google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

ตำนานผีแม่ชี

ตำนานผีแม่ชี


ผีแม่ชีบอกเราถึงตำนานเมืองแห่งความสยดสยองที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในยุคอาณานิคมของเม็กซิโก แต่ที่ยังคงมีผลบังคับใช้เพราะเหตุการณ์ที่บรรยายนำเสนอส่วนผสมของข้อมูลจริงและเท็จที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของใคร อ่านหรือฟังและสนับสนุนการแบ่งปัน

นอกจากนี้เรายังสามารถพูดได้ว่าความถูกต้องและความสนใจของสาธารณชนได้รับการเก็บรักษาไว้เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าโครงเรื่องได้รับการถ่ายทอดโดยประเพณีปากเปล่าที่มีอยู่ในเมืองเพิ่มรายละเอียดที่น่าสนใจและอยากรู้อยากเห็นซึ่งอนุญาตให้มีชัยเหนือเวลา มากจนเป็นส่วนหนึ่งของนิทานพื้นบ้านของเม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ในตำนานอียิปต์ เราพบโครงเรื่องที่คล้ายกัน

ตำนานผีแม่ชีนี้บอกเราว่าเมื่อศตวรรษที่สิบหกผ่านไปในนิวสเปนซึ่งเป็นชื่อที่รับบัพติสมาของภูมิภาคที่เม็กซิโกซิตี้ในเวลาต่อมา พี่น้องอาบีลาสามคนอาศัยอยู่ในสหภาพครอบครัวที่กลมกลืนกัน

เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Alfonso, Gil และMaría Ávila ซึ่งอาศัยอยู่เฉพาะที่จุดตัดของถนนในอาร์เจนตินาและกัวเตมาลาดังที่ทราบกันในปัจจุบัน ในใจกลางศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก ซึ่งอย่างที่เราทราบคือจุดเริ่มต้น การพัฒนาเมืองหลวงของเม็กซิโก

พวกเขาอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวที่มั่งคั่งในสมัยนั้นซึ่งบอกเป็นนัยว่าตนมีฐานะทางสังคมที่ดีและมีศักดิ์ศรีฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงมีทรัพยากรทางการเงินที่ดีและบางคนกล่าวว่าพวกเขามีอิทธิพลในหน่วยงานของรัฐบางแห่งที่พวกเขาให้สิทธิพิเศษ กับเขาในธุรกรรมคี่

นอกจากนี้ยังสามารถเสริมด้วยว่าเนื่องจากตำแหน่งทางสังคมนี้พวกเขาโดยทั่วไปไม่เกี่ยวข้องกับคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันซึ่งบางทีอาจจะพูดเพียงเพื่ออวด ตำนานเซลติก บอกเฟรมนอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม

Alfonso และ Gil ต่างอายุมากกว่า María ดูแลเอาใจใส่และให้การศึกษาและพยายามสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับเธอด้วยการแต่งงานกับผู้ชายที่สามารถดูแลเธอให้อยู่ในสภาพเดิมหรือดีกว่าที่พวกเขาได้จัดเตรียมไว้สำหรับเธอ

มาเรียเป็นหญิงสาวที่สง่างาม อ่อนหวาน และมีมารยาทดี ซึ่งทุกคนรอบตัวเธอรู้จัก แต่เธอก็ดูไร้เดียงสามากในแง่ของบุคลิกลักษณะ และเธอเชื่อใจทุกคนที่เข้าหาเธอมากเกินไป แน่นอนว่าสิ่งนี้นำสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจมาให้เธอ แต่ด้วยสาระสำคัญของเธอ เธอจึงมอบความไว้วางใจให้กับคนที่ต้องการเธอเสมอ

ความโลภ

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมของครอบครัว ลูกครึ่งที่ถ่อมตัวซึ่งมีนามสกุลว่าอูร์รูเตียซึ่งมีต้นกำเนิดที่ไม่แน่นอนอยู่ที่บริการของพวกเขา ซึ่งทำหน้าที่เป็นลูกจ้างของอาบีลา ให้ยืมงานของพวกเขาทั้งที่บ้านและในงานมอบหมายที่เขาต้องทำ เมือง. เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมากเกินไป ต้องการทำกำไรด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อยเสมอ

Urrutia เห็นว่า María เป็นทายาทที่น่าพึงใจและโตพอที่จะมีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น เนื่องจากมาเรียเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่มีประสบการณ์ ลูกครึ่งที่สนใจจึงพยายามสร้างความประทับใจให้เธอและเริ่มแกล้งทำเป็นว่าเธอ แสวงหาโชคลาภและเชื้อสายซึ่งเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่สุดของเขา โดยต้องแลกกับชีวิตสมรสกับหญิงสาวผู้มีชื่อเสียง

มาเรียไม่ค่อยมีประสบการณ์ในศิลปะแห่งความรักเหล่านั้นหลังจากที่ Urrutia ตกหลุมรักเธอเขาเสนอให้เธอซึ่งเธอยอมรับในทันทีขณะที่เธอตกหลุมรักอย่างสุดซึ้งและเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อความรักของเธอ

โครงการที่ Urrutia พิจารณาร่วมกับ María กำลังดำเนินไปด้วยดี และเขาหวังเพียงว่าจะแต่งงานกับเธอเพื่อที่โชคลาภของเขาจะตกไปอยู่ในมือของเขา

อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเมื่อเขาอยู่ในโรงเตี๊ยมที่เขาไปกับเพื่อน ๆ เสมอ หลังจากดื่มไปนิดหน่อย เขาเริ่มสันนิษฐานว่าเขามีมาเรียอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และด้วยเหตุนี้ ในไม่ช้าเขาก็จะเป็นคนมั่งคั่งมาก นอกจากนี้ เขายังกล้าเยาะเย้ยเธอด้วยการตะโกนว่าเธอเป็นคนโง่ที่ไร้เดียงสา ซึ่งสามารถถูกหลอกได้ง่ายและยังคงสนุกกับชีวิต ผู้หญิง และความรื่นเริงต่อไป

การเยาะเย้ยดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งภูมิภาคและได้รับความสนใจจากอัลฟองโซและกิล พี่น้องของมาเรียผู้ซึ่งอารมณ์เสียอย่างมากพร้อมที่จะคัดค้านเรื่องนี้

พวกเขาต่อต้านเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ดังกล่าวอย่างรุนแรงและมาเรียยังคงเกี่ยวข้องกับเออร์รูเทียซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดการถกเถียงกันความขัดแย้งและความขัดแย้งระหว่างพี่น้องซึ่งทำให้มาเรียต้องแยกตัวออกจากพวกเขา

Alfonso และ Gil พยายามหาหนทางที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อที่ María และ Urrutia จะไม่ได้พบกันอีกและหลีกเลี่ยงการแต่งงาน ดังนั้นในตอนแรกพวกเขาจึงไล่ลูกครึ่งที่เย่อหยิ่งออกทันทีจากนั้นพวกเขาก็บ่นและดูถูกเขาที่ไม่เคารพน้องสาวของเขาและในที่สุดพวกเขาก็ห้ามไม่ให้เขาเห็นเธอซึ่งทำให้ชายคนนั้นมีพระคุณมากเพราะเขาอวดว่าเธอรัก เขาคลั่งไคล้ที่เขาควบคุมเธอและในไม่ช้าเขาจะเป็นหนึ่งในเจ้าของธุรกิจของพวกเขาทันทีที่พวกเขาแต่งงาน

พี่น้องต้องยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่มาเรียมีความรักอย่างมากและถ้าเธอไม่สามารถให้พี่น้องของเธออนุมัติการหมั้นและงานแต่งงานของเธอได้ เธอก็สามารถทำความโง่เขลาในการวิ่งหนีไปกับอันธพาลคนนั้นได้

กิลเมื่อตระหนักถึงอันตรายที่มาเรียอยู่ในนั้น อยากจะดวลกับลูกครึ่งที่ชั่วร้ายและฆ่าเขา แต่อัลฟองโซได้ก้าวไปข้างหน้าและคิดอยู่แล้วว่าจะกำจัดพวกอันธพาลได้อย่างไร โดยที่พี่ชายของเขาไม่ได้เปื้อนเลือดจากการฆ่าคนร้ายคนนั้น

ระหว่างทั้งสองพวกเขาตกลงที่จะเสนอเงินจำนวนมากให้กับ Urrutia ซึ่งเขาไม่สามารถดูถูกได้ทำให้เป็นเงื่อนไขที่เขาต้องออกจากเมืองไปตลอดกาลเพราะด้วยเงินนั้นเขาสามารถตั้งถิ่นฐานได้ทุกที่และเริ่มต้นธุรกิจที่ดีที่จะช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ กันยาวๆ. อากาศดี

ตอนแรกจอมวายร้ายลูกครึ่งปฏิเสธเพราะมันทำให้แผนการทั้งหมดของเขาเสียไปในการเป็นคนมั่งคั่งอยู่ในระดับสูงและเป็นคนที่มีบรรพบุรุษ แต่ผลรวมที่เสนอโดยพี่น้องนั้นทำให้คนโกงตกลงที่จะออกจากเมือง เมือง และย้ายไปเวรากรูซ

ในลักษณะที่เขาออกจากเมืองโดยไม่ได้ให้เหตุผลหรือคำอธิบายใด ๆ แก่มาเรียซึ่งแน่นอนว่าทำให้เธอตกต่ำอย่างลึกล้ำเอาความแข็งแกร่งและความกล้าหาญของเธอไปทำอะไรก็ตามสภาพที่เธอไม่สามารถกู้คืนได้ เวลาดี เวลาสำหรับความทุกข์ยากใหญ่ที่ครอบงำเธอ

มารีญารอมาสองปีแล้ว โดยไม่ได้รับการสนับสนุนให้อยากเกี่ยวข้องกับใครเลย เธอเพียงแต่คร่ำครวญถึงการขาดความรัก จนพี่น้องของเธอรู้สึกหดหู่ใจเมื่อเห็นเธอแบบนี้ต้องการจะแก้ไขสถานการณ์นั้น

การหลอกลวง

เพื่อช่วยน้องสาวของเธอบรรเทาความเศร้าโศกพวกเขาตัดสินใจว่าเป็นการดีที่สุดสำหรับเธอที่จะเข้าไปใน Old Convent of La Concepción ซึ่งสร้างขึ้นครั้งแรกในเมืองในใจกลางเมืองซึ่งได้รับชื่อเสียงในการรับเป็นสามเณรไปแล้วเท่านั้น ให้กับลูกสาวหรือญาติของผู้พิชิตชาวสเปน

เพื่อโน้มน้าวให้เธอรู้ว่าเธอเข้ามาในคอนแวนต์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกายและอารมณ์และเป็นการดีที่สุดสำหรับเธอที่จะเป็นภิกษุณี พี่น้องหลอกเธอโดยบอกว่าพวกเขาได้เรียนรู้จากแหล่งที่แท้จริงที่ Urrutia มี ตายไปก็เลยไม่คุ้ม รอก่อน เพราะจะไม่ได้ดูอีก

ด้วยเหตุผลนี้ มาเรียจึงตกลงที่จะเข้าไปในคอนแวนต์โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะอาศัยอยู่ที่บ้านต่อ ซึ่งเธอได้อุทิศร่างกายและจิตวิญญาณให้กับพระเจ้าและการอธิษฐาน การแสวงหาการอธิษฐานและการอธิษฐานจะช่วยบรรเทาความเศร้าโศกของเธอ

อย่างไรก็ตาม ในตอนกลางคืนเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอจึงยอมเสียน้ำตาและความทรงจำเกี่ยวกับคนรักของเธอ โดยลืมเรื่องพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง

จนถึงวันที่คนใช้คนหนึ่งของเธอซึ่งมาเอาอาหารมาให้เธอได้รู้ความจริงเกี่ยวกับข้อตกลงสกปรกที่พี่น้องของเธอและเออร์รูเทียทำกัน เขารู้ว่าในขณะนั้นเขาไม่เพียงแต่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังแต่งงานและกลับมายังเมืองเพื่อแบล็กเมล์พี่น้องของเขาเพื่อเรียกร้องเงินจากพวกเขาเพิ่ม เขายังรู้ด้วยว่าข้อตกลงที่วิปริตเกิดขึ้นระหว่างพวกเขากับความรู้สึกต่ำต้อยของลูกครึ่งที่น่าอับอายและการหลอกลวงของพี่น้องของเขา

แต่สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการทรยศต่อคนที่เธอรักมากและไม่เคยตอบแทนอย่างจริงใจ เพราะเธอไม่เคยพยายามค้นหาเธอเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้จบลงด้วยการทำลายหัวใจของมาเรีย ความผิดหวังที่ทำให้เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างยากลำบากและน่ากลัว เนื่องจากความรักของเธอแข็งแกร่งกว่าศาสนา

เมื่อต้องการทำเช่นนี้ เขารอเวลาพลบค่ำ มองหาวงล้อม ไปที่ลานของคอนแวนต์ ใกล้น้ำพุที่มีต้นพีชอยู่ เขาคุกเข่าด้วยไม้กางเขนในมือและอธิษฐานต่อพระเจ้าสักครู่เพื่อขอการอภัยในสิ่งที่เขากำลังจะกระทำ

เขาผูกเชือกไว้รอบคอ ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง ผูกปลายอีกข้างหนึ่งกับกิ่งไม้ ยกย่องตัวเองต่อพระเจ้าอีกครั้ง แล้วหย่อนลงไปในความว่างเปล่า เท้าของเขากระทบขอบน้ำพุอย่างแรง และร่างกายของเขาแกว่งไปมาครู่หนึ่งราวกับลูกตุ้มที่เปราะบางซึ่งเคลื่อนไปตามลม จนกระทั่งมันหยุดนิ่งสนิทและไร้ชีวิตชีวา

มันถูกห้อยลงมาจากต้นไม้ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งในตอนเช้า มันถูกพบโดยภิกษุณีสองคนที่รับผิดชอบในการเก็บน้ำจากน้ำพุเพื่อนำไปที่ครัว พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เห็นจึงออกไปตักเตือนเจ้าอาวาสของคอนแวนต์

พวกเขารีบลดร่างของมาเรีย ซึ่งถูกฝังในช่วงบ่ายวันนั้นในสุสานของคอนแวนต์ในวันเดียวกันนั้น

ลักษณะที่ปรากฏ

หนึ่งเดือนหลังจากการเสียชีวิตของแมรี่ สามเณรคนหนึ่งออกไปที่ลานเพื่อเก็บน้ำ และเมื่อเธอไปถึงน้ำพุ เธอเห็นเงาสะท้อนของแม่ชีที่ห้อยลงมาจากต้นพีชที่แกว่งไกวในสายลม

ตามเรื่องราว สามเณรสามารถชื่นชมที่ดวงตาของเธอโป่งออกมาจากเบ้าตา และยิ่งไปกว่านั้น ลิ้นของเธอห้อยจากปากที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งด้วยริมฝีปากสีขาว

ตั้งแต่นั้นมา วิญญาณของภิกษุณีก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นที่นั่นทุกคืน และหลายครั้งที่ใบหน้าหรือร่างของเธอที่โยกไปมาบนต้นไม้สามารถสะท้อนให้เห็นในน้ำในสระได้ ทุกครั้งที่สามเณรหรือภิกษุณีคนใดคนหนึ่งไปที่นั่น

ด้วยเหตุนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดกลัวและการนินทาในหมู่ภิกษุณี ห้ามมิให้คนใดคนหนึ่งออกจากสวนทันทีที่กลางคืนเริ่มตก จนกว่าน้ำพุและต้นพีชจะถูกลบออก

ตามตำนาน การปรากฏตัวของผีแม่ชีเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี ตามรายงานเหตุการณ์ที่คอนแวนต์เก็บไว้

คืนแล้วคืนเล่า ผีของมาเรีย อาบีลาที่ห้อยจากลูกพีชได้ปรากฏตัวต่อหน้าภิกษุณีแต่ละคน ซึ่งเริ่มเป็นสาเหตุของความตื่นตระหนก และไม่ว่าจะมีคนมาถวายสักการะมากน้อยเพียงใด การสวดอ้อนวอน การจ่ายเงินบำเหน็จรุนแรง และใช้ผ้ากระสอบในหมู่พวกเขา หรือเสื้อคลุมที่ทำด้วยผ้าหยาบมากหรือขนของสัตว์ซึ่งทำให้เกิดอาการคันและเจ็บมากที่ผิวหนัง เป็นการประณามตนเองซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า "ผ้ากระสอบเป่า" เพื่อขอขมานั้นไม่มี ใช้เพื่อขับไล่รูปลักษณ์อันมืดมนของภิกษุณีและย้ายออกจากคอนแวนต์

ตำนานเล่าว่าเนื่องจากมาเรียไม่สามารถทนอยู่ได้โดยปราศจากคนรักและเพราะความผิดหวังในความรักของเธอ ผีของเธอก็เริ่มเร่ร่อนไปทุกคืนเพื่อตามหาเออร์รูเทียและทำให้เขาชดใช้สำหรับการทรยศและความอกหักของเขา

กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ มีคนพูดว่านางได้ฆ่าเขาเสีย เพื่อจะได้มีเขาอยู่กับนางตลอดไป แม้ว่าจะอยู่ในภพหน้าก็ตาม

ตำนานยังรายงานด้วยว่าผีของภิกษุณีต้องการแก้แค้นพี่น้องของเธอที่หลอกลวงซึ่งเธอเป็นวัตถุ เรื่องนี้ได้รับการชี้ให้เห็นแล้วเพราะว่าในเวลาต่อมาโชคร้ายมาถึงพวกเขาเมื่อพวกเขามีส่วนร่วมในการประท้วงที่นำโดย Don Martín Cortés ซึ่งเป็นบุตรชายของผู้พิชิต Hernán Cortés เนื่องจากข้อกล่าวหานี้ พวกเขาจึงถูกคุมขัง พยายาม และถูกตัดสินประหารชีวิต

ดังนั้น ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1566 พี่น้องของเขาจึงถูกเยาะเย้ยถากถาง ทุบตี และถูกตัดศีรษะในเวลาต่อมา นอกจากนี้พวกเขาทำลายบ้านของเขาและที่ดินของเขาถูกหว่านด้วยเกลือตามคำสั่งของราชสำนักเพื่อให้ไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์

5 ฆาตกรต่อเนื่องที่ยังคงลอยนวลอยู่

5 ผีปีศาจที่มาเยือนยามค่ำคืน

เล่าเริ่องสยองขวัญ มันลากขา

เบลล์ กันเนส ฆาตกรหญิงสุดโฉด แม่ม่ายผู้เหี้ยมโหดแห่งอเมริกา

อาชญากรรมดำดิน เอล ชาโป กุซมัน

25 การทรมานสุดโหดในประวัติศาสตร์

อัจฉริยะจอมโฉดมือระเบิดต่อเนื่องยูนาบอมเบอร์

เล่าเรื่องสยองขวัญ นั่งซากหวาดผวา ศพล่อเสือ

รวมตำนานผีนานาชาติและปิศาจทั่วโลก

เล่าเรื่องสยองขวัญ เจอดีตอนธุดงค์

ปริศนาฆาตกรรม ใครฆ่านางงามเด็กแห่งโคโลราโด้

ตำนานผีญี่ปุ่น

เล่าเรื่องสยองขวัญ ตายอย่างไก่

เล่าเรื่องสยองขวัญตอนบ้านร้าง

เล่าเรื่องสยองขวัญ ยายไอ้แผน

เล่าเรื่องสยองขวัญ ผีปอบที่วัดป่า

เล่าเรื่องสยองขวัญ ไม่น่าหยิบมา

เล่าเรื่องสยองขวัญ ปอบ

เล่าเรื่องสยองขวัญ แม่ยายเป็นปอบ

เล่าเรื่องผี ปอบห้องเช่า

เล่าเรื่องผี ยายสาย

เล่าเรื่องผี ยายขึ้นไปทำอะไร

ตำนานผีญี่ปุ่น รวมปีศาจสัตว์

6 ตำนานผีของภาคเหนือ

5 อันดับผีตามความเชื่อของคนอีสาน

10 ตำนานผีอาเซียนประเทศเพื่อนบ้านสุดสยอง

เล่าเรื่องสยองขวัญ สยองกลางทุ่ง

เล่าเรื่องสยองขวัญ คุณแม่เล่าให้ฟัง

เล่าเรื่องสยองขวัญ อยากลองจนเจอดี

เล่าเรื่องสยองขวัญ บ้านเก่า

เล่าเรื่องสยองขวัญ 6 ปีไม่เคยลืม

เล่าเรื่องสยองขวัญ แถวนี้มีเยอะ

เล่าเรื่องสยองขวัญ ร้านเหล้าผี

เล่าเรื่องสยองขวัญ ทำไมไม่บวชให้

เล่าเรื่องสยองขวัญ เพื่อนเล่าให้ฟัง

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องเทพเจ้ากินคน

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องหัวกะโหลกร้องเพลง

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องความแค้นของนักบวชชรา 1

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องความแค้นของนักบวชชรา 2

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องความแเค้นของโอมุชะ

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องบ่อนํ้าของคนตาย

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องผีของหมู่บ้านชิตานิซามอน

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องก้อนหินร้องไห้ยามค่ำคืน

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องวิญญาณของโอมัตสึ

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องต้นสนแขวนวิญญาณ

ตำนานผีญี่ปุ่น เรื่องวิญญาณเลี้ยงลูก

ตำนานผีญี่ปุ่น คาซาเนะ

ตำนานผีญี่ปุ่น บ้านแห่งจาน

ตำนานผีญี่ปุ่น กาซาโดคุโร

ตำนานผีญี่ปุ่น ผีตระกูลเฮอิเคะ

มนุษย์กินคนในตำนาน ซอว์นี่ บีน (Sawney Bean)

10 อันดับฆาตกรต่อเนื่องที่อำมหิตที่สุดในโลก

8 อันดับฆาตกรสุดโหดแห่งสยามเมืองยิ้ม

เล่าเรื่องสยองขวัญ แดนพิศวง

อลิซาเบธ บาโธรี่ เคานท์เตสกระหายเลือด

25 อาหารแปลกจากทั่วโลก

เล่าเรื่องสยองขวัญ สโมสรร้าง

เล่าเรื่องสยองขวัญ แรงงานต่างด้าว

เล่าเรื่องสยองขวัญ สาวชุดดำ

เล่าเรื่องสยองขวัญ วิญญาณอาฆาต

บ้านหลอนแดนนรก

10 สุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญเดอะช็อค

เครื่องทรมานในอดีต

วิวาห์สังหารในอินเดีย ฆาตกรต่อเนื่อง 20 ศพ

เทศกาลตำนานวันปล่อยผี

เล่าเรื่องผี มาเอาแม่ผมไปทำไม

คดีโหดแห่งเขาแอลป์

13 เมืองอาถรรพ์

คดีวิตถาร ครูสาวทำช็อคฆ่าข่มขืนนักเรียนหญิง

ย้อนรอยคดีซีอุยฆ่ากินเครื่องในเด็ก

ไขปริศนาใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์ (Jack The Ripper)

ย้อนรอยคดีพิศวาสฆาตกรรม นวลฉวีและศยามล

10 สถานที่สุดแห่งความสยองขวัญ

10 อันดับฆาตกรเด็ก

ปริศนามรณะตระกูลเคนเนดี้

แคทเธอรีน เฮย์ ต้นตำรับคดีฆ่าหั่นศพ

เดวิด เบอร์โควิทซ์ ฆาตกรต่อเนื่องแห่งนิวยอร์ค

คดีฆาตกรรมในโรงนาสีแดง (Red Barn Murder)

ยโศโฆษาฆาต ฆ่าเพื่อเกียรติยศของครอบครัว

ช็อกไอ้หื่นเปิดปากรับโยนเหยื่อตกรถไฟยังไม่สิ้นลม!

ฆาตกรต่อเนื่อง Gilles De Rais

ฆาตกรต่อเนื่องหญิง อลิซาเบธ บาโธรี่

หมอฆาตกรต่อเนื่อง เอช. เอช. โฮล์มส์

ฆาตกรต่อเนื่อง Jesse Harding Pomeroy

ฆาตกรต่อเนื่อง แจ็คเดอะริปเปอร์

ฆาตกรต่อเนื่อง คาร์ล กรอสมันน์

ฆาตกรต่อเนื่อง Henri Landru

ฆาตกรต่อเนื่อง Albert Fish

ฆาตกรต่อเนื่อง เบล่าคิส

ฆาตกรต่อเนื่อง Fritz Haarmann

ฆาตกรต่อเนื่อง Peter K?rten

ฆาตกรต่อเนื่อง คาร์ล แพนซ์แรม

ฆาตกรต่อเนื่อง Joe Ball

ฆาตกรต่อเนื่อง Marcel Petiot

ฆาตกรต่อเนื่อง John Reginald Halliday Christie

ฆาตกรต่อเนื่อง เอ็ดไกน์

ฆาตกรต่อเนื่อง John George Haigh

ฆาตกรต่อเนื่อง Josef Mengele

ฆาตกรต่อเนื่อง ฮาร์วีย์กลาทแมนเมอร์เรย์

ฆาตกรต่อเนื่อง Albert DeSalvo

ฆาตกรต่อเนื่อง Juan Vallejo Corona

ฆาตกรต่อเนื่อง Charles Manson

ฆาตกรต่อเนื่อง Andrei Chikatilo

ฆาตกรต่อเนื่อง John Wayne Gacy

ฆาตกรต่อเนื่อง Manuel Delgado Villegas

ฆาตกรต่อเนื่อง เดนนิส เรเดอร์ฆาตกร BTK

ฆาตกรต่อเนื่อง Arthur Shawcross

ฆาตกรต่อเนื่อง เดนนิส นิลเซน

ฆาตกรต่อเนื่อง Harold Shipman

ฆาตกรต่อเนื่อง Peter Sutcliffe

ฆาตกรต่อเนื่อง เท็ดบันดี้

ฆาตกรต่อเนื่อง Ottis Elwood Toole

ฆาตกรต่อเนื่อง เปโดร อลอนโซ โลเปซ

ฆาตกรต่อเนื่อง Ed Kemper นักฆ่า Co-ed

ฆาตกรต่อเนื่อง โรเบิร์ตเบอร์เดลลา

ฆาตกรต่อเนื่อง Gary Ridgway

ฆาตกรต่อเนื่อง Richard Chase

ฆาตกรต่อเนื่อง Kenneth Alessio Bianchi

ฆาตกรต่อเนื่อง Donato Bilancia

ฆาตกรต่อเนื่อง David Berkowitz

ฆาตกรต่อเนื่อง Aileen Carol Wuornos

ฆาตกรต่อเนื่อง Javed Iqbal

ฆาตกรต่อเนื่อง Luis Alfredo Garavito

ฆาตกรต่อเนื่อง Jos? Antonio Rodriguez Vega

ฆาตกรต่อเนื่อง โจเอล ริฟกิ้น

ฆาตกรต่อเนื่อง Anatoly Onoprienko

ฆาตกรต่อเนื่อง Richard Ram?rez

ฆาตกรต่อเนื่อง Jeffrey Lionel Dahmer

ฆาตกรต่อเนื่อง Adolfo de Jes?s Constanzo

ฆาตกรต่อเนื่อง Thierry Paulin


Top 10 Scary Bloody Mary Urban Legends


10. Bloody Mary experience
One night at a slumber party, all of the girls dared one of them to go into the bathroom and call out Bloody Mary’s name. The friend accepted this dare but she was also terrified to death. After fifteen minutes had passed, they heard the poor girl scream and she was struggling to open the door. When her friends finally got the door open, the girl in the washroom was whimpering, shaking and crying for help. Her arms were covered in bruises and cuts and even to this day, she apparently refuses to talk about what happened to her in that bathroom.

9. Classic Bloody Mary
Three friends were hanging out on Friday the 13th and they were talking about Urban Legends, especially Bloody Mary. So, they all convinced one another to try the ritual for themselves. The three of them gathered candles, went into a pitch-black bathroom and waited until 2:55am. They chanted bloody Mary 13 times and all of a sudden, they saw a swirl of smoke and a figure of an old woman appear in the mirror. All three girls instantly screamed, turned on the lights and Bloody Mary vanished. But that doesn’t mean that they are safe.

8. Queen Mary the first
The origins of Bloody Mary vary from country to country but the most popular theory is that Queen Mary I is the spirit of Bloody Mary because during her reign as Queen during the Tudor period, she was nicknamed Bloody Mary because she had an unusual amount of miscarriages and she was also very quick to order executions during her five years as Queen of England. In some versions of Bloody Mary, the person is supposed to chant her name three times and then say “I stole your baby” or “I killed your baby.” Which is an awful and pretty harsh was to summon an already aggressive ghost.

7. The mirror cracked pierces
A group of girls at a summer camp thought it would be fun to summon Bloody Mary. Personally, this isn’t my idea of a good time, but that’s just me. So, they ran into a dark bathroom and chanted her name three times. At first, nothing happened so the girls were mocking bloody Mary but then the mirror began to violently crack and all of the girls ran out of the bathroom except for one because she was paralyzed with fear. When she was alone with Bloody Mary in the bathroom, she saw a flash of movement in the mirror as if someone was standing right beside her. Eventually she was able to get up and run for her life. The next morning, they all laughed about the incident but they all vowed to never attempt to summon her ever again.

6. The Japanese version of Bloody Mary
Different regions and cultures have their own versions of Bloody Mary and this is the Urban Legend that is haunting Japan. According to the legend, if someone goes into the third stall of the girl’s washroom on the third floor of a school, then knocks three times and asks “Are you there, Hanako-san?” the spirit will answer, “I am here.” And then if you chose to enter the stall, there will be a small girl wearing a red skirt waiting for you. Some people have claimed that after summoning her, Hanako-san’s bloody hands can be seen from under the door. Some people have even said that if you enter the stall, you will be eaten by a three-headed lizard.

5. Dead silence
Two friends just finished watching a horror movie and one of the friends wanted to scare the other one. So, she took her friend into the bathroom, chanted Bloody Mary three times and waited for her to appear. After a couple of minutes, she was disappointed and decided to turn on the lights when all of a sudden, she saw a third reflection in the mirror. When she looked closer, she saw a black and white woman with her mouth wide open. This sent shivers down their spines because they were expecting this figure to let out a piercing scream. However, this creepy spirt remained silent and she began to lift up her arms. Her hands were drenched in blood and her fingernails have been torn off. Bloody Mary reached for the girls and touched one of their shoulders. The two girls desperately screamed for help, turned on the lights and ran for their lives. Well I guess it’s safe to say that these two are never going to attempt to summon Bloody Mary ever again or use that washroom.

4. Bloody Mary with cuts on her face
During a sleepover, nine-year-old Katie and her friends decided that they wanted to have a little fun so they tried to summon Bloody Mary. They all brought candles into the washroom, turned out the lights and began chanting her name. That’s when they saw an old woman with cuts and scrapes all over her wrinkled face. She also had chains tightly looped around her neck and shoulders. The girls were so frightened that they all began to scream and suddenly the shower curtain burst into flames. They all ran out of the bathroom and her older brother put out the fire. These girls were blamed for the fire but they all know what the truth was that night.

3. The possession
When Amanda was only 12 years old, she attempted to summon Bloody Mary and ever since that night, she believes that Bloody Mary’s spirit opened up a portal that allowed demons and ghosts to enter into her soul. As she grew up, she believed that she was possessed by demons so she became addicted to drugs, she suffered from psychosis and she was even institutionalized for a month. Amanda has even attempted to perform many exorcisms without any success. So now, lots of people believe that if you attempt the Bloody Mary ritual, you are opening up a portal for demonic spirts that can really harm you.

2. The red reflection
Lauren and her friend were driving one night and they started talking about the scariest urban legends. Bloody Mary came up and they thought it would be cool to see if this urban legend was true or not. So they pulled over and went inside of a gas station’s bathroom. They turned off the lights, splashed water on the mirror, spun around and chanted bloody Mary three times. When these girl’s looked into the mirror, they discovered that one of their reflections began to turn red. They kept staring at the reflection for a couple more minutes and then they ran out of the bathroom in fear. Once they were far enough away, they realized that one of the friend’s face was covered in blood and once they cleaned it up, she had tiny scratch marks all over her face.

1. Bloody Mary ritual
This is definitely the worst-case scenario when attempting to summon this evil spirit and although this might just be an urban legend, it’s still enough for me to never want to attempt to summon her spirit. This urban legend focuses around two friends who wanted to provoke Bloody Mary. They summoned her by writing 666 on the mirror with red lipstick, lit some candles and only one of them stayed in the bathroom because they thought that it wouldn’t work if more than one person was inside. After he chanted her cursed name, the candles went out, the door was locked and his friend couldn’t get into the bathroom to save him. After fifteen minutes of trying to break into the bathroom, he finally got in and saw his friend’s lifeless body resting on the sink.

Scary Indian Urban Legends

Today are continuing our world tour of Urban Legends with a highly requested country - India. India has more history than some other countries combined and as always, with history comes stories and some of them are scary. Lets take a look at the Top 10 Scary Indian Urban Legends.

10. The Muhnochwa


In 2002, the Indian state of Uttar Pradesh was gripped by a panicked frenzy. People had reported seeing the Munochwa - a beast thats name roughly translates to The Face Scratcher. It would reportedly dash through the air at night like a UFO, emitting red and green beams of light. When it got close, it would slash their face with steel claws, leaving deep scratches that burnt and bled. As the panic continued, the theories began. Some said it was an angry spirit or an elemental creature. Pakistans intelligence agency even chipped in to suggest it was a chemically engineered insect. Whatever it was, people were so scared they held special ceremonies at their local temples to ward away The Face Scratcher - some believe it may return again.

9. Nale Ba


In the 90s, there were reports of a witch visiting houses in Bangalore India. She would come at night, knocking on the door and calling out to the person inside. Whats creepy is she was said use the voice of one of their relatives, especially their mothers. If they opened their door, theyd be dead within 24 hours. As panic spread, rumours of a solution did too. Some said to write -Nale Ba- on the door. That means -come tomorrow- so the witch would see the sign and return the next day. For many years after, it this became a tradition - a way of warding off evil spirits. Some say that Nale Ba has been forgotten by the younger generation, who have now put themselves at risk of the witch returning again.

8. The Wolves of Pavagada


In 1983, several girls younger than 5 went missing at night in the village of Pavagada. They were taken right under their parents noses but nobody saw who or what did it. On one occasion, villagers found a pool of blood and the clothes of the missing child. The footprints of an animal were visible and the police dogs tracked the sent back to a cave, its entrance blocked by a wall of bricks. The police claimed that man eating wolves were on the prowl. Others were confused though, why would all the targets be girls - all of them the only daughters of their parents. Why were they always taken from their sleeping parents and why were there no drag parks on the ground? One father even reported the wolf threw stones at him. This led some locals to believe the children were actually taken by a cult of black magic practitioners who were using them as human sacrifices to the Goddess Kali. To this day, the case remains a mystery.

7. The Milk Miracle


20 years ago a rumour began spreading around India that Ganesh idols everywhere were drinking milk. When people held a spoon or bowl of milk to the lips of the idols, the milk would slowly get depleted. In just a few hours, news had spread beyond India and Hundi temples in the UK, Canada and the US were reporting the same phenomenon. Hindu organisations announced that a miracle was happening. Some scientists have claimed it was caused by a mix of surface tension, the capillary effect and confirmation bias.

6. Jhalak Dikhlaja


Thats the name of a song by a popular India musician back in 2006. It dominated the music charts for weeks but among all the hype, there were some darker stories attached to it. Some people said the song was attracting the dead. In the small village of Bhalej, locals claimed that one of the lyrics was acting as a call for ghosts. They said people were becoming possessed by evil spirits after hearing the song and were going to the local priest to be cured. It was also claimed that listening to the song in the local graveyard was practically inviting possession. In the end, fear of the song grew so much that the village actually banned the song - nobody was allowed to play it. Presumably the possessions stopped - what do you guys think of that? Can a song on the radio be cursed?

5. Monkey Man


In 2001 people in Delhi claimed that an ape-like monster was roaming the streets at night. It was said to be attacking people. Description of the Monkey Man differed but it was about four ft tall, covered in thick black hair, with a metal helmet, metal claws, glowing red eyes and 3 buttons on its chest. Many people reported being scratched and some even said 2 or 3 people died when leaping from the tops of buildings or stairwells in a panic. Its been years since the event but some people still claim the monkey man is out there and could attack another day.

4. Kuldhara


Established in the 13th century, this used to be a prosperous Indian village for hundreds of years until the early 19th century when everyone disappeared. Years later, some historians said this was due to a lack of water or heavy taxes on the people - but the legend is much darker. People say that the leader of the area was attracted to a beautiful girl from the village. He sent his guards to force the villagers to hand over the girl. The villagers asked the guards to return the next morning and while they were gone, they abandoned the whole village. The village chief then cursed the abandoned village for eternity, meaning anyone who lives there will die. Those who have dared to stay overnight have reported supernatural happenings such as shadows in the night, footprints and mysterious noises.

3. Mande Burung


For many people, this is the Indian equivalent of the North American bigfoot. The Mande Burung is an ape like creature said to inhabit the subtropical forests in Northeast India. Its been described as a large, hairy bipedal hominid. The locals call him the -Man of The Jungle- and say theyve seen it for generations. More often though - they hear it - its strange calls echoing out across the rice paddies. Some say it stands 10ft tall and weighs over 600 pounds. In 2008, a gro7up of yeti hunters gave two hairs they found to a renowned British primatologist. After examining them, Ian Redmond said they most closely resembled human, chimp, gorilla or other so called -yeti hair- samples … but with or without science to back it up, the legend lives on.

2. The White Lady of Sanjay Van


In the forest of south delhi, people have reported seeing a spectral woman in a white saree. She is said to walk among the banyan trees before disappearing. Some reports say theyve seen her hanging from the trees and that this is what ended her life. One local said -she comes alive at night, when those leaves start glowing. There are many such lovely spirits here- … personally, I wouldnt use the term lovely to describe that. Shes also said to wave at you and then disappear. Thats a definite nope from me.

1. The Onion Witch


In 2005, reports of a witch visiting homes in Delhi was said to be linked to a number of deaths in the Indian capital. According to the rumours, a witch in the guise of a hungry woman rang peoples doorbell and asked for an onion. If shes given the onion, she cuts it in half and blood squirts out. The onion donor then dies instantly, a moment after realising what has happened. Some say it wasnt just 1 but rather 3 witches. Locals began applying palm prints of turmeric and henna on doors to ward off the witches and some still fear their return.

Top 10 Scary French Urban Legends


Its about time we talked about France! Its a country known for its rich history and culture - but today were not going to be talking about restaurants, museums and buildings - were going to be talk about the dark stories that have haunted the people of France for hundreds - or even thousands of years. Will they end haunting you too? And this is the Top 10 Scary French Urban Legends

10. The Lou Carcolh


This urban legend originates from the Gascony region of France. The Lou Carcolh is said to be a disgusting, grotesque creature that wanders the countryside of southern France. Its described as half snake, half snail. Its massive and long body carried an enormous shell on its back. Its hideous mouth is surrounded by several long, hairy and slime covered tentacles that can extend for not inches or feet - but for miles, yes, miles. They send these tentacles stretching out from the caves they live on. They wait for people to accidentally touch one and then - bang - they grab hold of you and drag you down underground where they swallow you whole with their huge mouth.

9. Meat Pies


In the 15th century, the story goes that a barber and a cook made a deal in Paris. The barber would slit the throats of his clients who were mainly poor college students. He would then chop up their bodies and send them through a trapdoor to a cook - straight to his kitchen. The cook would then use the human meat for his pies - there were many different flavors and sizes to reflect the diversity of his supply … business grew for both of them and the bakers became one of the citys most well known Patisseries. Nobody was wise to what was going on - at least no human. One day, a German student called Alaric was visiting the barber. His dog sensed that something wasnt right and began barking at the  neighbors. When people came to investigate - they found the cellar, full of torture tools used to hack apart the corpses. The two men confessed to their heinous crimes and were burnt alive in iron cages.

8. The Peluda


This creature has been a feared part of French folklore for generations. Its name means -hairy or shaggy beast- but to be honest - its a whole lot more than that. They are said to have stingers like a porcupine, the head and neck of a snake, tortoise feet and a serpent tail. Their breath withers crops, they can fire their quills like arrows, spit acid out of their tail and if they attack you - youre doomed - they are said to be invulnerable all over their body except for their tail. With their huge size, people say they could create floods simply by stepping on rivers. Some believe that the Peluda was on of the animals that was not saved by Noah and his Ark in the Bible. However, it still survived the Great Flood that came by hiding in a cave. Afterwards, it went on a rampage across the world - killing everything that got to board the ark. Some say it still continues this today, even if theyre only left in France.

7. The Chateau de Trecesson


This is a medieval castle in the Brittany region of France. From the outside, its an impressive looking building - attracting tourists from all over - but don't be fooled by its outward charm, the Chateau is famous for its terrifying ghost stories. One night, many years ago, a black coach stopped near the moat and two men got out. They used shovels and picks to dig a deep grave in silence. From the coach they dragged a young woman dressed as a bride - her face as pale as her dress. She doesnt cry or beg for mercy as her executioners lay her in her grave and cover her with dirt. The men then ride off into the darkness. A local man saw the whole thing from the trees and gathered the other villagers to help. They dug her up and tried to save her but by sunrise she had died without saying a word. They never knew who she was or why they killed her - but it wasnt the last time people saw her. In the centuries since then, locals have sworn they still see her ghost floating on the waters of the moat, still in her wedding dress - and still deathly silent.

6. Catacombs


This is perhaps one of the most famous and creepy parts of Paris. They are a series of tunnels that wind underneath the city. They are said to hold the remains of some six million people there. They were first started in the late 18th century to help deal with the citys overflowing cemeteries. A sign at the entrance reads -Stop! This is the empire of the dead!800 meters of the walkways in lines entirely with bones. Over the years locals have shared stories of dark goings on among the bones - legends of Masonic cults meeting, black masses, Nazi Gatherings, gang fights and serial killers.

5. The Wooden Leg


In The Chateau de Combourgis, there is a ghost with a wooden leg. It is said to be the ghost of Comte de Combourg - he was a general who lived there 300 years ago and lost his in battle, having it replaced by a wooden one. In life, his leg was said to send echos around the castle so that everyone knew where he was. After he died though, that never went away. In the years since, many visitors have said theyve heard his leg thumping in the night. Some even say theyve seen it walking up and down the stairs by itself - no body attached to it - accompanied only by a mysterious black cat.

4. A Strange Concert


On June 2nd 1925, a 24 year old medical student named Jean Romier was studying in a garden in Paris. An elderly man approached him dressed in a strange riding coat. The two men began to talk about classical music and eventually, the  old man invites Jean to come and listen to his concert he was putting on with some friends on Friday. Jean accepted and asked him for his name and address. He said he was Alphonse Berruyer and his address was Rue de Vaugirard, 3rd floor, on the left. Next Friday, Jean arrived at the given address and was welcome in where he met the Alphonses whole family. They were lovely to him but Jean couldn't shake this strange feeling that something wasnt right. Maybe it was the old fashioned apartment with its outdated decor and gas lighting. They musicians sit down and perform some classical music including Mozart. Jean stayed for a few hours after and talked to Alphonses about music. He thanked him and left.

Out in the street, he realised he had left his lighter inside. He went up and rang the bell but there was no answer. He kept trying until a neighbor came out and asked what the problem was. Jean said he is trying to see Alphonse but the neighbour said - I think youre mistaken, Jean has been dead for 20 years and that the apartment has been empty since then. Jean tells him thats impossible, he had just spent a whole night with him and his family. The neighbour started to become suspicious of Jean and accused him of being a thief. The police unlocked the apartment and took Jean inside along with the owner of the place - Alphonses great-great-great Grandson. They walked through the apartment which was now empty, when they got to the back room they found a side table covered in dust. There, sitting on top, was Jeans lighter. Some say Jean experienced a time slip, others refuse to believe this happened at all - either way, theres an official police report out there that contains this story - and many believe its unsolved.

3. The Tuileries Phantom


This is the story of a man called Jean. He worked as a butcher near the Tuileries palace in Paris during the reign of Catherine de Medicis in the 16th century. She ordered Jean to be killed because he had threatened to reveal many of the royal familys secrets. Just before he was executed, he told his executioner that he would rise from the dead. The executioner left Jeans corpse in the garden. He then went to tell Catherine the deed had been done. When he returned to the garden to dispose of the body, he found Jeans corpse missing. A few days later, the Queens astrologist reported having a vision.

In it, he claimed he saw all the inhabitants of the palace die a terrible death and that Jean would haunt the palace until it was destroyed. Not long after, the executioner was on his way to the palace when he looked behind him - and froze in horror. There stood Jean, drenched - as if he was still alive - covered in blood - thus began the legend of the Red Man. He is said to have haunted the grounds ever since. People believe that comes across Jean - the little red man - means a terrible tragedy will follow shortly.

2. The Devils door of Notre Dame


Notre Dame is a very famous Cathedral in Paris - many visitors notice its elegant side doors with their intricate iron pattern. They were designed by an artist called Biscornet - his talents were known throughout France. The doors were considered a masterpiece - taking months to complete in Biscornets workshop. Parisians were so impressed that some of them began to doubt he did it alone. This was the 1300s - an age of deep superstition in Europe - some people said that Biscornet had sold his soul to the devil in exchange for this masterpiece.

Locals said they had been to his studio during his work hours where they had found him unconscious on the floor next to the finished piece which had been mysteriously completed in record time. When they came to first use the door on the Cathedral, the priests claim that they could only get it to work after sprinkling it with Holy Water. Biscornet died soon after and in the years since, many experts have struggled to explain how he made this with the basic tools of the time. Some also point to his name - Bis means two or twice while cornet means horn - put it together and you have the two horned man.

1. Chateau de Brissac


This old French castle in the Loire Valley was first built in the 11th century. Its been almost a thousand years since then and its walls have seen some grizzly deaths and hauntings. Perhaps the most famous is the story of Charlotte. She was the wife of Jacques de Breze, the lord of the castle in the 1400s. One night, he came home after a hunt and had dinner with Charlotte - then, they went to bed in their separate rooms - the marriage was said to be for political reasons, not love. That night, he was woken by his servant who said Charlotte had another man in his room - it was one of his hunter partners.

He flew into a rage, grabbed his sword and attacked both of them - slashing and hacking away. By the time they were dead, their bodies had almost 100 wounds inflicted. Charlotte was actually the half sister of King Louis the 6th. He stripped Jacques of all his titles and took possession of his castle. As for Charlotte, well, people say she never left - her traumatic death made her a ghost, cursed to haunt the castle forever. They say at night on the walls of the castle you can see a female ghost in a green dress with bloody, gaping holes all over her body. She is silent except for when she returns to the room where she was murdered - where deathly moans and cries can be heard until dawn.

Top 10 Scary Pakistani Urban Legends

Alright so, urban legends have been circulating around the world for hundreds of years. These scary stories, rumors and myths have been spread in every country and Pakistan is no exceptions. So grab a friend because we are about to dive into this list of the top 10 scary Pakistani urban legends.

10. The Chadda group


During the 90’s, the Chadda group was known across the country as a scary and sinister group of young men who would break into houses and steal your most valuable possessions. Once they would break into your house, they would steal your valuables, break your possessions and do it all in record time. That’s because they are extremely stealthy, agile and they would lather themselves in oil or grease so that they would be impossible to catch. During these times, people were extremely scared of the Chadda group urban legend and they were always scared that they would be their next victim.

9. Contracting aids injects itself


There is an infamous urban legend in Pakistan that was circulated back in 1998 and it says that random victims who attended a crowded movie in a theatre or nightclub would be injected with Aids. It’s easy to say that this urban legend obviously isn’t real today but back then, people were legitimately scared that this would happen to them or their loved ones. There are so many chain letters that circulated all of the internet and here is an example of one. This creepy letter says, “Please check your chairs when going to the movie theatres! An incident occurred when a friend’s co-worker went to sit in a chair and something was poking her. She then got up and found that it was a needle with a little note at the end. It said, “Welcome to the real world, you’re HIV positive.” Yeah I think I would be totally freaked out too but thankfully we now know that this urban legend is just a myth.

8. The vanishing hitchhiker


Have you heard this one before? This is a common Urban Legend that exists in a bunch of other countries such as the UK, Algeria, Korea and Romania. Well the story goes like this, a young man is driving alone at night when all of a sudden he spots a beautiful woman on the side of the road who asks him for a ride. He picks her up and she tells him that she wants to go straight home. Once they are driving, she falls asleep in the back seat so when they get to her house, the man knocks on the door and tells the mother that he has her daughter in his car who is fast asleep. She tells the man that this can’t be possible because her daughter has been dead for a few years. When the man goes back to his car to check the back seat, all that remains are her clothes. There is no sign of this missing girl anywhere.

7. The haunted Devil’s point in Karachi


According to the local legend, there have been many reports of voodoo, dark magic and ghost sightings at this location. People have also claimed that they have seen a creepy and evil looking man sitting on a chair in the water, chanting something evil. People who have seen this man never went up to him because they were too freaked out to approach him. If I saw a scary old man, floating in the water on a chair, making some creepy chanting noises – I would probably run in the opposite direction and never look back. Actually, I would probably never go to a place that is known as Devil’s point. I think I would much rather spend my time at angels point, or heavenly point.

6. The Hathora group


In the late 1980’s, the city of Karachi had an increase in murders, and they all were done in a similar manner. At first, the police suspected that the killings were done by a sadistic serial killer but then the police theorized that the murders were actually done by a group of people who went out on a killing rampage. This group would supposedly break into your house, steal all of your valuables and then hammer you to death. This stirred up a lot of panic in this city which caused all of its residents to hire guards and beef up their security. The last known case was reported in May 1986 but no arrests were ever made and the mystery of the Hathora group remains unsolved to this day.

5. The Bride of Karsaz


There are a lot of reports of people claiming to have seen a ghost bride wearing a red dress at a very busy intersection in Karsaz. According to the legend, back in the 1970s a young couple was driving home from their wedding night when all of a sudden they got into a terrible accident that killed both of them. So now, people have said that if you are travelling on this road at night time, you will see a beautiful but scary ghost asking you for a ride. If you stop to look at her face, she apparently turns into something evil. Locals from this area have an unwritten rule. They will never travel along this road alone because they are scared that this evil bride will try to pull them over.

4. 40 dead children


The tallest peak in the Chiltan range is said to be haunted by the ghosts of 40 dead children. According to this local urban legend, a couple left 40 babies on top of this peak and left them there to either survive on their own or die. People have claimed that if you go to this peak at night, you can hear children crying out in sadness and begging you to climb up the mountain and rescue them. Well, I think it’s safe to say that I will never visit this peak in my lifetime.

3. Jinn’s breathe


Jinns are supernatural creatures with demonic tendencies and in Pakistan, there are countless urban legends that focus solely on Jinns. It is believed that if you wake up at 3 in the morning, it means that a devil was staring at you. Oh, and if you shower after sunset, you will probably get possessed by a jinn. They also love to attack you when you are sitting under a tree in the evening or night time, so you probably shouldn’t do that either. It is also believed that when you talk about jinns, they will gather around and listen to you. Great…so now my studio is going to be haunted by Jinns.

2. Pichal Peri flies


If you say Pichal Peri out loud she is supposed to make an appearance, so maybe she will appear in this video, hopefully not though. This demonic witch takes on two forms. In most stories, she appears as a beautiful woman who targets vulnerable men. Her entire appearance is disguised except for her feet, which point backwards. When she is in her true form, she looks like a witch with a long face, dirty fingers, a hunchback, messy hair, bloody clothes and large scary eyes. According to the legend, the Pichal Peri will kill any person who she encounters by ingesting their blood or ripping out vital organs from their bodies. Apparently, in many villages in Pakistan, lots of locals and tourists who go into the woods alone and they are never heard from again.

1. The Killer phone number


This urban legend goes by many different names. In Pakistan it is either referred to as the killer phone number, red number or cursed phone number. At the end of the day, it doesn’t matter what you call it, it matters if you answer the phone or not. Legend has it that you should never answer a call from numbers that appeared red on the screen. These are known as cursed phone numbers and if you were dumb enough to answer the call, you would hear a high frequency sound that would case you to have a brain hemorrhage which would kill you instantly. And supposedly, there were dozens of reports of people who had already been killed by answering calls from these sinister numbers.

Top 10 Scary Swedish Urban Legends

10. The Silver Train
This is a true ghost train story. Locals called it the Silverpilen. In Swedens capital of Stockholm, legend says that passengers waiting on the platform may see a silver train slowly pull up. You must not get on. The train is heading to an abandoned station in the middle of the woods - its passengers are the souls of the dead. People who get on will never return. The legend is also connected to the abandoned Kymlinge metro station which is said to be a ghost station. Locals say only the dead get off at Kymlinge. Some even believe The Silver Train takes people to an underground station with  no exit - it never returns to pick them up.

9. The Palace of Scheffler
Located in the capital of Stockholm, ghosts have been reported in this palace for well over 200 years. Some of the stories involve people seeing mirrors and windows shattering for no reason as well as music and songs floating down the corridor with no source in sight. One notable story involves a man called Jacob Von Balthasar Knigge - trying saying that in a hurry. He was a former owner of the palace who was allegedly a worshiper of Satan. He disseapeared one night and witnesses said he was last seen entering a black carriage being pulled by a coachman with horns and a tail. Had he sold his soul to the devil? Some people certainly think so. This is just the tip of the iceberg when it comes to the creepy goings on here. The palace is now owned by Stockholm University who use it for storage - thats probably for the best.

8. The Borgvattnet Vicarage
Borgvattnett is a small village with just 50 residents there - but apparently a lot of ghosts. Its actually said to have the highest number of ghosts per people anywhere in the country. Perhaps the most haunted spot is the old vicarage. Built in 1876, it seemed like a normal building for some 50 years. Then, locals began reporting creepy goings on. Ghosts that are not just scary, theyre also violent. Some of the ghosts have reportedly knocked people out of chairs, moved furniture around while people are sleeping or even one case of a ghost throwing babies out of a window. If that sounds like your idea of fun, you can actually book a room there for the night and breakfast is included - if you make it to morning.

7. Toftaholm Herrgard
Some Swedish people proudly claim this place as the most haunted hotel in the world. Located along the edge of Lake Vikostern, the hotel is picturesque but comes with a dark story attached to it. One night, a young man killed himself in one of the hotel rooms after he was forbidden to marry the daughter of the landowner. Hed had a secret love affair with her for months but her father, a rich baron, refused to give their blessing because he was a poor commoner. Instead, he married her off to an older man not too dissimilar from the baron himself. Heartbroken, he hanged himself from the rafters of what is now room 324. While most visitors avoid that room, that hasnt stopped them seeing the ghost of the heartbroken man. He is said to wander through the hotel at night, shutting windows and crying out into the night.

6. Gamla Stan
In 1520, the Danish King Kristian the 2nd invaded Sweden. 92 members of the Swedish royal family refused to obey the invader so, Kristian sentenced them to death. All 92 of them were either beheaded or hanged in the main square of the Old Town of Stockholm known as Gamla Stan. Some say their blood flowed across the cobblestones for months. In the red building nearby, 92 white stones came to represent the 92 swedish nobles. Now, locals believe that if a stone is removed, the ghost of one of the dead nobels will rise up and haunt the streets of Stockholm.

5. The Skogsra
In ancient Swedish folklore, the Skogsra are forest spirits. From the front they look like a beautiful woman but from the back they resemble a tree trunk. There stories of men who were entranced by these spirits without ever seeing their other form from the back. The Skogsra wear the men down over days and weeks, draining them until they were helpless - playing on their temptations, fears and fantasies. If they manage to outsmart the spirit, the men will see their true form from behind and the Skogsra will disappear forever. If they do not, they are carried off into the woods at their weakest, never to be seen again.

4. The Mylingar
These are said to be the undead corpses or ghosts of infants murdered by their mothers. They haunt the places where they were buried with cries that pierce the night air. Why do they cry? Well, they want you to give them a name - they were often said to be killed before receiving a name, now thats all they want. Theyll ask you to carry them to hallowed ground to be buried - they grow in size as you get closer. There have been stories of these undead babies asking people for other tasks on roads at night - if they don't perform the tasks, the person will often return home to find a member of their family has been killed - often in the same theme as the original request. I would go into some of the details I saw but they really are gruesome. All you need to know is that theyre Zombie Babies - not two words you want to hear together.

3. The Nyk
Also known as the Nokken or Nykkjen, this is a mysterious water creature that always crops up in Scandanavian folklore. In Swedish tradition, the Nyk lives in freshwater, lakes and deep ponds. They are shapeshifters and will often transform into a handsome young man. They then trick women into jumping in the water before drowning them. There are also other versions of the legend that involve him changing into a white horse to let children ride on his back before jumping into his bond to drown them. Some believe the only way to save yourself is to throw metal in the water, like a needle or iron cross.

2. Stockholms Royal Palace
As you might expect from a palace, this place is huge. Many of its 1400 rooms come with some of Swedens most famous ghost stories. Among them is the White Lady, her name in life was Vita Frun. She is said to appear anytime a member of Swedens royal family dies. King Oscar once wrote that she is tall, wears a long white dress with a white veil and dark cloves. She wanders the rooms and halways clutching a ring of keys which jangle and echo in the night. In 1971, Princess Eugenie saw The White Lady 3 days before the death of Queen Louise. Over half a century before, she was also said to appear as Princess Margaret lay dying. Despite not actually being dead yet, a guard saw The White Lady standing on the roof - keys in hand. Two hours later, the princess was dead.

1. Svaneholm Castle
This is another castle in southern Sweden known for its high concentration of ghosts. Perhaps the most famous is King Frederik the 2nd who his said to wander the halls at night searching for his long lost love who he never married. Then there are the 3 ladies. In previous Urban Legend videos, you may have heard me talk about a castle or house having the White Lady, the Black Lady or the Grey Lady ghost. Things like that. Well, how about all 3. Thats right, visitors to Svaneholm castle have reported 3 seperate ghost ladies - some even say they compete for each others territory. Another regular on the scene is said to be the Grey Monk who was murdered in the castle in the 1500s and now occasionally helps staff carry heavy items up the stairs from the cellars.

Top 10 Scary Disney Urban Legends


10. Walt Disney Haunts Disneyland California
Walt Disney opened the original Disneyland in 1955 and he LOVED the place. In fact, saying he loved the place is a huge understatement. He doted on the place, he spent the majority of his time there until his death in 1966. Walt had an apartment above the Fire Station on Main Street. When he was in residence it is said he always kept a lamp burning in the window so everyone knew he was there. When he died, the lamp was switched off. Eerily, it seemed that the lamp would turn itself back on. One day, a staff member was cleaning the apartment when she heard a voice that said “I’m still here.” From that day on, Disney’s lamp keeps burning in the window as a mark of respect and acknowledgement for his ghost.

9. Real Skeletons on the Pirates of the Caribbean Ride
So according to legend, REAL human skeletons are used in the Pirates of the Caribbean Rides, and this is exactly what Walt Disney Ordered. Guess, this makes riding on the scary themed log ride even spookier, knowing you are surrounded by actual skeletons. Some people even say that Walt Disney’s own skeleton is hidden amongst the bodies on the ride. Now actually do know the truth behind this creepy urban legend – like most stories that have been passed down over the years, there is some truth in it. When the ride first opened in 1967, one year after Disney’s death, fake skeletons looked pretty rubbish….pretty…well..fake… so in the planning and building stage, Walt Disney wanted real skeletons to be used. He never got to see the finished product, but true to his wishes, real skeletons were indeed used. Eventually, though, they were replaced. Not only was it kind of morbid to have a bunch of dead people in a Disney ride, fake skeletons started looking a lot better. Now the only real human skull that still exists is on the headboard of a bed at Disney World, Florida…which is weird as that ride was never fully human skeletoned like California was.

8. Ghost Hitchhiker on Space
Mountain Legend has it that a red haired man who died on the ride still enjoys a spin today. The man, often dubbed Mr One Way, is said to have died in the 1970s while on the attraction. It is said that he sits next to single riders, but by the time the ride ends, there is absolutely no sign of him. For those that don’t see him, they say they can feel him behind them if there is an empty seat at the back. There have been a number of reports of the hitcher, and he may or may not have been caught on camera a couple of times, check this out.

7. Mowgli’s Palace
So this is kind of an urban legend creepypasta surrounding an abandoned Disney attraction. Redditor Slimebeast, aka Christopher Howard Wolf, write a post about an illicit visit to the grounds of a defunct Disney Theme Park in North Carolina. So allegedly, Disney wanted to open a Junglebook resort in Emerald Isle, North Carolina. From the very beginning it seemed to be fraught with issue, with locals not wanting Disney to but the land. None the less, it was bought and primed for opening when all of a sudden, the project just stopped.

The park was closed, employees were dismissed, the whole place was shut up and hushed up. According to the urban legend, a dude goes to explore, camera in hand, and finds the place in a state of expected disarray. He finds the words Abandoned by Disney graffitied in a number of areas. Eventually the intrepid explorer finds staff areas and deduces that the place was not just simply abandoned, it was evacuated. It is then the explorer finds mascot costumes. They are actually alive…or where…it seemed the costumes had skeletons inside them…as the explorer was trying to escape…he said he a mickey mouse chased him. While there have been some arial images posted of the secret park.

6. Sacrificed Snow White
A story submitted on Reddit four years ago really gives me the chills. Posted in the no sleep subreddit, Redditor Bleetch1994 shared his experience of working for the Magic Kingdom. Upvoted over 2 thousand times, the poster kept his real name anonymous. He said that 99 percent of all the work at Walt Disney World goes on after the show is over. He was working construction on the park for a while, mainly working on the Seven Dwarves Mine Train Ride which was set to open up. Long reddit story short, the guy said that a lot of the crew were sketchy about being alone in various places. They had to take their lunch breaks at 3am and one day the guy forgot his lunch bag and headed back to get it, but stumbled across what can only be described as a sacrificial cult scene.

Robed figures were crowded around a snow white character who was bound, gagged and crying. The guy said a half moon was carved into her forehead and she was cut by the figures. The guy said he turned and ran. The next day he told his older foreman what he had seen, now this man had worked at the park for nearly 4 decades. The foreman told him that he had seen a lot in his time at Disney and the land was brought from a lot of groups who required special payment in the form of blood sacrifice. He urged the construction worker to never discuss what he had seen, mentioning that the executives at club 33 were more powerful than he could ever imagine. He finished the reddit post by saying that he quit.

5. Platform D Bellhop on the Tower of Terror
In 2017, Walt Disney’s Hollywood Studios Tower of terror took its final plunge…but what will happen to the ghost of the Bellhop said to haunt the Twilight Zone? Built in **, legend has it that one of the Disney Cast Members who operated the ride as a Bellhop dropped dead one day on their shift. The Tower of Terror has 4 elevators, Alpha, Bravo, Charlie and Delta. The Bellhop died on Platform Delta as he loaded guests into the attraction. It seems that the man may never have clocked out from his shift. Disney cast members test the rides before they open to the public, and some have reported someone else sitting with them in the elevator when testing from Delta. There have even been pictures of a ghostlike figure sitting in the back of the ride. Again, a photo was taken after hours of the tower and some people have spotted a ghostly figure. The ride is currently being torn down to make way for a marvel attraction, so who knows what will happen to the ghost, perhaps it will make him angry.

4. Disney is Cryogenically Frozen
Don’t really know where this one comes from, but a lot of people seem to believe it! When the topic of freezing comes up, a lot of people cite Walt Disney as a main contender. Disney died of lung cancer in December of 1966 age just 65. The urban legend seems to come from a comment made by the president of the California Cyrogenics society in the 1970s. Bob Nelson told the LA tomes that Walt Disney Wanted to be frozen. This led to Disney’s daughter Diana making a public statement to target the claims, saying : There is absolutely no truth to the rumour that my father, Walt Disney, wished to be frozen. If he had been frozen and we eventually found a cure for lung cancer, a whole new generation could enjoy Disney movies. Wonder how it would feel to be woken up over 50 years after you died.

3. Disney used Mind Control
Kids watching his movies because the illuminati told him to. There have been so so many Disney conspiracy theories out there that Walk Disney wanted to turn kids into sex crazed teenagers. Movies including Aladdin, the Lion King, who framed Roger Rabbit, Ariel the Little Mermaid and the Rescuers have all been accused of trying to brain wash kids with non pg content. So called truth seekers have tried to expose Disney for his sexual content, saying there is Sex written in the sky in The Lion King, that the genie in Aladdin tells teens to take off their clothes, and of course, there is Jessica rabbits vajay flash. Some say that Disney wanted to sexualise children from a young age as the illuminati wanted them to be targets of abuse. Disney’s club 33 has also been amid pedophile ring claims…but we’ll get to that later.

2. Small World Dolls
Move and Switch Places I think we can all agree that the It’s A Small World Ride is pretty creepy. It just is. Tiny Dolls scare me at the best of times, but tiny singing dolls…eeesh. It is also one of the oldest Disney attractions, which somehow makes the whole thing creepier. Anyway, legend has it that the dolls come alive when no one is looking. How do we know? Well, it seems that they have often been found in switched positions. Employees at Disney have mentioned it on several occasions, with many too freaked out to go near the ride. Some even go as far as to say the dolls keep singing after hours. Author Ridley Pearson is one of the more high profile people who swears he saw the dolls move… he was on a VIP afterhours tour and is convinced they have a life of their own.

1. Club 33 is the Illuminati Headquarters
There have been a lot of links between Walt Disney and the Illuminati. When Walt Disney was alive, many people accused him of being part of the freemasons, a group that is constantly linked to the illuminati. There definitely seems to be something shifty going on at Club 33, the exclusive club house in the Disneyland California location. It is the only place in Disneyland that serves alcohol. It actually seems that these days, clubhouses exist across the parks. Officially the club was intended for use by Disneyland’s corporate sponsors and industry VIPS. The location is somewhat hidden in New Orleans Square and gaining membership is by invite only. Paul Mcartney and Elton John are said to be members, although a lot of people are totally convinced something very suspicious and culty is going on behind those doors.

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน


เนื้อหมูในตู้เย็นซื้อมาเยอะกลัวกินไม่ทันก็จับมาทำหมูแดดเดียว อาหารไทยเก็บไว้กินได้นานกันดีไหม เราขอนำเสนอวิธีทำหมูแดดเดียว มีทั้งแบบง้อแดดและไม่ง้อแดด ต่อไปนี้ไม่ต้องไปหาซื้อหมูแดดเดียวขายส่ง หรือไปเข้าคิวที่หน้าปากซอยกันแล้ว ใครสนใจอยากได้วิธีทําหมูแดดเดียวเค็มแบบเป๊ะ ๆ กินได้ทั้งครอบครัว เลือกสูตรอาหารที่ชอบด้านล่างกันเลย

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน


1. หมูแดดเดียว สูตรตากแดด


วิธีการทำหมูแดดเดียวสุดเบสิกคือการตากแดด วันไหนแดดจัดเตรียมหมูรอเลย ขอนำเสนอเมนูหมูแดดเดียวทอด พอหมักหมูกับซอสเรียบร้อยก็จับไปตากแดด กินกับน้ำจิ้มแจ่วอร่อยมากเลย

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน 1. หมูแดดเดียว สูตรตากแดด

ส่วนผสม หมูแดดเดียว
• เนื้อสันคอหมู หั่นเป็นชิ้นยาว ความหนา 1 ซม. จำนวน 1 กิโลกรัม
• น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
• นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
• ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
• ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย
• น้ำมันหอย 3 ช้อนโต๊ะ
• งาขาว 2 ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
• น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำหมูแดดเดียวทอด
1. ผสมน้ำตาลทรายกับนมข้นจืด น้ำมันพืช ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และงาขาว คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
2. ใส่เนื้อหมูที่หั่นเตรียมไว้ลงเคล้าผสมในส่วนผสมซอส พักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จนน้ำซอสซึมเข้าเนื้อหมู
3. วางเนื้อหมูที่หมักไว้เรียงลงบนตะแกรง นำออกไปตากแดดจนเนื้อหมูแห้งหมาด ๆ เก็บใส่ภาชนะปิดให้สนิท นำเข้าแช่แข็ง
4. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง พอร้อนใส่เนื้อหมูลงทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จาน พร้อมรับประทาน

2. หมูแดดเดียวสูตรอบไม่ตากแดด


ใครว่าการทำหมูแดดเดียวต้องตากแดดเสมอไป ถ้าวันไหนไม่มีแดดแต่อยากกินก็ทำได้นะคะ ใครสนใจมาจดสูตรหมูแดดเดียวอบ จับหมูไปหมักแล้วนำเข้าเตาอบจนแห้ง เสร็จแล้วก็นำมาทอดจนสุก แค่นี้ก็เรียบร้อย

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน 2. หมูแดดเดียวสูตรอบไม่ตากแดด

ส่วนผสม หมูแดดเดียวอบ
• เนื้อหมู (สันคอ) 500 กรัม
• กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
• งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
• พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
• ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำหมูแดดเดียวอบ
1. นำเนื้อหมูมาล้างทำความสะอาด ซับให้แห้งแล้วหั่นยาวตามสไตล์หมูแดดเดียว
2. ผสมกระเทียม งาขาว น้ำตาลทราย และพริกไทย คนให้เข้ากัน
3. ใส่ซีอิ๊วขาวกับน้ำมันหอยลงไป คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันดี ก็เริ่มหมักหมูกันได้เลย ใส่หมูที่เตรียมไว้คลุกเคล้าให้เข้ากัน (พักหมูไว้ในตู้เย็น 2 ชั่วโมง)
4. พอครบเวลาก็นำหมูออกจากตู้เย็นมาวางเรียงบนตะแกรง เรียงให้ห่างกันเล็กน้อย
5. นำเข้าเตาอบ เปิดไฟบน-ไฟล่าง ระบบพัดลมที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส อบเนื้อจนแห้งประมาณ 4 ชั่วโมง
6. ทอดหมูได้เลยค่ะ ทอดจนสุกเหลืองทั้งชิ้น

3. คอหมูแดดเดียว


สำหรับใครที่ชอบเมนูหมูแดดเดียวฉ่ำ ๆ ต้องนี่เลย เมนูคอหมูแดดเดียว สูตรนี้หมักหมูด้วยน้ำสับปะรดเพิ่มความนุ่ม หั่นชิ้นหนาตามชอบ เอาล่ะ... เริ่มหมักหมูกันเลยพี่น้อง

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน 3. คอหมูแดดเดียว

ส่วนผสม คอหมูแดดเดียว
• คอหมู 500 กรัม (คอหมูไม่ใช่สันคอหมูนะครับ คอหมูที่เขาใช้ทำคอหมูย่าง บางที่ใช้สันคอ แต่สูตรนี้เน้นนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ถ้าไม่ชอบมัน ๆ ให้แล่เอาส่วนมัน ๆ ออกมา เนื้อส่วนนี้จะเห็นมันแทรกในชั้นเนื้อ ทำให้นุ่มและไขมันนำพารสเครื่องปรุงแทรกเข้ามาชัดเจนมาก)
• สับปะรด (จะใช้ฉ่ำ ๆ หรือจะเอากรอบ ๆ ก็เอามาเถอะ)
• น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
• ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
• ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
• พริกไทย 1/2 ช้อนชา
• น้ำมันสำหรับทอด (ใช้ Deep Fry ทอดน้ำมันท่วม ๆ นะครับ อย่าขี้เหนียว)

วิธีทำคอหมูแดดเดียว
• หั่นคอหมูเป็นเส้นยาวประมาณ 1 เซนติเมตร หรือตามชอบ

เคล็ดลับหมักหมู :
1. อย่าหั่นหมูบางมาก เพราะถ้าบางเวลาทอดจะแห้งแข็งสภาพเป็นจิ้งจกแห้งตาย
2. หั่นตัดขวางลายเส้นเนื้อหมู อย่าหั่นตามลายเส้นเนื้อ เพราะถ้าหั่นตามเส้นนะพ่อคุณเอ๋ย หมูจะเหนียวจนเอามาใช้แทนยางรัดถุงแกงได้เลย

วิธีหมักหมูแดดเดียว
• ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไป ได้แก่ น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา ซอสปรุงรส พริกไทย และน้ำสับปะรด แล้วขยำให้เข้ากัน (ใส่ให้สุดแรง)

เคล็ดลับ :
1. เครื่องปรุงทั้งหมด อนุญาตให้สลับใส่เครื่องปรุงไหนก่อน-หลังก็ได้ไม่มีผลต่อรสชาติ
2. นำสับปะรดมาบีบคั้นน้ำใส่ลงไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ อย่าเอาง่ายใส่ไปทั้งชิ้น กินประณีตนิดหนึ่ง
3. สูตรนี้น้ำสับปะรดช่วยให้หมูนุ่มสุด ๆ ผิวหนังที่นวดก็น่าจะนุ่มได้เหมือนกัน สำหรับเครื่องปรุงมีดังนี้ ซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส หัวซีอิ๊วขาว หางซีอิ๊วขาว น้ำมันงา และพริกไทย ใช้ซีอิ๊วขาวตราเด็กอ้วนก็ได้ครับ ที่ใช้ซีอิ๊วขาวอันนี้เพราะกลิ่นหอมมาก รสชาติละมุนไม่เค็มจัดและมีรสหวานอ่อน ๆ บอกเลยว่าอร่อย ได้มาจากข้าวมันไก่ร้านดังที่หาดใหญ่ ใช้หางซีอิ๊วกับน้ำมันงา 2 ตัวนี้ราดไก่ต้มมา ติดใจเลย อยากกินไก่ต้มมันทุกวัน แทบจะไปขอคนสับไก่เป็นเมีย

หมายเหตุ : ส่วนสำคัญอีกอย่างคือ การชิมรสชาติ หากจะให้พอดีตามรสที่ชอบ บางทีตามสูตรนี้อาจไม่ใช่รสโปรดของคุณ ให้บรรจงเอาเครื่องปรุงรสทุกอย่างผสมใส่ถ้วยแล้วแตะลิ้นชิมก่อน ถ้าชอบรสไหน รสอะไรขาดไป เติมเลยครับ หากคนติดหวานใส่น้ำตาลทรายหรือซีอิ๊วดำก็ได้ แต่ถ้าใส่หมักหมูไปแล้ว เอานิ้วที่ขยำ ๆ แตะ ๆ ลิ้นดูหน่อยว่ารสโอเคไหม อย่าให้เค็มมาก เพราะเมื่อเอาไปตากแดดแล้วทอด เนื้อหมูจะแห้ง ทำให้เค็มกว่าเดิม

วิธีตากหมูแดดเดียว
ต่อไปสำรวจบริเวณบ้านที่มีแดดส่อง เลือกพื้นที่ที่แดดส่องทั้งวัน ครั้นจะให้ไปเลื่อนถาดตามแดดทุก 10 นาที ไม่ต้องทำมาหากินพอดี

วางหมูที่คลุกแล้วกระจาย ๆ ชิ้นหมูจัดให้สวยงามลงบนถาด ***อย่าให้เนื้อหมูซ้อนกัน ภาพออกมามันดูไม่งาม รักษาระยะห่างกันไว้สักนิดจะได้แห้งเหี่ยวกันไว ๆ ***

นำถาดหมูที่ได้ไปตากแดด (แขวนยั่วเทวดา ระหว่างรอให้เอาสับปะรดที่เหลือจากคั้นน้ำมานั่งกินรอเวลา)
• ถ้าแดดดี : ประมาณ 4-5 ชั่วโมง กำลังได้ที่
• ถ้าแดดอ่อน : แขวนลืมไว้ได้เลย เย็น ๆ เก็บทีเดียว
• ถ้าแดดอ่อนจัดมาก : ตอนเย็นเนื้อหมูยังชุ่ม ๆ อยู่ เอาไดร์ร้อนเป่าผมช่วยเซต
• ถ้าเริ่มแขวนกลางคืน : แนะนำให้นำไปตากตอนเช้าของอีกวัน จบนะ !!

แต่... ถ้าแถวบ้านไม่มีแดดส่อง หรืออยากกินหมูแดดเดียววันฝนตก หรือสถานที่ตากแถวบ้านไม่อำนวย มีก่อสร้าง มีนกบินไป-มา หมาแมวมารบกวน หมูแดดเดียวจะอุดมไปด้วยฝุ่นและสิ่งไม่พึงปรารถนา ให้แก้ปัญหานี้ด้วย "เตาอบ" จ้า

เอาชิ้นหมูเรียงบนถาดให้เรียบร้อย ใช้กติกาเดิม ***อย่าทับกัน อย่าซ้อนกัน***

อบใช้ไฟบนกับลมร้อน (ให้สภาพเหมือนอากาศบ้านเราตอนเดินไปข้างนอก) ที่อุณหภูมิ 70-120 องศาเซลเซียส เปิดวอร์มเตาได้ที่ก่อนแล้วยัดเข้าไปได้เลย เลือกเวลาตามความเหมาะสม ดูให้น้ำในเนื้อหมูระเหย จนชิ้นเนื้อเริ่มแห้ง (ระหว่างรอให้เอาสับปะรดลูกเดิมที่เหลือจากคั้นน้ำนั่นแหละมานั่งกินรอเวลา)

พอครบเวลาแล้วไม่ว่าจะตากแดดหรือตากเตาได้ที่แล้วถ้ายังไม่กิน ให้เก็บเข้ากล่องถนอมอาหาร แล้วยัดตู้เย็นไปนอนหนาวรอได้เลย อารมณ์ดีวันไหนอยากกิน ค่อยแบ่งออกมาทอดเก็บกินได้ยาว ๆ

วิธีทอดหมูแดดเดียว
1. ตั้งกระทะกะน้ำมันให้ท่วมชิ้นหมู (ถ้าทอดไม่เยอะใช้หม้อใบเล็กใส่น้ำมันทอดแทนกระทะ ประหยัดน้ำมันได้เยอะครับ ถ้าที่บ้านมีฐานะ มีโรงหีบน้ำมันปาล์มเป็นของตัวเอง ใส่ได้ตามสบายเลยครับ จะเอาท่วมหมูหรือจะท่วมบ้านแล้วแต่ฟีลลิ่งเลย)
2. นำไปตั้งไฟกลางค่อนไปทางอ่อน รอจนน้ำมันร้อน
3. การสังเกตว่าน้ำมันร้อนใช้ได้แล้วไม่ยาก ใช้หลังมือครับ หลังมือเป็นส่วนที่รับรู้อุณหภูมิได้ไว ใช้หลังมือ... จุ่มลงไปที่น้ำมัน ถ้ามีฟองอากาศ รู้สึกว่าร้อน ร่างกายดึงมือออกมาโดยอัตโนมัติ แสดงว่าน้ำมันใช้ได้แล้ว หรืออีกวิธีในการเช็กความร้อนของน้ำมัน ให้ใช้หมูที่เราตากชิ้นเล็ก ๆ ใส่ไปดู ถ้ามีเสียงฉ่า ๆ มีฟอง มีน้ำมันกระเด็นดีดใส่ร่างกาย แปลว่าใช้ได้)
4. ทอดหมูดูให้พอเหลืองไม่ต้องออกดำมาก ***ยิ่งทอดนาน หมูยิ่งแข็ง ยิ่งดำไม่น่าทาน*** ปกติจะทอดประมาณสีน้ำตาล ๆ จนผิวเริ่มแห้ง แล้วช้อนขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันไว้ ให้ความร้อนทำงานต่ออีกสัก 2-3 นาที สีจะเข้มขึ้นเล็กน้อย
5. เท่านี้ก็ได้ "คอหมูแดดเดียว" ที่รสชาติเข้าเนื้อ แถมชิ้นหมูแห้งแต่ข้างในนุ่มชุ่มฉ่ำ พร้อมเสิร์ฟกับข้าวเหนียวนุ่ม ๆ แล้ว

4. หมูทอดแดดเดียว


หมูแดดเดียว หมูทอดง่าย ๆ ตากแค่พอหมาด แดดเดียวก็พอแล้ว หั่นชิ้นตามชอบหมักกับเครื่องปรุงรส พอทอดจนสุก พร้อมเสิร์ฟกับข้าวเหนียว อร่อยพุงคอนเฟิร์ม !

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน 4. หมูทอดแดดเดียว

ส่วนผสม หมูทอดแดดเดียว
• สันคอหมูหั่นเส้น
• กระเทียม
• รากผักชี
• พริกไทย
• เม็ดผักชี 2 ช้อน
• เกลือ
• ซอสปรุงรสฝาเขียว
• น้ำตาลปี๊บ
• รสดี 2 ช้อน

วิธีทำหมูทอดแดดเดียว
1. เอาสันคอหมูมาหั่นเส้น
2. ตำกระเทียม รากผักชี พริกไทย และเม็ดผักชีคั่ว ปรุงรสตามชอบ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. เอาไปตากแดดหมาด ๆ เพียงแดดเดียว เสร็จแล้วเอาไปทอดใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อนจนสุก

5. หมูพวง หมูร้อยตอก


แดดร้อนขนาดนี้ เมนูหมูพวงต้องมา จับหมูหมักซอสแล้วเอาไปตากแดดจนแห้ง เสร็จแล้วทอดจนสุก กินกับน้ำจิ้มแจ่ว

5 วิธีทำหมูแดดเดียว กรอบนอกนุ่มในทำเองได้อร่อยไม่ง้อร้าน 5. หมูพวง หมูร้อยตอก

ส่วนผสม หมูพวง หมูร้อยตอก
• เนื้อหมูส่วนสะโพก หั่นเป็นเส้น 500 กรัม
• ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
• ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
• พริกไทยเม็ด 10 กรัม
• กระเทียม 15 กรัม

หมายเหตุ : สูตรนี้รสชาติจะออกเค็ม ถ้าใครไม่กินเค็มลดปริมาณซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะได้ค่ะ

วิธีทำหมูพวงหมูร้อยตอก
1. โขลกกระเทียมกับพริกไทยให้ละเอียด
2. ใส่กระเทียมพริกไทยที่โขลกแล้ว ซอสปรุงรส และซีอิ๊วขาว ลงไปหมักกับหมู คลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ 30 นาที
3. นำตอกมาร้อยให้เป็นพวงแบบนี้ค่ะ เมื่อเราร้อยหมูเสร็จแล้วให้นำไปตากแดด 2 ชั่วโมงค่ะ (เราตากตอน 4 โมงเย็น)
4. ตั้งน้ำมันให้ร้อนแล้วนำหมูลงทอดค่ะ เมื่อหมูสุกแล้วตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน กินคู่กับข้าวเหนียว จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่ว

ขอขอบพระคุณที่มา กระปุกดอทคอม
https://cooking.kapook.com/view151303.html

12 สุดยอดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเจงกิสข่าน

12 สุดยอดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเจงกิสข่าน


เจงกีสข่านเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก เขาเกิดที่ริมฝั่งแม่น้ำโอนอนในปี ค.ศ. 1162 และคาดว่าการเสียชีวิตของเขาจะเกิดขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1227 แม้ว่ารายละเอียดจะไม่ได้รับการยืนยันก็ตาม เขาเป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกลซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดที่ต่อเนื่องกัน เขาเป็นรัฐบุรุษทางการเมืองและเป็นอัจฉริยะด้านการทหาร และเขาประสบความสำเร็จในการรวมชนเผ่าเร่ร่อนจำนวนมากภายใต้การนำของเขา

1. ชื่อจริงของเขาคือเจงกิสหรือไม่?
คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นคือไม่ ชื่อจริงของเจงกิสข่านคือ “เทมูจิน” ซึ่งแปลว่า “ช่างตีเหล็ก” ชื่อเจงกีสข่านไม่ได้มอบให้เขาจนกระทั่งปี 1206 เมื่อเขาได้รับการประกาศให้เป็นผู้นำชาวมองโกลโดยสภาเผ่าคุรุลไต ชื่อข่านถูกกำหนดให้สะท้อนถึงสถานะของเขาในฐานะผู้นำ แต่ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เจงกิส” ก็ยังไม่ชัดเจน นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่ามันหมายถึงผู้ปกครอง "สูงสุด" หรือ "สากล"

2. มีรูปภาพหรือรูปภาพของเขาหรือไม่?
คุณอาจเคยเห็นภาพบางส่วนของเขาบนอินเทอร์เน็ตหรือในหนังสือ แต่ภาพเหล่านี้ไม่ใช่ภาพที่แท้จริงของเขา ไม่มีบันทึกใดที่อธิบายได้ชัดเจนว่าเขามีลักษณะอย่างไร นักประวัติศาสตร์จึงรู้จักรูปร่างหน้าตาของเขาน้อยมาก เหตุผลเบื้องหลังคือไม่มีรูปปั้นของเขารอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์และนักเขียนหลายคน เขาเป็นคนร่างสูง แข็งแรง ผมยาวและเครา และมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยม คำอธิบายที่น่าสนใจที่สุดของเจงกิสข่านมาจากนักประวัติศาสตร์ราชิด อัลดิน ซึ่งระบุชัดเจนว่าเขามีตาสีเขียวและผมสีแดง สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับคำอธิบายนี้คือเขาไม่เคยพบกับผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ แต่อ้างว่ารู้มากเกี่ยวกับเขาอย่างมั่นใจ

3. เขาฝึกฝนความอดทนทางศาสนา
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่น่าอัศจรรย์ซึ่งแยกเขาออกจากผู้ปกครองในสมัยโบราณอีกหลายคน ผู้ปกครองคนอื่นๆ หลายคนยังคงมีอคติทางศาสนาที่เข้มงวด แต่สิ่งนี้ไม่เป็นความจริงสำหรับเจงกิสข่าน เขาให้เสรีภาพทางศาสนาในทุกดินแดนของเขา และในระดับบุคคล ข่านผู้ยิ่งใหญ่มีจิตวิญญาณมาก เขามักจะสวดอ้อนวอนในเต็นท์ของเขาก่อนการรณรงค์ครั้งสำคัญและพบปะกับผู้นำของศาสนาต่าง ๆ เพื่อหารือเกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมกันของอาณาจักรและความเชื่อของพวกเขา เชื่อกันว่าความอดทนของเขามีแรงจูงใจทางการเมือง ในขณะที่เขาคิดว่าอาณาจักรที่พึงพอใจจะมีโอกาสน้อยที่จะก่อกบฏ

4. ความตายลึกลับ
กฎที่ยิ่งใหญ่ของเจงกิสข่านสิ้นสุดลงเมื่อใดและอย่างไรยังคงเป็นปริศนา แหล่งข่าวบางแหล่งอ้างว่าเขาเสียชีวิตในปี 1227 ด้วยการตกจากหลังม้า ในขณะที่แหล่งอื่นปฏิเสธความจริง แหล่งข่าวรายหนึ่งอ้างว่าการตายของเขาเกิดจากโรคมาลาเรีย และเกมคาดเดาเกี่ยวกับการตายของเขายังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ หลุมฝังศพของเขาตั้งอยู่ใกล้ภูเขามองโกเลีย แต่ไม่มีจารึก

5. วัยเด็กที่ยากลำบาก
ตั้งแต่เริ่มพูด เจงกิสข่านต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในชีวิต พ่อของเขาถูกวางยาพิษและถูกฆ่าตายเมื่ออายุเพียงเก้าขวบ ชนเผ่าของเขาปล่อยให้แม่เลี้ยงลูกทั้งเจ็ดของเธอเพียงลำพังโดยไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ เขาใช้เวลาในวัยเด็กของเขาในการล่าสัตว์เพื่อเอาชีวิตรอด และมีรายงานบางฉบับว่าเขาฆ่าพี่ชายของเขาเองในการโต้เถียงเรื่องอาหาร เจงกีสข่านอดทนต่อความยากลำบากมากมาย รวมถึงการเป็นทาส ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ และความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ของเขาได้เห็นเขาผ่านช่วงขึ้นๆ ลงๆ เหล่านี้หลายครั้ง หลังจากที่เขาขึ้นสู่อำนาจ เขาเริ่มสร้างพันธมิตรกับเผ่าอื่นและสร้างอาณาจักรของเขา ภายในปี 1206 เขาได้รวมตัวเองเป็นผู้นำที่มีความสามารถ และการพิชิตของเขายังคงดำเนินต่อไป

6. นายพลของเขาเคยเป็นศัตรูมาก่อน
ข่านเป็นหน่วยสอดแนมที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมและสามารถระบุชายที่มีทักษะหรือประสบการณ์คนใดให้กลายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของเขาได้อย่างง่ายดาย มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับหนึ่งในศัตรูของเขาที่พยายามจะฆ่าข่านในการต่อสู้แต่พลาดเป้าไป ในตอนท้ายของการต่อสู้ ข่านพูดกับกองกำลังศัตรู เผ่าไทจุสสึ และถามว่าใครเป็นคนพยายามจะฆ่าเขา ชายคนหนึ่งยืนขึ้นอย่างกล้าหาญและยอมรับการโจมตี ต่อมาเจงกิสเสนอตำแหน่งที่น่านับถืออย่างสูงในฐานะนายทหารในกองทัพของเขา ทหารคนนี้ได้รับฉายาว่า "ลูกศร" ตามอาวุธที่เขาเคยพยายามฆ่าข่าน

7. เขาไม่กลัวการทำลาย
ว่ากันว่าข่านเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ยอมจำนนต่อการปกครองของมองโกเลียก่อนเสมอ แต่ก็ไม่อายที่จะโจมตีผู้ที่ลังเลใจ ตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อจักรวรรดิควาเรซมิดไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขของการปกครองมองโกล แต่กลับละเมิดสนธิสัญญา ในการตอบโต้ ข่านระดมกองทัพโดยมีเป้าหมายเดียวคือทำลายจักรวรรดิควาเรซมิดไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ในขั้นต้น ข่านเสนอข้อตกลงทางการค้ากับกษัตริย์ แต่ทูตของข่านถูกสังหาร สิ่งนี้ยิ่งทำให้ความโกรธของเขากระวนกระวาย และเขาก็เริ่มโจมตีอาณาจักรควาเรซมิดในเปอร์เซียอย่างเต็มรูปแบบ สิ่งที่ตามมาคือสงครามครั้งใหญ่ที่ชาวเปอร์เซียจำนวนมากเสียชีวิต เขาไม่ได้หยุดหลังจากทำลายอาณาจักรควาเรซมิด เขามีคะแนนอื่นที่จะชำระ ส่วนหนึ่งของการโจมตีอาณาจักรเปอร์เซีย เขาขอกองกำลังจาก Tangut จากภูมิภาค Xia ตะวันตกของจีนเพื่อสนับสนุนเขา พวกเขาปฏิเสธ และเจงกิสสั่งประหารราชวงศ์เพื่อเป็นการลงโทษสำหรับความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขา

8. รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตนับล้าน
จำนวนผู้เสียชีวิตที่เจงกีสข่านรับผิดชอบนั้นค่อนข้างยากที่จะระบุได้ แต่นักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านคนหรือประมาณสามในสี่ของประชากรอิหร่านในปัจจุบัน การเสียชีวิตจำนวนมากเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามกับจักรวรรดิควาเรซมิด นักสถิติอ้างว่าจำนวนผู้เสียชีวิตนี้อาจลดจำนวนประชากรของโลกลงได้เกือบ 11 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าเขาจะมีส่วนร่วมอย่างมากในฐานะผู้นำ แต่การสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่ในรัชสมัยของพระองค์มักจะทำให้เงามืดเหนือการปกครองของเขาเสมอ

9. ระบบไปรษณีย์ระหว่างประเทศระบบแรก
เจงกีสข่านเป็นบุคคลแรกๆ ที่สร้างระบบไปรษณีย์ระหว่างประเทศเพื่อยกระดับเครือข่ายการสื่อสารของเขา เขาแนะนำบริการ "Yam" ซึ่งใช้บริการจัดส่งทางไปรษณีย์ นักบิดเร็ว และหยุดพักทุกสองสามไมล์ พวกเขาสามารถครอบคลุมได้ถึง 200 ไมล์ต่อวัน ระบบที่น่าเหลือเชื่อนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นตาและหูของข่าน และเขาสามารถรับข้อมูลทั้งหมดที่เขาต้องการได้เพียงแค่นั่งบนบัลลังก์ของเขา ระบบทั้งหมดได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้การขนย้ายสินค้าทำได้ง่ายเกินไป แยมสามารถติดตามประเด็นทางการเมืองและการทหาร และยังติดต่อกับสายลับเพื่อราชอาณาจักรอีกด้วย ทำหน้าที่เป็นความมั่นคงในระหว่างการเยือนบุคคลสำคัญต่างด้าวอีกด้วย เทคโนโลยีนี้ซึ่งถูกสร้างและใช้งานครั้งแรกโดยข่าน ถูกใช้โดยนักสำรวจชื่อดัง มาร์โค โปโล

10. นักวางกลยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่
เจงกีสข่านเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจ การครองราชย์ของเขามีระเบียบและมั่นคงอย่างมาก กองทัพของเขาใช้เครือข่ายสายลับเพื่อตรวจจับและจัดการกับภัยคุกคามต่อการปกครองของเขา โดยทั่วไปแล้วเจงกิสข่านถือว่าสร้างประเทศมองโกเลียที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งด้วยวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมและอัจฉริยะด้านการทหารของเขา

11. ความยุติธรรมคือความกังวลหลักของเขา
เจงกีสข่านเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความยุติธรรมในหมู่ชาวมองโกเลีย เขามีมุมมองและมุมมองที่ไม่เหมือนใครซึ่งทำให้เขาแตกต่างจากปัญญาชนในสมัยนั้น เขาภักดีต่ออาณาจักรของเขาในทุกวิถีทาง แต่ความรู้สึกยุติธรรมของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอาณาจักรเท่านั้น เขาได้นำไปประยุกต์ใช้กับบุตรชายของเขาเองด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือสงครามระหว่างพวกเขาอีก เขามั่นใจว่าหลังจากการตายของเขา จักรวรรดิถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกันในหมู่พวกเขา ด้วยวิสัยทัศน์และสติปัญญา เขาได้เข้าสู่หัวใจของผู้คนนับล้านในอาณาจักรของเขา

12. ความพยายามของโซเวียตในการขจัดมรดกของเขา
เจงกีสข่านกลายเป็นวีรบุรุษของชาติ เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิมองโกเลีย เขายังถูกมองว่าเป็นพ่อของมองโกเลียด้วยความก้าวหน้าอย่างมากในชาติของพวกเขา แต่โซเวียตที่เข้ามามีอำนาจในศตวรรษที่ 20 พยายามที่จะกำจัดชื่อของเจงกีสข่านออกจากหนังสือประวัติศาสตร์ โดยเชื่อว่ามรดกของเขาจะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อความเป็นผู้นำของพวกเขา พวกเขาห้ามไม่ให้ผู้คนพูดชื่อของเขา และเพื่อพยายามขจัดร่องรอยของเขาทั้งหมด โซเวียตจึงนำเขาออกจากหนังสือและตำราเรียนทั้งหมด พวกเขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น พวกเขายังจำกัดผู้คนจากการแสวงบุญไปยังบ้านเกิดของเขาด้วย

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีอีกต่อไป เมื่อชาวมองโกเลียได้รับเอกราชอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1990 พวกเขาได้ฟื้นฟูชื่อของเจงกีสข่านในฐานะผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของพวกเขา ตั้งแต่นั้นมา ข่านก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในด้านศิลปะและวัฒนธรรมสมัยนิยม และท่าอากาศยานกลางของประเทศได้รับการตั้งชื่อตามเขา แม้กระทั่งทุกวันนี้ สกุลเงินของมองโกเลียยังคงมีภาพลักษณ์ของเขา และผู้คนก็เคารพผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาในทุกประการโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงที่กระหายเลือดของเขา

Popular Posts