คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสึนามิ เป็นคลื่นน้ำขึ้นน้ำลงชนิดหนึ่ง แต่จริงแล้วสึนามิไม่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ อันที่จริง สึนามิก็เป็นเหมือนคลื่นทะเลทั่วไป เพียงแต่มีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ สึนามิมี ท้องคลื่น และ ยอดคลื่น ไม่มีการเคลื่อนที่ของน้ำ แต่เป็นการเคลื่อนที่ของพลังงานผ่านน้ำ ความแตกต่างอยู่ตรงแหล่งที่มาของพลังงาน สำหรับคลื่นปกติในมหาสมุทร พลังงานมาจากลม เพราะว่ามันส่งผลกระทบผิวหน้าเท่านั้น คลื่นปกติจึงมีขนาดและความเร็วจำกัด แต่สึนามิเกิดจากพลังงานที่ก่อตัวใต้น้ำจากการปะทุของภูเขาไฟ จากแผ่นดินถล่มใต้น้ำ หรือที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือแผ่นดินไหวที่พื้นมหาสมุทร ซึ่งเกิดจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ ปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาในน้ำ พลังงานนี้เดินทางสู่ผิวน้ำ ผลักดันน้ำและยกน้ำขึ้นสูงเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปกติ แต่แรงโน้มถ่วงดึงน้ำกลับลงมา ทำให้พลังงานกระเพื่อมออกไปในแนวนอน นี่คือกำเนิดของสึนามิ
เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมง เมื่อสึนามิยังอยู่ห่างจากชายฝั่ง มันยากที่จะสังเกตเห็นสึนามิ เพราะมันเคลื่อนที่ตลอดความลึกของน้ำ แต่เมื่อสึนามิมาถึงบริเวณน้ำตื้น จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ผลของความตื้นของพื้นทะเล เพราะว่าบริเวณนั้นมีปริมาณน้ำน้อยลง พลังงานมหาศาลที่ยังมีมากอยู่จึงถูกบีบอัด ความเร็วคลื่นลดลง ขณะที่ความสูงคลื่นเพิ่มขึ้นได้ถึง 100 ฟุต คำว่า สึนามิ เป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า คลื่นท่าเรือ ได้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า สึนามิมักจะมาปรากฏให้เห็นต่อเมื่อมันถึงใกล้ชายฝั่งแล้ว ถ้าท้องคลื่นของสึนามิมาถึงชายฝั่งก่อน น้ำทะเลจะถอยห่างจากชายฝั่งไปไกลกว่าปกติ ก่อนที่ตัวคลื่นจะเข้าตีชายฝั่ง ซึ่งก่ออันตรายได้มากจากความเข้าใจผิด สึนามิไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังโถมทำลายตึกและต้นไม้ ที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินไกลถึงหนึ่งไมล์ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่ำ เท่านั้นยังไม่พอ น้ำมหาศาลยังไหลย้อนกลับสู่ทะเล ลากเอาซากสลักหักพัง และสิ่งใด หรือใครก็ตาม ที่โชคร้ายพอที่จะไปอยู่ในเส้นทางนั้น
เหตุการณ์สึนามิ ในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อปี 2004 นับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติธรรมชาติ ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ คร่าคนไปมากกว่า 200,000 คนทั่วเอเชียใต้ แล้วเราจะปกป้องตัวเอง จากพลังธรรมชาติที่ร้ายแรงนี้อย่างไร ผู้คนในบางภูมิภาคได้เคยพยายามหยุดสึนามิด้วยกำแพงกั้นทะเล ประตูกั้นน้ำ และร่องน้ำเพื่อเบี่ยงเส้นทางน้ำ แต่ก็ไม่ได้ผลเสมอไป เมื่อปี 2011 สึนามิได้ข้ามกำแพงกั้นน้ำซึ่งปกป้องโรงไฟฟ้าฟุกุชิมาของประเทศญี่ปุ่น นำไปสู่ภัยพิบัตินิวเคลียร์ เพิ่มเติมจากที่มันคร่าคนไปแล้วกว่า 18,000 ชีวิต นักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายจำนวนมาก จึงเพ่งความสนใจที่การตรวจจับสึนามิแต่เนิ่น โดยจับตาดูความดันใต้น้ำ และการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก และจัดตั้งเครือข่ายการสื่อสารครอบคลุมทั่วโลก เพื่อแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อธรรมชาติทรงพลังเกินกว่าจะหยุดยั้ง การรับมือที่ปลอดภัยที่สุดคือหลบหลีกมัน
ที่มา TED-Ed Youtube Channel