เกรซ มูกาเบ หญิงร้ายแห่งซิมบับเว
เกรซ มูกาเบ ผู้หรูหรา |
เกรซ มูกาเบ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของซิมบับเว เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2508 ก่อนจะกลายร่างเป็นดอกไม้หนามคมอย่างทุกวันนี้เกรซเป็นเพียงดอกหญ้าเล็กๆ ในเมืองชีฟวู ทางตอนกลางของซิมบับเว ชีวิตผู้หญิงในชนบทส่วนใหญ่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าหาผู้ชายสักคนแต่งงาน จากนั้นก็มีลูกแล้วเลี้ยงลูกไปจนแก่ เกรซก็หนีไม่พ้นขั้นตอนชีวิตแบบนี้ เธอแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นกับนายสแตนลีย์ โกเรราซา นักบินของกองทัพอากาศและมีลูกด้วยกัน 1 คน
เกรซ มูกาเบ ผู้นิยมแต่ของแบรนด์เนม |
ต่อมาสามีนักบินของเกรซได้ย้ายมาประจำการในเมืองหลวง เธอจึงได้พ้นไอดินกลิ่นควายเข้ามาเป็นสาวเมืองกรุงไปด้วย กรซต้อนรับชีวิตใหม่ด้วยการเข้าทำงานเป็นเลขาในสำนักงานประธานาธิบดี และเมื่อโอกาศสุกงอมเสียขนาดนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เธอจะได้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีมูกาเบ ซึ่งแก่กว่าเธอถึง 40 ปีเต็ม ถึงวัยที่แทบจะเป็นปู่เป็นหลานกันได้อยู่แล้ว แต่เมื่อโคแก่คิดจะเล็มหญ้าอ่อนเสียอย่าง อายุก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่นานนักจึงเป็นที่รู้กันในหมู่นักกการเมืองขั้วรัฐบาล ว่าเกรซเป็นเมียเก็บที่ประธานาธิบดีหวงนักหวงหนา จนหมู่แมลงไม่กล้ากล้ำกรายเข้าไปดอมดม
แซลลี่ มูกาเบ อดีตภรรยาประธานาธิบดีมูกาเบ |
อย่างไรก็ตาม มูกาเบไม่คิดจะยกย่องเกรซมากไปกว่านั้น เพราะตัวเขาเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว อีกทั้งนางแซลลี่ มูกาเบยังเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ชาวซิมบับเวรักมากอีกด้วย การหย่ากับแซลลี่มาคว้าโนเนมอย่างเกรซ จึงมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคะแนนเสียงและความนิยมในตัวมูกาเบชนิดที่ต่อให้เอาเมียน้อยวัยกระเตาะสักสิบคนมาแลก ท่านประธานาธิบดีก็ไม่กล้าเสี่ยง
แต่สำหรับสแตนลีย์ โกเรราซา สามีของเกรซที่เมียกับชู้เอาเขามาสวมให้ ไม่ใช่เครื่องประดับที่มีเกียรติอะไรนัก สแตนลีย์จึงฟ้องหย่ากับเมียกากีทันทีที่มีโอกาส ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น เกรซก็มีลูกลับๆ กับประธานาธิบดีมูกาเบไปแล้วถึงสองคน ได้แก่โบนา และโบเบิร์ต ปีเตอร์ จูเนียร์ พอคุณผัวหัวแข็งที่เคยเป็นหน้าฉากอำพรางการปีต้นงิ้วให้ ไม่ยอมเล่นตามบทอีกต่อไป ประธานาธิบดีก็ใช้อิทธิพลย้ายสแตนลีย์ไปประจำการในต่างประเทศ เพื่อสั่งสอนให้คนอื่นที่อาจจะเอาอย่างได้รู้ว่า มดปลวกที่กล้างัดข้อกับพญาอินทรีย์นั้นจะได้รับผลตอบแทนเช่นไร
งานแต่งงานของเกรซกับประธานาธิบดีมูกาเบ |
ในปี 2535 นางแซลลี่ มูกาเบ ภริยาของประธานาธิบดีมูกาเบได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไต แต่เกรซยังต้องรออีกนานถึง 4 ปีกว่าจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคุณนายมูกาเบคนใหม่ วันแต่งงานของเธอกับประธานาธิบดีมีแขกเหรื่อมาร่วมงานถึง 12,000 คน พิธีจัดขึ้นอย่างหรูหราราวกับงานอภิเษกของสมาชิกราชวงศ์อย่างไรอย่างนั้น จนสื่อมวลชนขนานนามว่าเป็นงานวิวาห์แห่งศตวรรษเลยทีเดียว หลังจากได้นั่งเก้าอี้สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ ชีวิตของเกรซก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ต้องมีนักข่าวตามหลังเป็นเงาตามตัว และยังมีฉายา "ดิส เกรซ" (Dis Grace) หรือ "ไม่สง่างาม" เนื่องจากนิสัยฟุ้งเฟ้อ รักความหรูหราฟุ่มเฟือยของเธอนั่นเอง
เกรซใช้เงินเป็นเบี้ยเหมือนกับสามีมีโรงกษาปณ์ส่วนตัว เธอเป็นขาช้อปตัวยงประจำย่านช้อปปิ้งหรูของโลก อย่างลอนดอน ปารีส กรุงโรม มิลาน และอีกหลายแห่งที่มหาเศรษฐีและคนดังๆ ชอบไปหย่อนใจกัน แถมยังเคยทำสถิติช้อปแหลกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ผลาญเงินของสามี (และของชาติ) ไปถึง 3.6 ล้านบาท ความคลั่งแบรนด์เนมของเธอ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้สามีไม่แพ้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติ จนเมื่อสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซิมบับเว 80 คน รวมถึงเกรซและพรรคพวก ส่งผลให้เธอกลายเป็นบุคคลต้องห้ามที่ประเทศชั้นนำของยุโรปไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ
แทนที่จะโกรธแค้นหรือเสียหน้า สมาชิกสภาซิมบับเวบางคนกลับโล่งใจ เพราะอย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยให้สตรีหมายเลขหนึ่งหมดโอกาสไปช้อปปิ้งผลาญเงินภาษีของประชาชนไปได้ระยะหนึ่ง แต่คนที่คิดว่ามาตรการแค่นี้จะหยุดความบ้าช้อปปิ้งของผู้หญิงได้ คงจะมองโลกสวยเกินไปสักหน่อย เมื่อประเทศทางยุโรปไม่ให้เข้า เกรซก็หันไปผลาญเงินในประเทศแถบเอเชียที่เป็นศูนย์รวมสินค้าแบรนด์ดังๆ อย่างสิงคโปร์ และฮ่องกงแทน ทั้งยังไปสร้างวีรกรรมฉาวจนชาวซิมบับเวต้องเอาปี๊บคลุมหัวไปตามๆ กัน เมื่อเธอบันดาลโทสะชกหน้านายริชาร์ด โจนส์ นักข่าวที่ตามทำข่าวไปถึงโรงแรมที่พักจนหน้าหงาย เท่านั้นยังไม่พอ เกรซยังตามไปตบซ้ำด้วยมือที่ใส่แหวนเพชรเม็ดเป้งหลายวง จนสองแก้มของนักข่าวหัวเห็ดถูกข่วนเป็นทางยาวเหมือนรางรถไฟ ดีที่เธอและคณะมีเอกสิทธิ์ทางการฑูตคุ้มครองอยู่ ไม่อย่างนั้นภริยาประธานาธิบดีซิมบับเวคงไม่แคล้วต้องไปอาละวาดต่อในคุก
ที่เกรซเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักข่าวมากขนาดนี้ เพราะเธอถูกสื่อมวลชนตามจิกตามแฉพฤติกรรมฟุ้งเฟ้อ จนชาวซิมบับเวเกลียดเข้าไส้ไปทั่วทุกหัวระแหง อีกทั้งตัวเธอเองก็ไม่ฉลาดในการตอบคำถามนักข่าวเอาเสียเลย ครั้งหนึ่งนักข่าวถามเกรซว่าการใส่รองเท้าเฟอร์รากาโมราคาแพงยังกับทองที่เธอโปรดปรานนั้น จะไม่สวนทางกับความพยายามแก้ปัยหาความยากจนในซิมบับเวไปหน่อยหรือ แทนที่จะแถด้วยคำพูดสวยหรูน่าฟังเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ เกรซกลับโต้ใส่หน้าคนถามแบบใส่อารมณ์เต็มที่ว่า "ฉันมีเท้าที่แคบมาก ฉันเลยต้องใส่แต่เฟอร์รากาโม มันรับกับรูปเท้าของฉัน ตกลงไหม แล้วการช้อปปิ้งมันเป็นอาชญากรรมหรือยังไง ร้านพวกนี้มีไว้ให้คนเข้าไปซื้อของนะ"
จากการสัมภาษณ์แสบสันต์ในครั้งนั้นเกรซก็ได้ฉายาเพิ่มขึ้นมาอีกสองชื่อ นอกเหนือจาก "ดิสเกรซ" ซึ่งเป็นโลโก้ประจำตัวของเธอ ก็มี "กุชชี่เกรซ" และ "นักช้อปหมายเลขหนึ่ง" สื่อบางเจ้าแขวะว่าที่เธอบ้าซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมเป็นบ้าเป็นหลัง ก็เพื่อแต่งตัวสวยสง่าแข่งกับเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ล่วงลับ ทั้งๆที่ชุดบางชุดทั้งหนาทั้งรุงรัง ไม่ได้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนตับแล่บของแอฟริกาเลย ส่วนเงินที่เกรซนำมาถลุงเพื่อตอบสนองความพอใจส่วนตัวนั้น สื่อคาดกันว่าน่าจะเป็นดอกเบี้ยจำนวนหลายล้านดอลล่าห์จากธนาคารกลางซิมบับเว หรือก็คือเธอยักยอกเงินของชาติมาละลายกับของแบรนด์เนมนั่นเอง
ว่ากันว่าประธานาธิบดีมูกาเวก็กระอักกระอ่วนใจกับความมือเติบของเมียเด็กอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ครั้นเขาจะลุกขึ้นมาหย่ากับเกรซก็ติดที่รักเธอจนไม่ลืมหูลืมตา บวกกับเธอเป็นแม่ของลูกชายหญิงของเขาถึงสามคน (เกรซมีลูกคนที่สามหลังจากได้เป็นภริยาประธานาธิบดีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย) ซึ่งเป็นสิ่งที่ภรรยาคนก่อนนางแซลลี่ มูกาเวให้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกรซยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้เขาได้ในหลายๆเรื่อง เช่นเธอสนับสนุนนโยบายยึดที่ทำกินของคนผิวขาวอย่างออกหน้าออกตา เกรซลัลล้ากับโครงการนี้มากจนมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งเธอขับรถผ่านฟาร์มแห่งหนึ่ง พอรู้ว่ามันเป็นที่ดินของคนขาว เจ้าแม่ก็สั่งหยุดรถแล้วเดินอาดๆ ผ่านเจ้าของฟาร์มที่แก่คราวปู่เข้าไปสำรวจบ้านและที่ดินราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
นอกจากเที่ยวยึดที่ดินของประชาชนแล้ว เกรซยังมีคฤหาสน์หลังงามและธุรกิจค้าเพชรขนาดใหญ่อยู่ในฮ่องกง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเนรมิตมาจากเงินที่โกงชาติไปนั่นเอง เธอสู้อุตส่าห์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้หลายสิบปี จนกระทั่งมาถูกเปิดโปงโดยวิกีลีกส์ เว็บไซต์จอมแฉของโลก เกรซจึงจัดการฟ้องเรียกค่าปากโป้งจากวิกีลีคส์เป็นเงิน 15 ล้านดอลล่าห์ โทษฐานที่ทำให้ชื่อเสียงของผู้หญิงแถวหน้าของเธอมีมลทิน
กิจกรรมโปรดอีกอย่างหนึ่งที่เกรซเลิกไม่ได้เสียที ได้แก่นิสัยชอบสวมเขาให้สามี ไม่ต่างอะไรจากเมื่อครั้งยังเป็นสาวบ้านนอก จะผิดกันก็ตรงที่คราวนี้ผู้ชายที่เป็นชู้กับเธอมักจะหายตัวไปจากโลกเสียเฉยๆ หรือไม่ก็ถูกบีบให้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างประเทศด้วยฝีมือของประธานาธิบดีมูกาเบ จึงไม่มีใครรู้เห็นพฤติกรรมสำส่อนของเธอเท่าไหร่นัก ชายชู้ที่โด่งดังที่สุดอและสร้างความเสียใจให้มูกาเบมากที่สุดได้แก่ กิเดียน โกโน ผู้ว่าการธนาคารกลางซิมบับเว ที่ปรึกษาและพันธมิตรคนสำคัญของท่านประธานาธิบดีนั่นเอง ยอดชู้คู่เชยทั้งสองแอบพบกันเดือนละ 3 ครั้ง ที่ฟาร์มโคนมของเกรซบ้าง ตามโรงแรมหรูบ้าง หรือไม่เกรซก็ใช้การเดินทางไปช้อปปิ้งในต่างประเทศบังหน้าเพื่อไปหาชายชู้ ทำให้ประธานาธิบดีมูกาเวไม่เคยสงสัย จนเมื่อได้รู้ความจริง มูกาเบถึงกับช็อคเพราะคาดไม่ถึงว่าคนที่ไว้ใจที่สุดสองคนจะหักหลังกันได้ลงคอ
กิเดียน โกโน |
ที่กิเดียนกล้าล้วงคองูเห่าได้หน้าตาเฉย เพราะเขาถือว่าตัวเองมีความสำคัญต่อประธานาธิบดีมูกาเบ ซ้ำยังมีชื่อเสียงทางสังคมเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนให้ อย่างไรก็คงไม่ต้องพบจุดจบเหมือนชายชู้คนอื่นๆ ของเกรซ แต่กิเดียนก็หลงลำพองอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ จู่ๆเขาก็เสียชีวิตไปในสภาพที่คล้ายถูกวางยาพิษอก่อนที่ศพจะถูกส่งกลับไปให้ครอบครัวทำพิธีฝังเงียบๆ โดยไม่มีการชันสูตร เป็นรางวัลสำหรับเขาคู่งามที่เขาเคยอภินันทนาการให้ประธานาธิบดีเพื่อนรัก เหลือแต่เกรซที่สามีผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยให้ลอยลำเป็น "ดิสเกรซ" ของชาวซิมบับเวต่อไป...อละคงจะเป็นไปอีกนานแสนนาน ตราบเท่าที่สามีของเธอยังคงเป็นประธานาธิบดีของประเทศนี้
ที่มา นิตยสาร LIVE
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
บทความแนะนำ