โจน ออฟ อาร์ค วีรสตรีที่โลกไม่เคยลืม
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1328 ราชวงศ์กาเปเซียงที่ครองฝรั่งเศสมานานมีอันต้องจบสิ้นลง เมื่อพระโอรสทั้งสามของกษัตริย์ฟิลลิปส์ เลอ เบล ด่วนสิ้นพระชนม์ไปจนหมดตั้งแต่เยาว์วัย เหล่าขุนนางจึงพร้อมใจกันอัญเชิญฟิลิป ดยุคแห่งวาลัวร์ขึ้นครองบัลลังก์แทน เป็นเหตุให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้น เพราะในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีเจ้านายอังกฤษกับเจ้านายฝรั่งเศสหลายพระองค์ถูกจับคู่ให้อภิเษกกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ อังกฤษจกับฝรั่งเศสจึงมักถือโอกาสอ้างว่าตนมีสิทธิในราชบัลลังก์ของอีกฝ่ายอยู่เสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ของอังกฤษทรงอ้างว่าพระองค์เป็นหลานของกษัตริย์ฟิลิป เลอ เบล เป็นสายเลือดใกล้ชิดกว่าดยุคแห้งวาลัวร์ บัลลังก์ของฝรั่งเศสจึงควรเป็นของพระองค์มากกว่า แต่มีหรือที่ขุนนางของฝรั่งเศสจะยอมให้อังกฤษมาฮุบเอาแผ่นดินไปง่ายๆ สงครามการชิงบัลลังก์จึงเริ่มขึ้น และดำเนินไปอย่างยาวนานถึงร้อยปีกว่าที่ฝรั่งเศสจะปราชัยในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 จนต้องยอมตกลงในสนธิสัญญา Pacte de Calais ที่กำหนดให้พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 แห่งอังกฤษอภิเษกกับเจ้าหญิงคาเธอรีน เดอ ฟรองซ์ของฝรั่งเศส และเมื่อทั้งสองมีทายาท บัลลังก์ฝรั่งเศสก็จะต้องตกเป็นของทายาทผู้นี้เพียงผู้เดียว ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเลย หลังอภิเษกไม่กี่ปีเจ้าหญิงคาเธอรีนก็ตั้งท้องและมีพระประสูติกาลพระโอรส เจ้าชายเฮนรี่ที่ 6 ออกมา จึงเป็นอันแน่นอนว่าบัลลังก์ฝรั่งเศสจะต้องตกเป็นของเจ้าชายเชื้อสายอังกฤษคนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 เองก็ทรงมีพระโอรสเช่นกัน เมื่อทรงสิ้นพระชนม์ลงในปี 1442 ขุนนางฝรั่งเศสเลยทำโมเมแกล้งลืมสัญญากันดื้อๆ และเตรียมการจะยกเจ้าชายชาร์ลส์ พระโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป เล่นเอาอังกฤษเดือดผาง สงครามการชิงบัลลังก์ครั้งประวัติศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้นและเป็นจุดเริ่มแห่งการเดินทางของวีรสตรีที่ชื่อโจน ออฟ อาร์ค
ฌานน์ ดาร์ค (ที่ถูกคือ Jehanne Darc เป็นคำสะกดที่มาเปลี่ยนแปลงกันในยุคหลัง) หรือโจน ออฟ อาร์ค ในภาษาอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 6 มกรคม 1421 ที่หมู่บ้านดองเรมี่ ในแคว้นลอร์เรน ประเทศฝรั่งเศส ชีวิตของเธออาภัพตั้งแต่ต้นจนจบฆ เนื่องจากแจ็ค ดาร์ค พ่อของโจนต้องการลูกชายเอาไว้ช่วยทำนา พอได้ลูกสาวเขาจึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงเกลียดน้ำหน้าโจนตั้งแต่แรกเห็น ทำให้โจนต้องเตอบโตขึ้นมาอย่างลูกชัง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ขวางหูขวางตาแจ็คไปเสียหมด อาจจะด้วยเหตุนี้เธอจึงกลายเป็นเด็กเงียบๆ ชอบเก็บตัวสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ ผิดประหลาดไปจากเด็กวัยเดียวกัน
ความศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระเจ้าของโจนให้ผลตอบแทนเมื่อเธอมีอายุได้ 13 ปี เธอเริ่มได้ยินเสียงทูตสวรรค์ถ่ายทอดพระดำรัสของพระเจ้ามาสู่เธอ พอถึงฤดูร้อนปี 1425 โจนอ้างว่าเธอได้ยินเสียงนักบุญทั้งสี่ อันได้แก่ เซนต์กาเบรียล เซนต์ไมเคิล เซนต์มาเกอริต และเซนต์แคเธอรีน บอกให้เธอช่วยเจ้าชายชาร์ลส์กอบกู้ฝรั่งเศสจากกรงเล็บของอังกฤษ ตามความประสงค์ของพระเจ้า
โจนลังเลอยู่นานถึง 14 ปี กว่าจะตัดสินใจออกเดินทางไปตามพระบัญชา โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่คฤหาสน์ของเคานท์บาว์ดริคอร์ท ขุนนางผู้ทรงอิทธิพลเพื่อขอให้ท่านเคานท์พาเธอไปหาเจ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งท่านเคานท์ก็ดีใจหาย ยอมมอบเสื้อผ้าผู้ชาย ม้า และผู้ติดตามให้ 6 คน พาโจนเดินทางไปหาเจ้าชาย ซึ่งประทับอยู่ที่ประสาทจีนองในแคว้นลอร์เรน ขณะนั้นเมืองรอบๆ ลอร์เรนอยู่ในความครอบครองของขุนนางฝรั่งเศสที่สวามิภักดิ์ต่ออังกฤษหมดแล้ว การเดินทางของโจนก็ไม่ต่างอะไรกับการบุกเข้าถ้ำเสือดีๆ นี่เอง เธอต้องปลอมตัวเป็นชายเดินทางลัดเลาะไปในถิ่นของศัตรูไกลถึง 600 กิโลเมตร ใช้เวลาถึง 11 วันกว่าจะบากบั่นไปถึงประสาทจีนองได้สำเร็จ
ก่อนที่โจนจะเข้าเมือง ผู้ติดตามที่เคานท์ บาว์ดริคอร์ทมอบหมายมา ได้ถือจดหมายขียนโดยลายมือของท่านเคานท์เอง เข้าไปถวายเจ้าชายให้รู้ตัวล่วงหน้าแล้ว แต่เจ้าชายไม่ทรงเชื่อว่าผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่งจะได้ยินเสียงของพระเจ้าจริงๆ พระองค์จึงเตรียมบททดสอบไว้ต้อนรับโจนตั้งแต่นาทีแรกที่ย่างกรายเข้าสู่จีนอง ด้วยการให้คนสนิทแต่งตัวเป็นพระองค์ ส่วนตัวเจ้าชายเองกลับทรงฉลองพระองค์ในชุดข้าราชบริพารยืนปะปนอยู่ในหมู่มหาดเล็ก
แต่แล้วเหตุมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทันทีที่โจนเหลือบเห็นเจ้าชายชาร์ลส์ เธอก็ตรงเข้ามาถวายบังคมโดยไม่เหลือบแลเจ้าชายกำมะลอเลย ความอัศจรรย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายหนุ่มยอมให้เธอเข้าเฝ้าในห้องเพียงลำพัง หลังจากคุยกันได้ไม่นานเจ้าชายก็เสด็จออกมาด้วยพระพักตร์ที่แช่มชื่น และประกาศให้ข้าราชบริพารทุกคนต้อนรับ "นางผู้นำสาส์น" ของพระเจ้าเป็นอย่างดี
โจนในฐานะใหม่กลายเป็นหัวหอกคนสำคัญในการต่อกรกับอังกฤษ เธอขี่ม้าศึกสีขาวปลอด สวมชุดเกราะ ติดกระบี่ที่ได้มาจากพระวิหาร มือข้างหนึ่งถือธงสีขาว มีสัญลักษณ์แห่งสวรรค์จารึกคำสรรเสริญพระเจ้าว่า "เยซู มารีอา" นำทัพฝรั่งเศสเข้าต่อสู้กับทหารอังกฤษอย่างห้าวหาญ ทัพของเธอบุกไปขับไล่ทหารอังกฤษออกจากเมืองออร์ลีน และสามารถปล่อยออร์ลีนเป็นอิสระได้ในอีก 7 เดือนให้หลัง ส่งผลให้ฝรั่งเศสกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ เจ้าชายชาร์ลส์จึงไม่ต้องยอมให้อังกฤษกดหัวอีกต่อไป ทรงประกาศว่าพระองค์พร้อมแล้วที่จะทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ตามสิทธิอันพึงมีโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น
ทว่าก่อนที่พิธีสถาปนาจะเริ่มขึ้น โจนก็ได้ยินสุรเสียงจากเบื้องบนกระซิบบอกว่า พิธีราชาภิเษกของเจ้าชายชาร์ลส์จะต้องจักขึ้นที่เมืองแรงส์เท่านั้น เนื่องจากพระเจ้าคลอวิสที่ 1 ซึ่งเป็นต้นตระกูลของราชวงศ์ฝรั่งเศสได้รับศีลล้างบาปที่เมืองแรงส์นี้ และกษัตริย์ของฝรั่งเศสก็ประกอบพิธีราชาภิเษกที่นี่กันทุกพระองค์ คำบอกเล่าของโจนได้รับการตอบสนองจากเจ้าชายชาร์ลส์ทันที ถึงแม้ตลอดเส้นทางไปสู่เมืองแรงส์ ขบวนของพระองค์จะต้องปะทะกับกองทัพอังกฤษไปตลอดทางก็ตาม สุดท้ายเจ้าชายชาร์ลส์ก็ทรงขึ้นเถลิงราชสมบัติเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสในวันที่ 17 กรกฎาคม 1429
เมื่อชาร์ลส์ได้สิ่งที่ปรารถนาอย่างที่สุดแล้ว ก็ไม่ทรงคิดจะเหนื่อยยากทำสงครามขับไล่อังกฤษอย่างที่เคยตรัสไว้กับโจนอีก แต่กลับมีพระดำริจะประนีประนอมกับอังกฤแทน ชาร์ลส์เชิญดยุคแห่งเบอร์กันดี ข้ารับใช้ของอังกฤษมาเจรจาถึงในวัง โดยไม่สนใจคำแนะนำของโจนที่บอกให้เดินทัพต่อไปยังปารีส เพื่อกวาดล้างอำนาจของอังกฤษให้สิ้นซาก ดยุคแห่งเบอร์กันดีจึงถือโอกาสนี้เกลี้ยกล่อมให้กษัตริย์องค์ใหม่ตีตัวออกห่างจากโจน ซึ่งนับวันก็จะยิ่งเด่นดังเป็นที่รักของประชาชนมากกว่ากษัตริย์ตัวจริงไปแล้ว
ปรากฏว่าชาร์ลส์ทรงเป็นคนที่ยุขึ้น พระองค์และกลุ่มขุนนางจึงทำเฉไฉไม่ยอมออกรบร่วมกับโจนจนเธอต้องกรีธาทัพไปบุกปารีสเพียงลำพัง แต่มีหรือที่ทัพเล็กๆ ของเธอจะต่อกรกับกองทัพมหึมาของอังกฤษได้ โจนถูกจับและถูกขังไว้ในปราสาทเทรมุย แต่เธอก็อาศัยวามสามารถเหนือชั้นหลบหนีอกมาได้และรีบเดินทางไปสมทบกับกองทัพฝรั่งเศส ที่กำลังรบติดพันกับอังกฤษอยู่ที่กงปิแญ ทว่าขุนนางฝรั่งเศสกลับรวมหัวกันจับโจนส่งไปให้อังกฤษ เพื่อแลกกับเงินรางวัล 10,000 ฟรังก์
โจนถูกส่งไปอยู่ในความควบคุมของศาสนจักร และถูกจับขึ้นศาลไต่สวนความผิดหลายกระทง ข้อกล่าวหาสำคัญที่สุที่สาสนจักรใช้เล่นงานเธอคือการแอบอ้างตัวเป็นผู้นำสาสน์จากพระเจ้า ซึ่งศาสนจักรถือว่าเป็นการหักหน้ากันอย่างรุนแรง เพื่อสังเวยให้กับความเหิมเกริมนี้ บิชอป (ตำแหน่งทางสงฆ์เทียบเจ้าคณะจังหวัด) แชง ปิแอร์ โคชองและผู้นำกลุ่มสอบสวนจำนวน 60 คน จึงปรับปรำว่าโจนเป็นแม่มดที่มาหลอกลวงผู้คนเพื่อทำลายศาสนา ส่วนการที่โจนสามารถแยกพระเจ้าชาร์ลส์ออกจากกลุ่มผู้ติดตามได้ในทันทีที่เห็นนั้น ท่านบิชอปก็ฟันธงว่าผู้ติดตามของเคานท์บาว์ดริคอร์ท คงจะแอบบอกเธอไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่พระเจ้าทรงชี้นำเธออย่างที่ผู้คนเข้าใจ
โจนถูกลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น ซึ่งเป็นวิธีจัดการกับแม่มดในยุคนั้น ที่เมืองรูออง ในวันที่ 30 พฤษภาคม 1431 ร่างของเธอถูกเผาถึง 3 ครั้งด้วยกันเพื่อให้เหลือแต่เถ้าถ่านจริงๆ จากนั้นอัฐิก็ถูกนำไปโปรยในแม่น้ำแซน ตรงจุดที่เป็นที่ตั้งของสะพานฌาน ดาร์ก (Jeanne d'Arc) ในปัจจุบัน
อีก 25 ปีต่อมา ได้มีการพลิกคดีของโจนขึ้นมาวินิจฉัยใหม่ ศาลฝรั่งเศสยอมรับให้คำตัดสินที่รูอองเป็นโมฆะ โจนจึงพ้นมลทินจากการถูกตีตราว่าเป็นแม่มด อีกหลายร้อยปีต่อมา ในวันที่ 16 พฤษภาคม 1920 พระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ก็ยกเธอขึ้นเป็นนักบุญฌานน์ ดาร์ค เพื่อตอบแทนความกล้าหาญของวีรสตรีฝรั่งเศสคนนี้
บทความแนะนำ
จักรพรรดิปูยี มังกรไร้บัลลังค์
b>"สูงสุดคืนสู่สามัญ" น่าจะเป็นนิยามที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับ "อ้ายซินเจี๋ยหลอ ปูยี" จักรพรรดิองค์สุดท้ายของแดนมังกร จากคนที่ถือกำเนิดมาอย่างสูงศักดิ์ เพียบพร้อมด้วยอำนาจและทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าผู้คนทั้งหลาย แต่แล้วบั้นปลายชีวิตของพระองค์กลับจบลงด้วยการเป็นเพียงคนงานทำสวนจนๆ ไม่มีแม้แต่เงินทำศพตัวเอง กลายเป็นหน้าหนึ่งทางประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นและปวดร้าวอย่างเหลือเชื่อเท่านั้น
ย้อนกลับไปตอนปลายราชวงศ์หมิง ในราชสำนักเต็มไปด้วยขุนนางทรราชย์โกงกินขูดเลือดขูดเนื้อราษฎร สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนประเทศชาติอ่อนแอไม่ต่างจากคนอ่อนเปลี้ยเสียขาที่ไม่สามารถจะป้องกันตนเองได้ เป็นโอกาสให้ชนเผ่าเร่ร่อนทางตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียกตัวเองว่าชาวแมนจู กรีธาทัพมารุกราน และสามารถรวบเอาแผ่นดินมังกรไว้ในอุ้งมือได้สำเร็จ จากนั้นชาวแมนจูก็สถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นครองประเทศ ต่อมาเพื่อกลืนกินราษฎรให้กลายเป็นแมนจูให้หมด จักรพรรดิชิงก็ออกกฎบังคับให้ผู้ชายชาวฮั่นทุกคนโกนผมครึ่งศรีษะไว้ผมเปียยาวและสวมเสื้อผ้าอย่างชาวแมนจู ใครฝ่าฝืนจะมีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการโกนศรีษะนั้นขัดแย้งกับประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมของชาวฮั่นที่ถือว่า เส้นผมเป็นสมบัติจากพ่อแม่ ห้ามตัด หรือทำลายอย่างเด็ดขาด แต่ผู้ชายชาวฮั่นในสมัยนั้นก็ต้องเลือกเอาว่าจะเก็บผมไว้แต่เสียหัว หรือจะเลือกหัวที่มีผมแค่ครึ่งเดียว
ราชวงศ์ชิงใช้การประณีประณอมในบางเรื่องและแข็งกร้าวในบางส่วนได้อย่างแยบยล จึงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม จนสามารถปกครองประเทศจีนได้นานถึง 260 ปี จวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิถงจื้อ แผ่นดินจีนก็มีโอกาสให้จักรพรรดิหญิงคนแรกและคนเดียว ผู้ซึ่งนำความหายนะมาให้ประเทศชาติ นั่นก็คือพระนางซูสีไทเฮา ผู้เป็นดั่งดาวมัจจุราชที่สวรรค์ส่งมาทำลายประเทศจีน
พระนางซูสีไทเฮาทรงหลับหูหลับตาเชื่อมาตลอดว่าจีนนั้นเป็นศูนย์กลางงแห่งความยิ่งใหญ่เหนือกว่าอาณาจักรใดๆ และมองชาติตะวันตกว่าเป็นชนป่าเถื่อนหยาบช้า พระนางจึงไม่ใส่ใจภัยคุกคามจากชาติตะวันตกที่กำลังล่าอาณานิคม จนพม่า อินเดีย และอีกหลายประเทศในเอเชียต้องสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดินกันในขณะนั้น
หลังจากที่จักรพรรดิถงจื้อทรงสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท พระนางซูสีไทเฮาก็นำหลานชายของพระนางเอง นามว่า กวางซวี ซึ่งมีอายุเพียงสามขวบ ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป แล้วทำตัวเป็นฮ่องเต้หญิงบัญชาการอยู่เบื้องหลัง จวบจนจักรพรรดิกวางซวีทรงเจริญพระชนมายุพร้อมจะครองราชย์ได้เองแล้ว พระนางซูสีไทเฮาก็ถูกเหล่าขุนนางเฒ่าชราที่ภักดีต่อชาติบีบให้สละอำนาจให้กับจักรพรรดิหนุ่ม กระนั้นอำนาจที่แท้จริงก็ยังอยู่ในกำมือของพระนางซูสีไทเฮาเหมือนเดิม ส่วนจักรพรรดิกวางซวีก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่พระนางใช้บังหน้าเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎมณเฑียรบาลเท่านั้น
เมื่อได้ครองราชย์ใหม่ๆ จักรพรรดิกวางซวีทรงพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบเก่าคร่ำครึหลายอย่างในประเทศ เพื่อให้ทันต่ออารยธรรมตะวันตกที่คืบคลานเข้ามา แต่ความหัวสมัยใหม่ของพระองค์กลับไปขวางหูขวางตาพระนางซูสีไทเฮาเข้า พระนางจึงใช้กำลังทหารทำการปฏิวัติยึกพระราชอำนาจจากองค์จักรพรรดิ และขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการอีกครั้ง ความมัวเมากระหายอำนาจของพระนางกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้จีนล้าหลัง จนไม่สามารถต้านทานการรุกรานอย่างหนักของชาติตะวันตกได้ ในที่สุดปักกิ่งก็ถูกอังกฤษเข้ายึดครอง และพระนางซูสีไทเฮาก็ต้องทำการปฏิรูปประเทศตามข้อตกลงที่ชาติตะวันตกต้องการ
ปี พ.ศ.2451 จักรพรรดิกวางซวีทรงเสด็จสวรรคตอย่างตรอมตรมในพระราชวังฤดูร้อนที่พระนางซูสีไทเฮาขังพระองค์ไว้ หลังจากนั้นเพียงวันเดียวพระนางก็คัดเลือก อ้ายซินเจี๋ยหลอ ปูยี พระโอรสอายุเพียง 2ปี 10เดือน ขององค์ชายชุน ให้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ใช้ชื่อรัชสมัยว่า "ซวนถ่ง" ปูยีจึงมีพระนามที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าจักรพรรดิซวนถง โดยให้พระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
จักรพรรดิปูยี มีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2449 เป็นพระโอรสองค์โตขององค์ชายชุนที่ 2 และพระนางยู่หลาน มีพระอนุชานามว่าปูเจี๋ย ที่พระนางซูสีไทเฮาแต่งตั้งให้เจ้าชายน้อยเป็นจักรพรรดิ ก็เพราะเล็งเห็นว่าปูยียังเป็นเพียงทารกจึงง่ายที่จะควบคุมให้อยู่ในโอวาท แต่สิ่งที่พระนางลืมคิดไปก็คือคนเราไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แม้แต่ตัวพระนางเองที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินก็ยังต้องตายเหมือนคนทั่วไป หลังจากองค์ชายปูยีขึ้นครองราชย์ไม่กี่วัน พระนางซูสีไทเฮา นางมังกรที่แผ่กรงเล็บครอบคลุมแผ่นดินจีนมาอย่างยาวนานก็สวรรคตลงอย่างสงบ ทิ้งความยุ่งเหยิงและย่อยยับไว้ในประเทศจนสุดจะประมาณได้
และเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระนางนี่เอง ชีวิตของเด็กน้อยปูยีจึงต้องประสบกับความผกผันตั้งแต่ยังไม่ทันรู้เดียงสาในฐานะฮ่องเต้ พระองค์ต้องประทับอยู่แต่ในพระราชวังต้องห้ามที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงแม้จะพรั่งพร้อมด้วยวัตถุมีค่า แต่ก็ต้องพลัดพรากจากบิดามารดาผู้เป็นที่รัก มีเพียงพระพี่เลี้ยงเก่าแก่เพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งทางใจ จนกระทั่งอีก 6 ปีต่อมา จึงทรงได้รับอนุญาตให้พบกับครอบครัวอีกครั้ง แต่ก็เป็นการพบที่ห่างเหินเย็นชาไม่ต่างจากคนแปลกหน้าเลย จักรพรรดิองค์น้อยจึงเติบโตขึ้นมาอย่างว้าเหว่อ้างว้าง และสิ้นไร้อิสรภาพไม่ต่างจากนักโทษชั้นดีในคุกที่เรียกว่าพระราชวังนั่นเอง
ชีวิตของจักรพรรดิปูยีพบกับความพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อราชวงศ์ชิงภายใต้การสำเร็จราชการแทนขององค์ชายชุนที่ 2 ปราชัยอย่างย่อยยับให้กับกองทัพของฝ่ายปฏิวัติ ภายใต้การนำของ ดร.ซุนยัตเซ็น ความพ่ายแพ้ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นผลมาจากการปกครองที่อ่อนแอมาตั้งแต่รัชสมัยของพระนางซูสีไทเฮา เมื่อมาถึงมือขององค์ชายชุนที่ 2 ก็ไม่ทรงมีวิจารณญาณที่เข้มแข็งพอที่จะพาชาติรอดพ้นจากอำนาจของชาติตะวันตกได้ กระแสความเกลียดชังที่มีต่อราชวงศ์แมนจูทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนจีนระส่ำระสายไปทั่วประเทศ เมื่อบวกกับถูกโจมตีจากกองกำลังของ ดร.ซุนยัตเซ็นเข้าไปอีก สุดท้ายองค์ชายชุนที่ 2 จึงจำต้องยอมจำนน ในตอนนั้นจักรพรรดิปูยี ทรงมีพระชนมายุเพียง 6 ขวบ ยังพระเยาว์เกินกว่าที่จะรับรู้ความขัดแย้งทางการเมือง แต่ก็ทรงถูกให้จับมือเซ็นให้ทรงมีพระบรมราชโองการยินยอมสละราชสมบัติไปด้วย ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2455
ในพระราชโองการนั้น จักรพรรดิปูยีแห่งรัชกาลซวนถ่งทรงมอบหมายให้นายพลหยวนซือไข่ สมัครพรรคพวกคนสำคัญของดร.ซุนยัตเซ็น มีอำนาจสมบูรณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐได้ตามใจชอบ ส่วนฝ่ายรัฐบาลของ ดร.ซุนยัตเซ็นก็ให้สิ่งแลกเปลี่ยนด้วยการจัดสรรรายได้ถวายจักรพรรดิปูยีปีละ 4 ล้านเหรียญ และอนุญาตให้ประทับอยู่ในวังต้องห้ามส่วนเหนือและพระราชวังฤดูร้อนต่อไปได้ แต่ก็ทรงเป็นจักรพรรดิเพียงชื่อเท่านั้น ไม่มีอำนาจทางทหารและอำนาจในการปกครองประเทศอีกต่อไป ทั้งยังถูกจำกัดอิสรภาพเป็นอย่างมาก จะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องให้รัฐบาลยินยอมก่อน แม้กระทั่งงานพระศพของพระมารดาก็ยังไม่สามารถออกไปคารวะศพได้ เพราะรัฐบาลไม่อนุญาต
ในปี พ.ศ.2460 จักรพรรดิปูยีทรงถูกผู้ใหญ่บ้าอำนาจให้กลับเข้าสู่วงจรความวุ่นวายอีกครั้ง คราวนี้ตัวการใหญ่มีชื่อว่าแม่ทัพฉางซุน หัวหอกสำคัญคนหนึ่งในคณะปฏิวัติ แม่ทัพฉางซุนเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง คิดจะรวบอำนาจการปกครองมาเป็นของตนเองบ้าง จึงผลักดันให้เด็กน้อยหุ่นเชิดกลับไปเป็นประมุขแผ่นดินอีก แล้วตนเองจะได้บัญชาการอยู่เบื้องหลังเหมือนพระนางซูสีไทเฮาผู้ล่วงลับ เพราะแผนการนี้ปูยีจึงต้องกลับไปครองราชย์อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นครั้งที่สอง แต่การกลับคืนบัลลังก์ก็ยืนยาวเพียง 12 วัน แม่ทัพฉางซุนก็ถูกพรรคพวกแซะกระเด็นไปจากอำนาจ ปูยีจึงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์อย่างน่าเวทนาเป็นครั้งที่สองอีกจนได้
หลังจากนั้นชีวิตของปูยีก็ประสบแต่ความขมขื่น พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่นที่กำลังขยายอิทธิพลเข้ามาในจีนให้ขึ้นครองราชย์อีก แต่เนื่องจากคนจีนเกลียดญี่ปุ่นเข้ากระดูกดำ ปูยีจึงถูกคนจีนทั้งแผ่นดินมองว่าเป็นคนทรยศต่อชาติ พอญี่ปุ่นสิ้นอำนาจวาสนาไปด้วยอิทธิฤทธิ์ของระเบิดปรมาณู อดีตจักรพรรดิก็ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏและถูกจับขังคุกนานถึง 9 เดือน จากที่เคยมีความเป็นอยู่สุขสบายมาตลอด พระองค์ต้องไปอยู่ร่วมกับนักโทษการเมืองคนอื่นๆ ทำหน้าที่ใช้แรงงานในเรือนจำ ทั้งๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาปูยีไม่เคยแม้แต่จะล้างเท้าเองสักครั้งเดียว
เมื่อออกจากคุก ปูยีก็หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอำนาจ เงินทอง หรือแม้แต่หลังคาคุ้มหัว สิ่งเดียวที่ทรงเหลืออยู่ก็คือสภาพการเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลจีนเท่านั้น ปูยีถูกบังคับให้ประกาศตนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อให้ชาวจีนที่ยังกระด้างกระเดื่องต่อระบอบนี้เห็นว่า แม้แต่อดีตจักรพรรดิก็ยังเห็นดีเห็นงามกับระบอบคอมมิวนิสต์ ทรงถูกจัดหน้าที่ให้ไปเป็นคนสวนของสถาบันพฤกษศาสตร์และต้องแต่งงานกับหญิงชาวฮั่นที่พรรคคอมมิวนิสต์เลือกมาให้ ทั้งๆ ที่ธรรมเนียมชาวแมนจูผู้สูงศักดิ์จะต้องแต่งงานกับชาวแมนจูด้วยกันเท่านั้น แต่ที่พรรคคอมมิวนิสต์ทำอย่างนี้ก็เพื่อกลืนกินความเป็นแมนจูให้หมดสิ้นไปนั่นเอง
นี่คือเรื่องราวชีวิตจริงที่เข้มข้นและปวดร้าวยิ่งกว่านิยายของจักรพรรดิองค์สุดท้ายผู้เป็นดั่งพญามังกรที่ไร้บัลลังก์ และเป็นหุ่นเชิดของผู้มีอำนาจตั้งแต่วันแรกจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
ประวัติแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
เจ้าฆาตกรแจ็คเดอะริปเปอร์ฆ่าอย่างน้อยห้าลอนดอนหญิงโสเภณีใน 1888 ไม่เคยถูกจับ และตนเป็นหนึ่งในภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดปริศนาความลึกลับ
ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ถึง 10 กันยายน ปี 1888 , " แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ " ข่มขวัญฆาตกรในย่านลอนดอนตะวันออก . เขาถูกฆ่าตายอย่างน้อย 5 โสเภณีและใช้ร่างกายของพวกเขาในลักษณะที่ผิดปกติ ระบุว่า คนร้ายมีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ไม่เคยจับ และยังคงเป็นหนึ่งของอังกฤษ และโลกของอาชญากรที่น่าอับอายที่สุด
แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
ที่รู้จักกันสำหรับการฆาตกรรมสยองจาก 7 สิงหาคม 10 กันยายนในปี 1888 , " แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ " ซึ่งเป็นชื่อสำหรับฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อน ที่ยังไม่เคยระบุยังคงเป็นหนึ่งของอังกฤษ และโลกของอาชญากรที่น่าอับอายที่สุด
ผู้ร้ายรับผิดชอบการตายของห้าโสเภณีทั้งหมด เกิดขึ้นในรัศมีหนึ่งไมล์ของแต่ละอื่น ๆและที่เกี่ยวข้องกับเขตไวท์ชาเพล spitalfields aldgate , และเมืองของลอนดอนในลอนดอนตะวันออกในฤดูใบไม้ร่วงของ 1 ไม่เคยถูกจับได้แล้ว แม้จะมีการอ้างหลักฐานแน่นหนานับไม่ถ้วนของตัวตนโหดร้าย ฆาตกรที่ฆ่า ชื่อของเขาคือ ยังแจ้งให้ทราบ ชื่อเล่นว่า " แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ " มาจากจดหมายที่เขียนโดยคนที่อ้างตัวว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง , ตีพิมพ์ในเวลาของการโจมตี
เพิ่มความลึกลับของเรื่องก็คือ ตัวอักษรหลายส่งนักฆ่าไปลอนดอนตำรวจนครบาลบริการ เรียกว่านามสกอตแลนด์ ยั่วยุเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับกิจกรรมที่น่ากลัวของเขาและคาดเดาเกี่ยวกับการฆาตกรรมมา ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับแจ็คของริปเปอร์ตัวจริงได้ถูกผลิตในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องกล่าวหาจิตรกรวิคตอเรียที่มีชื่อเสียง วอลเตอร์ ซีเกิร์ต , แรงงานโปแลนด์และแม้แต่หลานชายของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ตั้งแต่กว่า 100 คนได้รับการตั้งชื่อ ให้เกิดความเชื่ออย่างกว้างขวางและปอบความบันเทิงรอบลึกลับ
ในปลาย 1800 , ลอนดอนตะวันออกเป็นสถานที่ที่ถูกมองจากประชาชนด้วยเมตตา หรือ การหมิ่นประมาท แม้จะเป็นพื้นที่ที่ผู้อพยพที่มีทักษะ ส่วนใหญ่เป็นชาวยิวและชาวรัสเซีย มาเริ่มต้นธุรกิจและเริ่มชีวิตใหม่ ต. เป็นฉาวโฉ่สำหรับความสกปรก , ความรุนแรง และอาชญากรรม การค้าประเวณีเป็นเพียงผิดกฎหมายถ้าปฏิบัติเกิดความวุ่นวายต่อสาธารณะ และพันซ่องและต่ำ เช่าที่พักบ้านให้บริการทางเพศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
ตอนนั้น ตาย หรือ ฆาตกรรม สาวทำงานรายงานไม่ค่อยในกดหรือกล่าวถึงในสังคมสุภาพ ความจริงที่ " ผู้หญิงกลางคืน " อยู่ภายใต้การโจมตีทางกายภาพ ซึ่งบางครั้งส่งผลให้เกิดการตาย ในหมู่เหล่านี้โดยทั่วไปอาชญากรรมรุนแรง คือการโจมตีภาษาอังกฤษโสเภณี Emma Smith ที่ถูกทำร้ายและข่มขืนกับวัตถุโดยสี่คน สมิธ ซึ่งต่อมาเสียชีวิตของเยื่อบุช่องท้องอักเสบเป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในเหยื่อผู้โชคร้ายมากมาย หญิงถูกฆ่าโดยแก๊งเรียกร้องเงินคุ้มครอง
แต่ชุดของการฆาตกรรมที่เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 1 ยืนออกจากอาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆของเวลาที่พวกเขาทำเครื่องหมายโดย sadistic การสังหารหมู่แนะนำจิตใจมากขึ้นต่อต้านสังคม และน่าเกลียดกว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าใจ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ไม่ได้ออกรสชาติชีวิตด้วยมีด เขาเสียหายและอับอาย ผู้หญิง และ อาชญากรรมของเขาดูเหมือนจะร่วม abhorrance สำหรับเพศหญิงทั้งหมด
เมื่อแจ็คของริปเปอร์ฆาตกรก็หยุดลง ในฤดูใบไม้ร่วงของ 1 , ประชาชนลอนดอนต้องการคำตอบว่า จะไม่เข้ามามากขึ้นกว่าศตวรรษต่อมา ส่วนกรณีอย่างต่อเนื่องซึ่งมี spawned อุตสาหกรรมหนังสือ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ได้พบกับจำนวนของปัญหาอุปสรรค รวมทั้งขาดหลักฐาน ขอบเขตของข้อมูลที่ผิดและเท็จ และแน่นข้อบังคับโดยหลา สกอตแลนด์ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ได้หัวข้อข่าวมานานกว่า 120 ปี และอาจจะยังคงเป็นมานานหลายทศวรรษที่จะมา
ใน ปี ล่าสุด
เมื่อเร็วๆ นี้ ใน 2011 , อังกฤษ นักสืบ เทรเวอร์แมริออทที่ได้รับการตรวจสอบแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ฆาตกร ทำให้พาดหัวเมื่อเขาถูกปฏิเสธการเข้าถึงเอกสาร Uncensored แวดล้อมกรณี โดยตำรวจนครบาล ตามโครงการ ABC ข่าวตำรวจกรุงลอนดอนได้ปฏิเสธที่จะให้ในไฟล์เพราะพวกเขารวมถึงการป้องกันข้อมูลจากตำรวจ และมอบเอกสารที่อาจขัดขวางความเป็นไปได้ในอนาคตของพยาน โดยปัจจุบันข้อมูล
ในปี 2014 , รัสเซลล์เอ็ดเวิร์ด นักเขียนและนักสืบสมัครเล่น อ้างว่า เขาได้พิสูจน์ตัวตนของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ โดยผลตรวจดีเอ็นเอที่ได้จากผ้าคลุมไหล่เป็นของหนึ่งในเหยื่อ แคทเธอรีน eddowes . รายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่เอ็ดเวิร์ดยืนยันพวกเขาจุดที่อาโรน kosminkski , ผู้อพยพชาวโปแลนด์และหนึ่งใน grisley ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม
เจ้าชายลีเมียงบอคมีพระประสูติกาลเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2395 ทรงกำเนิดมาอย่างเจ้าชายปลายแถวที่ไม่มีหวังจะได้ครองราชย์เพราะราชบัลลังก์ในตอนนั้นอยู่ในกำมือของพระเจ้าซอลจง ซึ่งเป็นเจ้านายต่างตระกูลกับพระองค์
แต่ในช่วงที่ทรงพระเยาว์นั้น พระเจ้าซอลจงก็สวรรคตลงโดยไม่มีรัชทายาท ราชบัลลังก์แห่งโชซอนจึงกลายเป็นเนื้อชิ้นงามที่ใูงแร้งในคราบเชื้อพระวงศ์หมายมั่นจะรุมทึ้ง โดยมีเจ้าชายลีแฮอง พระบิดาของเจ้าชายลีเมียงบอคเป็นหัวหอกใหญ่ในการชิงอำนาจ และเมื่อกรุยทางไปสู่บัลลังก์โดยใช้เลือดของฝ่ายตรงข้ามเป็นเครื่องสังเวยเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายลีแฮองก็ทรงตั้งโอรสของตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ หรืออาจจะเรียกว่าหุ่นเชิดก็ยังได้ โดยมีพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการที่กุมบังเหียนอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่เถลิงราชสมบัติ เจ้าชายลีเมียงบอคก็เปลี่ยนพระนามเป็นกษัตริย์โกจง ส่วนเจ้าชายลีแฮองพระบิดา ได้รับพระยศใหม่เป็นองค์ชายแดวังกุน
ปกติยุวกษัตริย์จะต้องถูกกวดขันให้เรียนรู้วิชาการปกครองทุกๆ ด้าน เพื่อเตรียมรับภาระสำคัญในวันข้างหน้า แต่ชีวิตในวัยเยาว์ของพระเจ้าโกจง ทรงถูกสั่งสอนให้เอาแต่เล่น การศึกษาก็ได้รับเพียงงูๆ ปลาๆ ไม่มากไปกว่าลูกขุนนางทั่วไป เพื่อไม่ให้ปีกกล้าขาแข็งลุกขึ้นมาต่อกรกับพระบิดาได้ พระเจ้าโกจงจึงเติบโตขึ้นมาแบบหนุ่มน้อยรักสนุกคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อทรงเจริญชันษาได้ 15 ชันษา ก็ถึงเวลาที่พระเจ้าโกจงจะต้องมีมเหสีเสียที แน่นอนว่าองค์ชายแดวังกุนจะต้องกุลีกุจอมาจัดหาลูกสะใภ้ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกชายได้เมียหัวแข็งที่อาจจะงัดข้อกับพ่อผัวในวันข้างหน้า ผู้หญิงที่ทรงมองว่าเหมาะที่สุดเป็นสาวน้อยจากตระกูลมิน ชื่อว่าคุณหนูมินจายอง
เหตุผลที่องค์ชายแดวังกุนทรงเลือกคุณหนูคนนี้มาเป็นสะใภ้เจ้า คนนอกอย่างเราอาจฟังเป็นเรื่องตลก แต่มันช่างเป็นตลกร้ายสำหรับประชาชนเกาหลีตาดำๆ เสียนี่กระไร เพราะมันไม่ได้มาจากความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม หรือคุณสมบัติโดดเด่นกว่าผู้หญิงบ้านไหนเลย เหตุผลมีอยู่ข้อเดียวก็คือคุณหนูมินเธอเป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อแม่กับใครเขา จึงน่าจะปกครองง่ายกว่าคุณหนูจากครอบครัวใหญ่ที่มีพ่อแม่พี่น้องอยู่ครบเท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่องค์ชายแดวังกุนมองข้ามไปก็คือภายใต้ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานแบบลูกผู้ดีนั้น มอนจายองเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยว เป็นตัวของตัวเอง และเป็นศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่าสตรีทุกนางที่องค์ชายแดวังกุนเคยพบมา
20 มีนาคม 2409 พระเจ้าโกจงทรงอภิเษกกับมินจายอง และสถาปนาเธอขึ้นเป็นพระนางมิน ราชินีคู่บัลลังก์ เวลานัเนตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ของไทยเราพอดี
ชีวิตข้าวใหม่ปลามันของกษัตริย์หนุ่มกับราชินีสาวเริ่มต้นอย่างศรศิลป์ไม่ค่อยจะกินกันนัก เพราะนิสัยใจคอที่ต่างกันสุดขั้ว ขณะที่พระเจ้าโกจงทรงเป็นหนุ่มรักสนุก เอาแต่สำเริงสำราญอยู่กับงานเลี้ยงฟุ่มเฟือยไม่เว้นแต่ละวัน ราชินีมินกลับเป็นผู้หญิงเจ้าปัญญา ทรงรักการอ่านตำราการปกครอง ชอบแลกเปลี่ยนความเห็นกับนักปราชญ์ราชบัณฑิต การทำตัวเหลวไหลไร้สาระของพระสวามีจึงไม่ถูกพระทัยราชินีสาวเอาเสียเลย จงทรงแอบตรัสกับเพื่อนๆ ว่า "เขาทำให้ฉันขยะแขยงมาก"
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว คนฟังก็คงจะเห็นภาพแล้วว่าชีวิตฉันสามีภรรยาของพระเจ้าโกจงกับราชินีมินจะหวานชื่นขนาดไหน
แต่ความรักมีวิธีของมันเองที่จะทำให้คนสองคนที่แม้แต่หน้ายังไม่อยากจะมอง กลับร้อยดวงใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สำหรับพระเจ้าโกจงกับราชินีมิน วิธีนั้นมาในรูปของเกมการเมือง
จากเด็กหนุ่มรุ่นกระทงที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย พระเจ้าโกจงทรงเริ่มเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มเต็มตัว พร้อมๆ กับที่เกาหลีต้องเผชิญหน้ากับความละโมบของมหาอำนาจเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น ซึ่งจ้องจะฮุบประเทศนี้ตาเป็นมันมาหลายทศวรรษแล้ว แม้แต่ข้าราชการระดับสูงของเกาหลีก็ยังเอาใจออกห่างไปประจบประแจงญี่ปุ่นกันอย่างออกหน้าออกตา ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็เริ่มขยายอิทธพลเข้ามาในคาบสมุทรเกาหลีด้วย แต่เมื่อไรที่เกิดกรณีพิพาทกันขึ้น องค์ชายแดวังกุนผู้สำเร็จราชการก็มักจะจัดการปราบปรามชาวตะวันตกด้วยความรุนแรง จนมีการนองเลือดกันอยู่บ่อยครั้ง นโยบายทางการเมืองแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่านี้สวนทางกับแนวความคิดของราชินีมินอย่างแรง พระนางจึงเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาททางการเมืองขึ้นทีละน้อยๆ
มันสมองของพระมเหสีกลับกลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าโกจงทรงปรารถนาอย่างที่สุด เพราะทรงเริ่มเห็นแล้วว่าถ้ายังขืนบริหารประเทศตามแบบของพระบิดา ไม่นานแผ่นดินนี้จะต้องล่มจมอย่างแน่นอน กษัตริย์หนุ่มจึงเริ่มหันไปพึ่งราชินีสาวขึ้นเรื่อยๆ ฐานะของราชินีมินในตอนนี้จึงเปลี่ยนจากสะใภ้หัวอ่อนไปเป็นหนามแทงใจพ่อผัวอย่างองค์ชายแดวังกุนไปเสียแล้ว
และในที่สุดวันที่องค์ชายแดวังกุนไม่อยากให้มาถึงก็เกิดขึ้นจนได้นั่นคือวันที่ราชินีมินทรงร่วมมือกับพระประยูรญาติบังคับให้องค์ชายแดวังกุนลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการโดยอ้างว่าพระเจ้าโกจงทรงเจริญชันษามากพอจะครองบัลลังก์ได้ด้วยพระองค์เองแล้ว จากนั้นก็เนรเทศองค์ชายแดวังกุนไปอยู่นอกเขตพระราชฐาน ไม่ให้มีสิทธิมีเสียงในทางการเมืองได้อีก
กำจัดพ่อผัวตัวร้ายไปได้แล้ว ราชินีมินก็ยังต้องเป็นเสาหลักให้พระสวามีบริหารบ้านเมืองและต่อกรกับพิษภัยจากญี่ปุ่นต่อไป ราชินีมินช่วยให้พระสวามีรอดพ้นจากการถูกลอบสังหารโดยกลุ่มอำนาจเก่าหลายครั้ง จนทรงกลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพระสวามี พร้อมๆ กับที่ความรักความผูกพันก็ก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองพระองค์ ถึงขนาดที่ทรงเป็นเงาของกันและกัน เห็นคนหนึ่งก็ต้องเห็นอีกคนด้วยเสมอ...สองปีต่อมาราชินีมินก็มีพระประสูติกาลองค์ชายซุนจง พยานรักและรัชทายาทแห่งโชซอน
มันสมองอันฉลาดล้ำของราชินีมิน ทำให้ทรงกลายเป็นก้างชิ้นโตสำหรับญี่ปุ่นที่มุ่งมั่นจะครอบครองเกาหลีให้ได้ ประกอบกับการที่ทรงนำวิทยาการตะวันตกหลายอย่างเข้ามาใช้ในประเทศ จนขุนนางหัวเก่าหลายคนต้องสูญเสียอำนาจที่เคยมี ทำให้เกิดการวางแผนกำจัดราชินีมินขึ้นอย่างลับๆ โดยมีองค์ชายแดวังกุนพ่อผัวที่ยังรอวันชำระแค้นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดตัวสำคัญ
องค์ชายแดวังกุนทรงลอบขอความช่วยเหลือจากกองทัพญี่ปุ่น จนมั่นใจว่าจะสามารถกลับมากุมบังเหียนอำนาจในเกาหลีได้เหมือนเก่า จากนั้นแผนการลอบปลงพระชนม์ราชินีมินก็ถูกกำหนดขึ้น!
เช้าตรู่วันที่ 8 ตุลาคม 2438 หน่วยลอบสังหารกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในที่ประทับของราชินีมิน จัดการฆ่าทุกชีวิตที่อยู่ในพระตำหนักจนไม่เหลือหรอ และหนึ่งในนั้นก็มีราชินีมิน ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของพระเจ้าโกจงรวมด้วย!!
หลังจากสูญเสียพระมเหสีผู้เป็นมันสมองไป พระเจ้าโกจงก็เหมือนนกปีกหัก ทรงถูกลิดรอนอำนาจจนสิ้นและถูกบีบให้สละาชบัลลังก์ด้วยน้ำมือขององค์ชายแดวังกุน พระบิดาของพระองค์เอง แต่ก่อนจะหมดอำนาจ พระเจ้าโกจงทรงฮึดสู้พระบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อองค์ชายแดวังกุนสั่งให้ทรงถอดถอนราชินีมินผู้วายชนม์ลงมาเป็นสามัญชน พระเจ้าโกจงทรงตรัสใส่หน้าพระบิดาว่า
"ลูกยอมเชือดข้อมือตัวเองเสียยังดีกว่าที่จะลดศักดิ์ศรีของสตรีที่พยายามปกป้องประเทศนี้เอาไว้"
เพราะความเข้มแข็งเฮือกสุดท้ายของพระสวามี ราชินีมินจึงยังคงเป็นราชินีในบันทึกราชวงศ์เกาหลีมาจนถึงทุกวันนี้
อัลเบิร์ตไอน์สไตน์สุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล
อัลเบิร์ตไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในศตวรรษที่ 20 เขาเป็นคนคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพที่เป็นที่มาของการสร้างระเบิดปรมาณูที่มีอานุภาพร้ายแรงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐอเมริกานำไปโจมตีที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมพ.ศ 2488 มีคนเสียชีวิตไปประมาณ 140000 คน และเมืองนางาซากิวันที่ 9 สิงหาคมพ.ศ 2488 มีคนเสียชีวิตประมาณ 80000 คน ในที่สุดประเทศญี่ปุ่นก็ต้องยอมแพ้ต่อกองทัพของพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมพ.ศ 2488
เมื่อปีพ.ศ 2482 เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์ ยูเกน พอลวิกเนอร์ และ ลีโอ ซีลาร์ค ชาวฮังกาเรียนที่ทำงานเกี่ยวกับนิวเคลียร์ฟิสิกส์ ทั้ง 3 คนหลบหนีจากเยอรมนีมาอยู่อเมริกา และได้มาพบกับไอน์สไตน์ให้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสเวลท์ให้ทราบว่า มีความเป็นไปได้ที่ประเทศเยอรมนีจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ซึ่งจะเป็นภัยร้ายแรงมากแต่เรื่องก็เงียบหายไป
ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคมพ. ศ. 2484 ที่เพิร์ลฮาเบอร์ฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ฮาวายถูกกองทัพญี่ปุ่นโจมตีทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทันทีและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติโครงการแมนฮัตตันเพื่อผลิตระเบิดนิวเคลียร์ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ได้นำระเบิดนิวเคลียร์ไปโจมตีที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิจนประเทศญี่ปุ่น ประกาศยอมแพ้ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เมื่อไอสไตน์ทราบข่าวความสูญเสียชีวิตผู้คนและอาคารบ้านเรือนที่ถูกทำลายอย่างย่อยยับจากพิษสงของระเบิดนิวเคลียร์ ที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิ เขาเสียใจมากและได้กล่าวกับผู้คนในตอนหลังว่า
"หากทราบว่าประเทศเยอรมนีไม่สามารถระเบิดนิวเคลียร์ได้ เขาจะไม่ลงนามในจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสเวลท์ให้อนุมัติโครงการแมนฮัตตันอย่างแน่นอน"
หลังจากนั้นเป็นต้นมาไอสไตน์ได้ร่วมรณรงค์คัดค้าน ต่อต้านสงครามเรื่อยมา และมีคำพูดของเขาที่ถือเป็นคำคมที่มีผู้ยกไปอ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่น
"ข้าพเจ้าขอเรียกร้องต่อหญิงชายทั้งหลายไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตามขอให้ท่านประกาศว่าท่านจะไม่เป็นผู้ให้การช่วยเหลือใดๆแก่การสงครามหรือเตรียมการให้เกิดสงคราม ในความเชื่อของข้าพเจ้าการนำสันติภาพมาสู่โลกบนพื้นฐานความเป็นอยู่ของชนชาติต่างๆก็โดยการนำวิธีการของมหาตมะคานธีคือการสู้โดยสงบ สันติ อหิงสา มาใช้อย่างกว้างขวาง ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าถ้าหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษย์จะใช้อาวุธอะไรประหัตประหารกันรู้แต่เพียงว่าหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 "
ไอสไตน์คงคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 นั้นมนุษย์จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ประหัตประหารกันย่อยยับจนไม่มีอาวุธอะไรเหลืออยู่เลยเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 จึงเหลือแต่ก้อนหินและกระบองไม้เป็นอาวุธ
"สันติภาพไม่สามารถรักษาไว้ได้โดยใช้กำลังแต่การรักษาสันติภาพจะสามารถบรรลุได้ด้วยการทำความเข้าใจกัน"
เมื่อปี 2483 ไอสไตน์ได้เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาและได้รับคำเชิญเป็นศาสดาอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยปริ๊นซ์ตันรัฐนิวเจอร์ซีย์ไอน์สไตน์กล่าวสุนทรพจน์ในการบรรยายหลายแห่งว่า
" ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเลิศแต่อย่างไรแต่ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความกระหายอยากรู้อยู่เสมอมีความพากเพียรในการค้นหาสิ่งที่อยากรู้อย่างอดทนรวมทั้งวิจารณ์ตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยนำมาซึ่งความคิดของข้าพเจ้า"
คำพูดดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าไอน์สไตน์เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ที่มีความกระหายในความอยากรู้และค้นหาความรู้นอกจากนี้เขาได้ให้หลักในการสอนซึ่งครูอาจารย์น่าจะนำไปเป็นแบบอย่างในการสอนนักเรียน
" ผมไม่เคยสอนลูกศิษย์ของผมผมเป็นแต่เพียงผู้พยายามเต็มเงื่อนไขภาวะแวดล้อมให้เขาได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองเท่านั้น"
และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ให้ความสำคัญต่อการจินตนาการมาก ทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เขาคิดได้สำเร็จมาจากการจินตนาการทั้งนั้น เข้าได้ย้ำว่า จินตนาการมีความสำคัญมากกว่าความรู้
อัลเบิร์ต ไอสไตน์นั้นเคยแต่งงาน 3 ครั้งภรรยาคนแรกชื่อว่าคอช ซึ่งเป็นสาวใช้ในบ้าน ภรรยาคนที่ 2 ชื่อ มิเลว่า มาริค เธอมีลูกกับไอสไตล์ 2 คน ตอบมาได้หย่าขาดจากไอสไตล์และไอน์สไตน์ได้แต่งงานใหม่กับ เอลซ่า โรเวนธัล ซึ่งได้อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต
เกี่ยวกับเรื่องความรักนั้นไอสไตน์ได้กล่าวเปรียบเปยเป็นคำคมที่มีผู้นำไปกล่าวอ้างอิงโดยนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์กับความรัก อย่างเช่น
แรงโน้มถ่วงของโลกไม่รับผิดชอบในการที่บุคคลจะตกหลุมรักกัน
วางมือบนเตาไฟ 1 นาทีมันช่างยาวนานเหมือน 1 ชั่วโมงแต่ถ้านั่งคุยกับสาวงาม 1 ชั่วโมงเวลามันช่างหมดไปเร็วเหมือนเวลา 1 นาทีนี่แหละหลักสัมพัทธภาพ
มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าวันหนึ่งมาริลินมอนโร ดาราสาวเซ็กซี่สตาร์ของ Hollywood ได้พบกับไอน์สไตน์เธอจึงได้พูดสัพยอกทีเล่นทีจริงกับไอสไตน์ว่า
"ท่านศาสตราจารย์ท่านว่าไหมหากเราได้แต่งงานกันลูกชายที่เกิดมาคงจะมีใบหน้าเหมือนกับฉันและมีความเฉลียวฉลาดเหมือนกับท่าน"
ไอสไตน์ได้ฟังก็หัวเราะหึหึพร้อมกับตอบสวนกลับไปว่า
"ผมกลัวว่ามันจะตรงกันข้าม เกรงว่าเด็กคนนั้นจะมีใบหน้าเหมือนผมแต่โง่เหมือนคุณนะสิ"
คำตอบดังกล่าวทำเอามาริลีนมอนโรอายม้วนไปเลยทีเดียว
ปกติอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นคนอารมณ์เย็นสุภาพไม่มักใหญ่ใฝ่สูงไม่ยึดถือชื่อเสียงเงินทองและมีอารมณ์ขันอยู่เสมอเมื่อคราวที่อาศัยอยู่ในเยอรมันนีเป็นช่วงที่คิดเริ่มมีอำนาจ ไอสไตน์ถูกหมายหัวว่าเป็นศัตรูต่อประเทศเยอรมนีและทางการเยอรมนีได้ตั้งค่าหัวไอสไตน์ไว้ $5000 มีนักข่าวคนหนึ่งได้ถามไอน์สไตน์ว่า
รู้ไหมว่ารัฐบาลเยอรมันตั้งรางวัลค่าหัวท่านไว้ถึง 5000 ดอลลาร์สหรัฐ
ไอสไตน์ยิ้มและตอบว่า
ค่าหัวของผมแพงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
คนบางคนอาจจะเคยสงสัยว่าเคยเห็นภาพถ่ายของอัลเบิร์ต ไอสไตน์แลบลิ้นปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ทราบว่าทำไมไอสไตน์จึงทำเช่นนั้น
คำตอบก็คือไอสไตน์เป็นคนมีอารมณ์ขันเขาขี้เล่นและเป็นกันเองกับสื่อมวลชน ทราบว่าตอนนั้นมีนักหนังสือพิมพ์หลายคนไปสัมภาษณ์และขอถ่ายรูปและขอให้ยิ้มเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม ไอสไตน์นึกสนุกขึ้นมาจึงแลบลิ้นให้สื่อมวลชนถ่ายภาพเสียเลย สิ่งที่ยืนยันว่าไอสไตน์เป็นผู้ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ก็คือเมื่อปีพ.ศ 2495 เดวิด เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรีแห่งอิสราเอลได้เสนอให้ไอสไตน์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอิสราเอลต่อจากประธานาธิบดีไซม์ ไวซ์แมน ประธานาธิบดีคนแรกที่เสียชีวิต แต่ไอสไตน์ก็ปฏิเสธ โดยกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าได้จากประเทศอิสราเอลมาเป็นเวลานานข้าพเจ้ามีความละอายและมีความเสียใจที่จะบอกว่าข้าพเจ้าไม่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้เพราะข้าพเจ้าไม่มีความสามารถในการบริหารการปกครองและไม่มีประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์"
อัลเบิร์ต ไอสไตน์นั้นเกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคมพ. ศ. 2422 ที่เมืองอูล์มในเวือเทมเบิร์ก (Wurttemberg) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี และ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายนพ. ศ. 2498 ที่โรงพยาบาลพรินซ์ตันรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา รวมอายุได้ 76 ปี
อัลเบิร์ต ไอสไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เรื่องทฤษฎีการแผ่รังสีในปีพ. ศ. 2464
ด้วยความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์เมื่อปีพ.ศ 2542 นิตยสารไทม์ได้ยกย่องว่าไอน์สไตน์เป็นบุคคลแห่งศตวรรษ
และกัลลัพ โพล ได้บันทึกว่า
เขาเป็นบุคคลผู้ได้รับการยกย่องสูงสุดอันดับที่ 4 แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลสูงในประวัติศาสตร์ไอน์สไตน์นั้นได้รับยกย่องให้เป็น นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล