต้ของดาวเอนเซลาดุส ภาพแผนที่อินฟราเรดของบริเวณนี้เผยให้เห็นอุณหภูมิที่อบอุ่นของพื้นผิว ความร้อนแผ่กระจายจากไทเกอร์สทริป อาจจะเนื่องมาจากความร้อนที่อยู่ใต้นั้นที่มันระเหยออกมา นักวิทยาศาสตร์คิดว่าต้องมีความร้อนภายในสองแหล่งที่ขับเคลื่อนน้ำแข็งบนดาวเอนเซลาดุส แหล่งหนึ่งอาจเป็นธาตุกัมมันตภาพรังสีที่เสื่อมสลายทำให้ภายในดาวร้อนทำให้น้ำอยู่ในสถานะของเหลว แหล่งที่สองอาจเป็นคลื่นความร้อน

ตอนที่เอนเซลาดุสโคจรรอบดาวเสาร์ในแนววงรีแบบแปลกๆ บางครั้งมันจะเข้าใกล้ดาวเสาร์ บางทีก็ห่างออกไป ตอนที่มันเข้าใกล้ดาวเสาร์ แรงดึงดูดของดาวเสาร์ก็ได้สร้างคลื่นขนาดใหญ่ออกไปในดาวเอนเซลาดุส มากกว่าตอนที่มันอยู่ห่าง นั่นทำให้เกิดการเสียดสีของวัตถุที่อยู่ภายในและปล่อยพลังงานออกมา คลื่นของแรงเสียดสีมันจะช่วยละลายสิ่งที่อยู่ภายในดาวเอนเซลาดุส ทำให้น้ำแข็งกลายสถานะเป็นของเหลว ปริศนาก็คือมีน้ำอยู่ในดาวเอนเซลาดุสอยู่มากแค่ไหน ดาวบริวารดวงน้อยอาจซ่อนมหาสมุทรอยู่ใต้พื้นดินก็เป็นไปได้ เราอนุมานว่าต้องมีของเหลวอยู่ในนั้น เพราะน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาต้องมีแหล่งของน้ำ มหาสมุทรอาจจะไม่ได้กระจายอยู่ทั่วทั้งดวง มันอาจอยู่ใต้พื้นดินในบริเวณที่น้ำพุร้อนพุ่งขึ้นมา และจะต้องมีแหล่งน้ำที่สำคัญอยู่ใต้พื้นดินของเอนเซลาดุสอย่างแน่นอน

ถ้ามีน้ำอยู่ใต้พื้นผิวของดาว มันอาจเป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยโมเลกุลของสิ่งมีชีวิต ประกอบกับอุณหภูมิอุ่นๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างสิ่งมีชีวิต มันคงสุดยอดถ้าเราค้นพบสิ่งมีชีวิตอยู่ใต้พื้นผิวของดาวเอนเซลาดุส เราไม่ได้คาดหวังว่าจะพบสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ แม้แต่แบคทีเรียเล็กๆ ก็ถือว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แล้ว ดาวเอนเซลาดุสโคจรอยู่ในสิ่งมหัศจรรย์อีกสิ่งหนึ่งของระบบสุริยะจักรวาล

อันดับที่ 6 วงแหวนของดาวเสาร์ (Rings Of Saturn)


เราได้ภาพใหม่ๆจากการไปเยือนดาวเสาร์ของยานอวกาศ แคสซินี่ ก็เหมือนกับเราใส่แว่นสามมิติเป็นครั้งแรก มันทำให้เราเห็นรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ในวงแหวนของดาวเสาร์  ท่ามกลางวงแหวนหลัก 7 วง ดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยก๊าซดวงนี้มีวงแหวนนับพันและประกอบไปด้วยน้ำแข็งและฝุ่น 35 แสนล้านล้านตัน มีน้ำมากกว่าโลกของเราประมาณ 26 ล้านเท่า และนักวิทยาศาสตร์ยังคงหาจุดกำเนิดของวงแหวนดาวเสาร์มาหลายศตวรรษแล้ว เราไม่รู้จุดกำเนิดของมัน มันอาจประกอบไปด้วยวัสดุที่ไม่มีโอกาสก่อตัวบนดาวบริวาร เพราะอิทธิพลของแรงดึงดูดของดาวเสาร์เอง หรือดาวบริวารเดินทางมาใกล้ดาวเสาร์มากเกินไป ก็เลยระเบิดเป็นเศษแตกละเอียดจากผลของคลื่นแรงดึงดูดของดาวเสาร์ หรืออาจเป็นไปได้ว่าดาวหางเดินทางมาใกล้ดาวเสาร์มากเกินไป ก็เลยโดนแรงดึงดูดจำนวนมหาศาลของดาวเสาร์จับเอาไว้นั่นเอง  สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านี้ก็คือนักวิทยาศาสตร์นับดาวบริวารที่อยู่รอบๆ วงแหวนของดาวเสาร์ได้ถึง 62 ดวง ภาพใหม่นี้ชี้ให้เห็นว่าดาวบริวารดวงน้อยเหล่านี้พาวงแหวนไปสู่ความสูงใหม่


11 สิงหาคม 2009 ภาพอิควาน็อกซ์ที่หายากของดาวเสาร์แสดงวงแหวนของมันใกล้ขอบดวงอาทิตย์ ภาพนี้เผยข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ วงกลมสว่างไสวที่เคยปรากฏในรูปของแข็งแบนๆ จริงๆแล้วมันประกอบไปด้วยภูเขาจำนวนมากที่มีความสูงตั้งแต่ไม่กี่ฟุตไปจนถึงระยะที่สูงกว่าเทือกเขาแอลป์ เมื่อเรามองที่วงแหวนดาวเสาร์จากกล้องเทเลสโคป มันดูราบเรียบ แต่ว่าตอนนี้เราเห็นว่าวงแหวนของมันนั้นมีอนุภาคที่ทับถมกันจนกลายเป็นภูเขาที่มีความสูงหลายไมล์ แต่ภูเขาสูงหลายไมล์ที่ว่านี้ก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร ภารกิจแคสซินี่ของนาซ่าจับภาพดาวบริวารที่พลัดเข้าไปในวงแหวน เป็นเหตุให้มันบิดและฉีกขาดกลายเป็นรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป ในวงแหวนของดาวเสาร์ที่อยู่นอกสุดของวงแหวนที่สว่างมีดาวบริวารที่ชื่อว่า แดพนิส (Daphnis) มียอดที่สูงที่สุดถึงสองไมล์ครึ่ง

ดาวบริวารปฏิสัมพันธ์กับวงแหวนของดาวเสาร์ในแบบที่ดึงวัสดุต่างๆขึ้นเหนือวงแหวนหรือต่ำกว่าวงแหวน เมื่อดาวบริวารโคจรเพราะว่าวงโคจรไม่ค่อยสัมพันธ์กับตัววงแหวนนั้นๆ ระบบของวงแหวนดาวเสาร์เป้นภาพที่ตระการตา แต่ในดาวเคราะห์อีกดวงนั้นแตกต่างกันมาก

อันดับที่ 5 Great Red Spot ของดาวพฤหัส


มีสิ่งหนึ่งที่ดูชั่วร้ายอย่างไม่น่าเชื่อมันคืออันดับที่ 5 ในการจัดอันดับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของเรา พายุที่บ้าคลั่งที่มีขนาดใหญ่เกือบสามเท่าของในโลก เจ้าแม่แห่งพายุที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าโลกประมาณสามเท่า เราไม่รู้แน่ชัดว่าเรดสป็อตก่อตัวขึ้นมายังไง มันอยู่ของมันอย่างนั้นมาตั้งแต่เราเห็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 1650 มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ตอนที่เราไม่ได้สนใจมันซะอีก The Great Red Spot คือพายุโบราณที่หมันอย่างบ้าคลั่งมานานนับศตวรรษ พายุเมฆขนาดใหญ่ที่หมุนวงอยู่สูงเหนือดวงดาว 5 ไมล์ ทำให้พายุอื่นๆบนโลกของเราดูด้อยไปเลย พายุหมุนที่ The Great Red Spot ของดาวพฤหัสวัดได้ความเร็วลม 400 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งมันเร็วกว่าทอร์นาโดบางลูกที่รุนแรงที่สุดในโลก และทอร์นาโดบนโลกจะหมุนนานประมาณ 10-20 นาที หรือมากที่สุดก็ 2-3 ชั่วโมง ในขณะที่ The Great Red Spot ของดาวพฤหัส นั้นหมุนอยู่อย่างน้อย 400 ปี และมีขนาดใหญ่กว่าโลกถึงสามเท่า นี่เป็นพายุที่คุณไม่อยากจะโดนดูดเข้าไปอย่างแน่นอน

พายุฤดูร้อนส่วนใหญ่ในซีกโลกใต้จะหมุนตามเข็มนาฬิกาเหมือนที่โลกของเราหมุน แต่บนดาวพฤหัส The Great Red Spot หมุนไม่เหมือนกับโลก The Great Red Spot จะอยู่ทางซีกโลกใต้ของดาวพฤหัส มันหมุนทวนเข็มนาฬิกา เป็นเพราะว่าความกดอากาศสูงซึ่งตรงข้ามกับพายุความกดอากาศต่ำบนโลกของเรา ต้นกำเนิดของพายุที่มีอายุยืนยาวทำให้นักดาราศาสตร์งุนงง แต่ตอนนี้วิทยาศาสตร์อาจกำลังไขความลับของพายออก กล้องเทเลสโคปอวกาศฮับเบิล ถ่ายภาพพายุ 3 ลูกที่มีขนาดเล็กกว่าบนดาวพฤหัส ที่เรียกว่า White Spot ภายในเวลา 3 ปี White Spot ทั้งสามจะมารวมตัวกัน และจะกลายเป็นพายุที่มีขนาดเท่าลูกโลก ในเวลาแค่เพียงสัปดาห์เดียวพายุก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง ตอนนี้เราเรียกว่า Red Junior แต่ทำไมมันถึงได้กลายเป็นสีแดง และนั่นก็ยังเป็นปริศนาอยู่ นักดาราศาสตร์สงสัยว่าการรวมตัวกันในลักษณะนี้ พายุในตอนเริ่มต้นอาจเป็นสีขาวมาก่อน แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น มันเริ่มดึงวัสดุที่อยู่ลึกลงไปในพื้นผิวของดาวพฤหัสเข้ามา การรวมตัวกันอาจทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ เราไม่เข้าใจว่าทำไม The Great Red Spot จึงมีสีแดงเหมือนกับอิฐ อาจเป็นเพราะสารเคมีที่มารวมกันแล้วทำปฏิกิริยากับแสงอาทิตย์แล้วเกิดเป็นสีแบบนี้ขึ้นมาก็ได้

นักดาราศาสตร์ The Great Red Spot อย่างใกล้ชิด ในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่น่าพิศวง เราได้จ้องมองการหดตัวของ The Great Red Spot แล้วมันก็มีรูปทรงกลมขึ้น แต่ใครจะรู้ ไม่แน่ว่าในอีก 400 ปีมันอาจจะหายไปหมดก็ได้ ตอนนี้ The Great Red Spot ยังคงเป็นพายุที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล เราจะออกจากดาวพฤหัสแล้วมุ่งหน้าออกไป 200 ล้านไมล์ในทิศทางเดียวกันกับดวงอาทิตย์และเข้าใกล้สิ่งมหัศจรรย์ที่แทบไม่น่าเชื่ออันดับต่อไป



อันดับที่ 4 แถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt)


นักวิทยาศาสตร์ต้องการรู้มากขึ้นถึงจุดกำเนิดของเศษขยะของจักรวาล ซึ่งถูกทิ้งจากการก่อตัวของระบบสุริยะจักรวาล นานมาแล้วที่เราคิดว่าอาจจะมีดาวเคราะห์ชนกัน เราได้เห็นเศษซากความเสียหายที่รุนแรง แต่ว่าในตอนนี้เราเชื่อว่าดาวเคราะห์ไม่สามารถที่จะชนกันในแบบนั้นได้ แรงดึงดูดจากดาวพฤหัสและดวงดาวอื่นๆ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ดาวเคราะห์จะชนกันเอง เมื่อเดินทางฝ่าก้อนหินนับร้อยล้านไมล์ บางก้อนเล็กเพียงไม่กี่ฟุต บางก้อนใหญ่กว่าเมือง ดาวเคราะห์น้อยอาจประกอบด้วยก้อนหินนับล้านชิ้น ถ้าเศษทั้งหมดรวมกันกลายเป็นดวงดาว มันอาจเล็กกว่าดวงจันทร์นิดเดียว เราเริ่มจะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับประวัติของระบบสุริยะจักรวาลด้วยการศึกษาเอาเศษชิ้นเล็กๆ ในระบบสุริยะจักรวาลมา เราอยากจะรู้ว่ามันหมุนไปรอบๆ ได้อย่างไร และมันมีผลต่อดาวดวงใหญ่ๆยังไงบ้าง แล้วชะตาของมันจะสิ้นสุดตรงไหน จะเกิดอะไรขึ้นกับมัน

ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงพรรณนาว่าแถบดาวเคราะห์น้อยเป็นอุปสรรคของดาราจักร สถานที่ซึ่งยานอวกาศหลบหินขนาดยักษ์ ที่เบียดกันก่อนพุ่งเข้ามาทำลายล้างโลกของเรา ฮอลลีวู้ดเข้าใจผิดหรือเปล่า แถบดาวเคราะห์น้อยนั้น ทำอย่างนั้นได้อย่างไร และมีคนสงสัยว่าแถบดาวเคราะห์น้อยมีหน้าตาเหมือนกับในหนังจริงหรือไม่ จริงๆแล้วแถบดาวเคราะห์น้อยไม่ได้แย่เหมือนกับในหนังไปซะหมด ถ้าหากว่าเราโคจรรอบดวงดาวในแถบดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาล คุณจะมองไม่เห็นอุกกาบาตขนาดใหญ่ของดาวที่หมุนอยู่ใกล้ๆ ความจริงแล้วมันจะดูเหมือนจุดแสงสว่างที่อยู่ไกลๆ นั่นเป็นเพราะว่าระยะห่างเฉลี่ยระหว่างวัตถุส่วนใหญ่ในแถบดาวเคราะห์น้อยมากกว่าขนาดของมัน ดังนั้นมันจึงมองเหมือนจุดมากกว่า

ความจริงแล้วระยะห่างเฉลี่ยระหว่างวัตถุอวกาศสองชิ้น อาจเป็นหนึ่งล้านไมล์ อย่างไรก็ตามในทะเลอวกาศอันกว้างใหญ่ที่มีหินรูปร่างแปลกๆ หินรูปทรงกลม ซีรีส (Ceres)เป็นวัตถุอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล ก้อนหินที่กว้าง 600 ไมล์เป็นส่วนประกอบ 1 ใน 4 ของมวลทั้งหมดในแถบดาวเคราะห์น้อย หินส่วนใหญ่ในแถบดาวเคระห์น้อยมีลักษณะเป็นก้อนขรุขระเหมือนมันฝรั่ง แต่ว่าซีรีสไม่เป็นอย่างนั้น มันมีขนาดใหญ่มากพอที่จะมีแรงดึงดูดที่ก่อตัวมันเองให้เป็นทรงกลม นอกจากรูปร่างกลมของมัน ทำให้ซีรีสได้เลื่อนระดับ นักวิทยาศาสตร์เลื่อนฐานะของมันเป็นดาวเคราะห์แคระ มีความสำคัญเช่นเดียวกับดาวพลูโต มุมมองสมัยใหม่ของซีรีสก็คือมันไม่ได้ใหญ่พอจะเป็นดาวเคราะห์ มันใหญ่พอที่จะก่อตัวเป็นทรงกลม สิ่งมหัศจรรย์อันดับสี่ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากการก่อตัวของระบบสุริยะจักรวาลเท่านั้น แต่มันยังเป็นที่เก็บซ่อนมวลที่มีพลังทำลายล้างขนาดใหญ่อีกด้วย วัตถุอวกาศมากมายที่หลบหนีการดึงดูดของแถบดาวเคราะห์น้อยไปได้ และหนึ่งในนั้นอาจซ้ำรอยประวัติศาสตร์ได้ทุกขณะ และจะไม่มีใครรอดชีวิตมาพูดถึงมัน

ตอนนี้การเดินทางสู่ 7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา มายังน้ำพุร้อนของดาวเอ็นเซลาดุส วงแหวนดาวเสาร์ The Great red Spot ของดาวพฤหัส ตอนนี้เราเดินทางผ่านสิ่งมหัศจรรย์อันดับสี่ก็คือแถบดาวเคราะห์น้อย โครงสร้างที่ถูกทิ้งนี้น่าสนใจขนาดถูกสร้างเป็นภาพยนต์ และสิ่งที่ฮอลลีวู้ดหลงใหลก็คือสิ่งที่หลุดออกมาจากแถบดาวเคราะห์น้อยและมุ่งหน้าสู่โลกของเรา วัตถุใกล้โลกหรือที่เรียกว่า NEO (Near-Earth Object) ก็คือก้อนหินจักรวาล วัตถุอวกาศ หรือว่า ดาวตกที่พุ่งชนโลกแทบทุกวัน วัตถุใกล้โลกคือวัตถุที่ข้ามผ่านการโคจรของโลกไปรอบดวงอาทิตย์ซึ่งในบางครั้งมันอาจชนกับโลกของเรา และถ้ามันใหญ่พออาจทำให้เกิดความเสียหายกับโลกได้

14 เมษายน 2010 กล้องสามารถจับภาพวัถุอวกาศที่ลุกเป็นไฟขนาด 3 ฟุต ที่กำลังพุ่งลงมาเหนือแถบตะวันตกกลางของสหรัฐ โชคดีที่ก้อนหินอวกาศแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนตกบนพื้น แต่ในอดีตก้อนหินอวกาศขนาดใหญ่ อย่างเช่นที่ อริโซนา Western Australia Quebec สร้างหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ และยังกระตุ้นให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ อย่างก้อนหินอวกาศที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ กว่าหนึ่งพันล้านปีที่ผ่านมาโลกของเราถูกพุ่งชนหลายครั้ง จากวัตถุอวกาศหลกหลายขนาด และผลที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้วที่มันกวาดล้างไดโนเสาร์ไป อาจจะเป็นวัตถุใหญ่ขนาด 6 ไมล์ที่อาจเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ก็ได้  การสำรวจอวกาศใหม่ๆ หลายครั้งติดตามวัตถุที่อยู่ใกล้โลกที่ใหญ่พอที่จะทำลายล้างเมืองที่ทันสมัย หรือแย่กว่านั้นคือเกิดความเสียหายทั่วโลก เรารู้ว่าวัตถุส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่กว่า 1 ไมล์ที่สามารถจะผ่านวงโคจรของโลกได้ สิ่งสำคัญก็คือหาวัตถุที่มีขนาดเท่ากับสนามกีฬาให้พบ ในขณะที่มันยังไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับโลก เพราะถ้ามันพุ่งชนโลกจะเกิดความเสียหายมาก

เราจะออกจากแถบดาวเคราะห์น้อยต่อมาเราจะเดินทางไปพบกับอีกสิ่งหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของเรา

อันดับที่ 3 Olympus Mons ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะจักรวาล


เมื่อเราเข้าใกล้ดาวอังคาร เราก็สะดุดตากับภูเขาขนาดยักษ์ลูกนี้ ฐานของมันมีขนาดเกือบ 350 ไมล์ เหมือนกับภูเขาที่มีฐานจากลอสแอนเจลิสถึงซานฟรานซิสโก ถึงแม้ว่ามันจะสูงมากแต่เนินของมันค่อยๆชัน มันไม่ใช่ภูเขาไฟที่สูงชัน มันราบเรียบเป็นเนินต่ำๆ แต่ว่ามันก็ไม่สิ้นสุดสักที ถ้าคุณปีน 13 ไมล์ถึงยอดเขา คุณอาจเห็นวิวชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร Olympus Mons อาจจะสูงกว่าภูเขาที่สูงที่สุดบนโลกหลายเท่า และฐานของมันก็กว้างนับร้อยไมล์ มันก่อตัวขึ้นเมื่อกว่าพันล้านปีก่อนจากการระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าของภูเขาไฟ ซึ่งมันค่อยๆปกคลุมพื้นดินด้วยชั้นของลาวานั่นเอง  100 ล้านปีก่อน สายลาวาร้อนไหลทะลักลงมาจากยอดเขาปกคลุมพื้นที่นับล้านตารางไมล์บนดาวแดง ปัจจุบันนี้ Olympus Mons เป็นภูเขาที่มีมวลมากกว่าภูเขาไฟเมานาโลอา (Mauna Loa) ที่ใหญ่ที่สุดของโลกในฮาวายนับร้อยเท่า

Olympus Mons มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาลูกไหนของโลกด้วยเหตุผลหลายอย่าง อย่างแรกก็คือมันมีการปะทุของภูเขาไฟเกิดขึ้นมากมาย อย่างที่สองก็คือแรงดึงดูดของดาวอังคารมีน้อยมาก น้ำหนักเราจะน้อยมากเมื่ออยู่บนดาวอังคาร ดังนั้นเมื่อภูเขาก่อตัวขึ้นมันจึงไม่ถูกกดลง จึงกลายเป็นภูเขาไฟขนาดมหึมาที่มันไม่ถล่มลงมา อย่างที่สามก็คือดาวอังคารไม่มีการเคลื่อนไหวของเปลือกดาว ที่ไม่เหมือนกับโลก ความร้อนและแมกมาจะยังคงอยู่ที่เดิม ทำให้มันไหลทับถมกันไปดรื่อยๆจนกลายเป็น Super Volcano นั่นเอง ตอนนี้เราสันนิษฐานว่าดาวอังคารไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา แต่ Olympus Mons สงบแล้วจริงๆ หรือเป็นยักษ์ที่หลับอยู่

The European Space Agency Mars Express ได้จับภาพความละเอียดสูงที่สุดเท่าที่เคยทำได้ เป็นภาพรอยคลื่นของลาวาบางคลื่นที่มีอายุ 115 ล้านปี แต่บางคลื่นแค่สองล้านปี ในช่วงเวลาทางธรณีวิทยาถือว่ายังใหม่มาก ซึ่งบอกได้ว่าอาจมีปฏิกิริยาของภูเขาไฟบางอย่างอยู่ ถ้าเรามองที่พื้นผิวของ Olympus Mons เราจะเห็นว่ามีรอยลาวาอยู่บริเวณนั้นซึ่งมีอุกกาบาตอยู่น้อย ดังนั้นเรารู้ว่าลาวาตรงนั้นอาจมีอายุมากที่สุดถึง 10-20 ล้านปี การปะทุยังคงมีขึ้นกระทั่งไม่นานมานี้ หรือไม่ก็จนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้  Olympus Mons อาจเคยผลิตลาวาจำนวนมหาศาลมาแล้ว แต่ความร้อนของมันยังน้อยเมื่อเทียบอุณหภูมิของมันกับสิ่งมหัศจรรย์อันดับสอง นี่อาจดูเหมือนลูกบอลไฟ แต่พื้นผิวของมันคือมหาสมุทรของคลื่นพลาสมาที่ร้อนถึง 10,000 องศา ลมและการระเบิดขนาดใหญ่เท่ากับการระเบิดของ TNT หนึ่งล้านลูก สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่สองนั้นคือเพื่อนที่ดีที่สุดของโลกของเรา มันให้ทั้งความร้อนและพลังงานแก่โลกของเรา แต่มันอาจเผาผลาญเราด้วยคลื่นและพลังงานที่อาจถึงตายได้

อันดับที่ 2 Surface of the Sun พื้นผิวที่ร้อนฉ่าของดวงอาทิตย์


พื้นผิวดวงอาทิตย์มันค่อนข้างวุ่นวายโกลาหล มันเดือกปุดๆและมีฟองขึ้นมาตลอดเวลา มีก๊าซความร้อนออกมาจากข้างใน แผ่พลังงาน เย็น แล้วก็กลับเข้าไป นี่คือการหมุนเวียนของพลังงานความร้อน เราไม่เคยดูพื้นผิวดวงอาทิตย์ใกล้ๆได้ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ดาวเทียมดวงใหม่ที่สามารถจับภาพ ภาพที่ไม่เคยเกิดมาก่อนทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก ทำให้สามารถมองเห็นพื้นผิวของดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า โฟโตสเฟียร์ นี่ก็คือพายุสุริยะและปรากฏการณ์รุนแรง ที่พิ้นผิวของดวงอาทิตย์นั้น ถ้าเราสามารถไปตรงนั้นได้และปองกันตนเองได้ก็จะได้ยินเสียงที่ดังสนั่น มีความร้อนหลายพันองศา มีพายุแม่เหล็กที่สร้างคลื่นแม่เหล็กตลอดเวลาที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์ เมฆของพลาสมาที่หนาแน่นลอยอยู่เหนือพื้นผิวของดวงอาทิตย์ สนับสนุนด้วยพลังแม่เหล็ก บางครั้งเมฆพลาสมาเหล่านี้มันมีอิสระและพุ่งเข้าไปในอวกาศ

ดวงอาทิตย์มีสนามแม่เหล็กที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ และบางครั้งเส้นสนามแม่เหล็กเหล่านั้นจะเชื่อมกับจุดร้อนบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เมื่อก๊าซกับพลาสมาเดือดอยู่บนดวงอาทิตย์ สนามแม่เหล็กก็จะหลุดออกมาและปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา ดวงไฟพลาสมาขนาดใหญ่ที่ถูกปล่อยออกมาเป็นแนวโค้งตามสนามแม่เหล็กที่อยู่รอบดวงอาทิตย์ ปรากฏการณ์ระเบิดสามารถเกิดขึ้นพร้อมการปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์ ทำให้มีแรงส่งเป็นสองเท่าเมื่อส่งพลังงานมยังโลก ์ NASA Solar and Heliospheric Observatory หรือ SOHO ถ่ายภาพ Coronal Mass Ejection หรือ CME ได้ ฟองขนาดยักษ์ของก๊าซร้อน ประกอบด้วยวัถุอวกาศถึงหนึ่งหมื่นล้านตัน มันถูกยิงเข้าสู่อวกาศด้วยความเร็วหลายล้านไมล์ต่อชั่วโมง

Coronal Mass Ejection หรือ CME คือพายุที่มีพลังแรงอย่างมหาศาล อาจจะใหญ่เท่ากับระเบิดฮิโรชิม่านับพันล้านลูก บางครั้งมันก็มีฟองของพลาสมามากระทบกับโลกทำให้เกิดความงดงามของแสงเหนือที่เราเรียกว่าออโรร่า และมันก็อาจจะเป็นอันตรายต่อโลกได้ด้วย เมื่อ Coronal Mass Ejection พุ่งมายังโลก มันกระตุ้นให้เกิดพายุ GO Magnetic ฟองของอนุภาคอิออนนี้อาจสร้างความเสียหายต่อดาวเทียมได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นอันตรายต่อนักบินอวกาศที่อยู่นอกยานอวกาศอีกด้วย CMEนั้นทำให้เกิดรังสีเอ็กซ์ ถ้าคุณอยู่นอกโลกคุณก็จะได้รับรังสี เนื่องจากบรรยากาศของโลกนั้นดูดซับรังสีเอ็กซ์ส่วนใหญ่เอาไว้ บนพื้นโลกจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ถ้าคุณอยู่บนเครื่องบินที่อยู่สูงขึ้นไปในชั้นบรรยากาศก็ยิ่งได้รับรังสีมากขึ้น

ภาพล่าสุดที่ถ่ายได้ย้ำเตือนว่าพื้นผิวดวงอาทิตย์มีพลังมหาศาล และอาจร้อนขึ้นในอนาคตอันใกล้ จากกิจกรรมของดวงอาทิตย์มีวงรอบ 11 ปี ในปี 2013 ดวงอาทิตย์ของเราจะไปอยู่จุดสูงสุดของวงรอบที่เรียกว่า Solar Maximum คราวนี้พื้นผิวของดวงอาทิตย์อาจสร้างปรากฏการณ์ Perfect Storm ในอดีตดวงอาทิตย์เคยเกิดพายุสุริยะที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและดาวเทียมสื่อสารดับ อนาคตจะมีพายุสุริยะมากขึ้น มันอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ในช่วงชีวิตของเรา สิ่งที่น่าตื่นเต้นในการศึกษาดวงอาทิตย์อย่างหนึ่งก็คือ เราพยายามเข้าใจและทำนายการเกิดพายุสุริยะที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์

แต่สิ่งหนึ่งที่พายุสุริยะไม่อาจทำลายได้คือสิ่งมหัศจรรย์อันดับหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ในระบบสุริยะจักรวาล มันคือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 หนึ่งในสิบของพื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอย่างถาวร และความร้อนภายในของมันทำให้แมกม่าครุกรุ่นมากพอที่จะทำให้ภูเขาไฟระเบิดได้นับพันล้านปี



อันดับที่ 1 โลก Earth


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในระบบสุริยะจักรลาลของเรา โลกของเรามันสมบูรณ์แบบสำหรับการมีชีวิตอยู่ มีน้ำ วีชั้นบรรยากาศ มีอุณหภูมิที่กำลังสบายเป็นสถานที่ๆน่าอยู่ที่สุดแล้ว โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงที่สามถัดจากดวงอาทิตย์ โลกเปี่ยมไปด้วยความงดงาม โลกไม่เหมือนดาวดวงใดในระบบสุริยะจักรวาล มีน้ำเป็นของเหลวปกคลุม 2ใน3 ของพื้นผิว ในแต่ละทวีปมีความหลากหลายในด้านภูมิประเทศ และเป็นดาวดวงเดียวที่ยืนยันว่ามีสิ่งสนับสนุนชีวิตที่น่าทึ่งทุกรูปแบบ

โลกมีลักษณะเด่นหลายข้อที่ทำให้มันเป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริงในระบบสุริยะจักรวาล มันไม่ได้ร้อนจนเดือด ไม่ได้หนาวจนแข็ง ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ก็อยู่ในระยะที่พอเหมาะพอดี มันไม่ได้มีแต่น้ำหรือว่าแห้งแล้ง มันมีการผสมผสานระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำในการสนับสนุนสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ ตอนนี้วิทยาศาสตร์เข้าใกล้ปริศนาการกำเนิดของชีวิต ด้วยการย้อนรอยการก่อตัวของโลก เมื่อ 4,600 ล้านปีก่อน ในเศษซากที่เหลือของการก่อตัวของดวงอาทิตย์เกิดใหม่ อนุภาคของฝุ่นและก๊าซเริ่มเข้ามารวมตัวกัน ในที่สุดมันก่อตัวเป็นก้อนหินและก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ หลายล้านปีแล้วเศษซากเหล่านี้มารวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ ระหว่างขั้นตอนการกำเนิด โลกของเราได้รับคุณสมบัติพิเศษบางประการ ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งก็คือโลกอุดมไปด้วยน้ำ มีการคิดกันว่าภูเขาไฟแรกสุดที่มีลาวาพุ่งออกมาจำนวนมหาศาล ทำให้เกิดการควบแน่นกลายเป็นฝน ทำให้โลกมีน้ำ

และต่อมามีการพูดถึงแหล่งน้ำแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แหล่งน้ำบางแหล่งอาจมาจากอุกกาบาตก็ได้ บางแหล่งมาจากแถบดาวเคราะห์น้อยที่เต็มไปด้วยน้ำ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า น้ำบางแหล่งมาจากหินที่พุ่งชนโลกและเกือบทำให้โลกถึงกาลอวสาน ปรากฏว่าน้ำเป็นกุญแจสำคัญของจุดเริ่มต้นของชีวิต มีทฤษฎีในยุคก่อนที่กล่าวว่าชีวิตเริ่มขึ้นในซุปยุคกำเนิดโลก บ่อน้ำอุ่นๆที่ให้พลังงานและธาตุบรรยากาศที่สร้างกรดอมิโน อย่างไรก็ตามในการวิจับยุคใหม่มีการกล่าวอ้างอย่างเข้มแข็งว่าโลกมีพลังงานเคมีของตนเองและอุดมด้วยโปรตีนที่ซึมออกมาจากบ่อน้ำร้อนที่อยู่ใต้มหาสมุทร เมื่อผ่านกาลเวลาส่วนผสมนี้ก็เริ่มผลิตสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์ขึ้น

เรารู้น้ำคือสิ่งสำคัญของชีวิต และชีวิตก็อาจเริ่มต้นในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำ ไม่ว่าจะอยู่ลึกลงไปในมหาสมุทรที่ปล่องภูเขาไฟหรือในน้ำตื้น เราไม่รู้แน่ชัดว่ามันเกิดขึ้นตรงไหนและอย่างไร และโลกคือดาวเคราะห์ดวงเดียวที่เรารู้แน่ชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นจริงๆ  โดยไม่คำนึงว่าชีวิตเกิดขึ้นอย่างไร ความโชคดีที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนจะพัฒนาขึ้นมาได้ ประมาณ 3,000 ล้านปีก่อน แบคทีเรียใต้น้ำโบราณเริ่มต้นขึ้น โดยใช้ น้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และพลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตคาร์โบไฮเดรตเพื่อที่จะมีชีวิตรอด วิธีการนี้เรียกว่าการสังเคราะห์แสง โดยการฉีดออกซิเจนปริมาณมากลงไปในน้ำทะเลและสุดท้ายก็บรรยากาศของโลกเรา ก้าวสำคัญเกิดขึ้นในวิวัฒนาการเมื่อโลกปนเปื้อนด้วยออกซิเจน เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยออกซิเจนที่มันมีอยู่มากมายในอากาศ ออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศซึ่งมาจากการสังเคราะห์แสง

หลังจากสองถึงสามพันล้านปีของวิวัฒนาการของดาวเคราะห์และชีววิทยา พืชชนิดแรกและสัตว์ก็เริ่มโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ประมาณการว่ามนุษย์ก้าวเข้ามาเมื่อสองแสนปีที่แล้ว และด้วยวิวัฒนาการและเทคโนโลยีเกิดขึ้นบนโลกของเรา จากอนุสาวรีย์ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นในสมัยโบราณ มาสู่เมืองหลวงที่วุ่นวาย มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงโลกตั้งแต่บนพื้นดินจนถึงอวกาศ พื้นโลกถูกดัดแปลงกลายเป็นเมืองด้วยกิจกรรมของมนุษย์ เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก เราได้สร้างความเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลก และธรณีวิทยาของโลกลึกๆ ถูกปรับเปลี่ยนไปมาก สิ่งต่างๆที่เราทำบนพื้นดินที่เรารู้ว่าไม่มีที่ดาวดวงไหน มันไม่มีเกิดขึ้นที่อื่นในระบบสุริยะจักรวาลอย่างแน่นอน

+++++การเดินทางท่องจักรวาลพาเราไปพบเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์อย่างน้ำพุร้อน น้ำแข็งบนดาวเอนเซลาดุส วงแหวนที่น่าสนใจของดาวเสาร์ The Great Red Spot บนดาวพฤหัส ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุด Olympus Mons แถบดาวเคราะห์น้อยปริศนาและพายุสุริยะของเรา แต่การผจญภัยที่ไม่มีวันลืมจะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีบ้านของเรานั่นคือโลก สถานที่ๆมีความเป็นไปได้ ที่ไม่มีสิ้นสุด ศตวรรษที่แล้วมนุษย์ผลิตยานอวกาศ เทคโนโลยีจะช่วยให้เราสำรวจสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆอีก เราสามารถเดินทางไประยะทางไกลขึ้นและตระหนักว่าเราคือส่วนหนึ่งของจักรวาลที่กว้างใหญ่ขึ้น ปรากฏการณ์เหล่านี้จะทำให้เราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น และเหตุผลที่เราอยู่ที่นี่ในสถานที่ๆเราเรียกมันว่าจักรวาล+++++

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี
เล่าเรื่องผี เรื่องสยองขวัญ เรื่องผี
ฆาตกรโหด ฆาตกรต่อเนื่อง ฆาตกรโรคจิต
ผีนานาชาติ ผีปีศาจ พระธุดงค์เจอผี
โจนเบเน็ต คดีเพชรซาอุ เดวิด เบอร์โควิด
ซอว์นี่ บีน ฆาตกรโหดเมืองไทย อลิซาเบธ บาโธรี่
ฆาตกรฆ่าคนมากที่สุด คดีกักขังหน่วงเหนี่ยว คดีวิตถาร
คดีพิศวาสฆาตกรรม ฆาตกรเด็ก คดีฆ่าหั่นศพ
ยโศโฆษาฆาต แจ๊คเดอะริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องอินเดีย
เบลล์ กันเนส ยูนาบอมเบอร์ เอล ชาโป
ผีภาคเหนือ ผีภาคอีสาน ผีญี่ปุ่น
เมืองอาถรรพ์ เรื่องเล่าเดอะช็อค มนุษย์กินคน

บทความแนะนำ

กำเนิดดวงอาทิตย์ กำเนิดเอกภพ สตีเฟ่น ฮอว์คิงกับคำถามของเอกภพ ภาพพระจันทร์เต็มดวงในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก มฤตยูในสายน้ำ แมงกะพรุนกล่อง การพบเห็นมนุษย์ต่างดาวในประวัติศาสตร์ โจน ออฟ อาร์ค วีรสตรีที่โลกไม่เคยลืม ขุนศึกหญิงแดนมังกร มู่กุ้ยอิง หวางชิงเอ๋อ และฮัวมู่หลาน

Popular Posts