google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

สึนามิเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อ 479 ปีก่อนคริสต์กาล กองทัพเปอร์เซียเข้าโจมตีชาวกรีกที่เมืองโพทิเดีย กระแสน้ำถอยห่างจากชายฝั่งไปไกลกว่าปกติ เปิดเส้นทางสะดวกให้กับการเดินทัพ แต่นั่นไม่ใช่ว่ากองทัพเปอร์เซียโชคดีนะ ทหารยังข้ามไปไม่ถึงครึ่งทาง น้ำทะเลได้ย้อนกลับมาเป็นคลื่นสูงกว่าคลื่นใดๆ ที่พวกเขาเคยเห็น โถมทำลายกองทัพเปอร์เซีย ชาวโพทิเดียเชื่อว่าพวกเขาพ้นภัยด้วยความเกรี้ยวกราดแห่งเทพโพไซดอน แต่ที่จริง สิ่งที่ช่วยพวกเขาไว้ น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วมากมาย คลื่นสึนามิ

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสึนามิ เป็นคลื่นน้ำขึ้นน้ำลงชนิดหนึ่ง แต่จริงแล้วสึนามิไม่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง ที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ อันที่จริง สึนามิก็เป็นเหมือนคลื่นทะเลทั่วไป เพียงแต่มีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ สึนามิมี ท้องคลื่น และ ยอดคลื่น ไม่มีการเคลื่อนที่ของน้ำ แต่เป็นการเคลื่อนที่ของพลังงานผ่านน้ำ ความแตกต่างอยู่ตรงแหล่งที่มาของพลังงาน สำหรับคลื่นปกติในมหาสมุทร พลังงานมาจากลม เพราะว่ามันส่งผลกระทบผิวหน้าเท่านั้น คลื่นปกติจึงมีขนาดและความเร็วจำกัด แต่สึนามิเกิดจากพลังงานที่ก่อตัวใต้น้ำจากการปะทุของภูเขาไฟ จากแผ่นดินถล่มใต้น้ำ หรือที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือแผ่นดินไหวที่พื้นมหาสมุทร ซึ่งเกิดจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ ปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาในน้ำ พลังงานนี้เดินทางสู่ผิวน้ำ ผลักดันน้ำและยกน้ำขึ้นสูงเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปกติ แต่แรงโน้มถ่วงดึงน้ำกลับลงมา ทำให้พลังงานกระเพื่อมออกไปในแนวนอน นี่คือกำเนิดของสึนามิ



เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมง เมื่อสึนามิยังอยู่ห่างจากชายฝั่ง มันยากที่จะสังเกตเห็นสึนามิ เพราะมันเคลื่อนที่ตลอดความลึกของน้ำ แต่เมื่อสึนามิมาถึงบริเวณน้ำตื้น จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ผลของความตื้นของพื้นทะเล เพราะว่าบริเวณนั้นมีปริมาณน้ำน้อยลง พลังงานมหาศาลที่ยังมีมากอยู่จึงถูกบีบอัด ความเร็วคลื่นลดลง ขณะที่ความสูงคลื่นเพิ่มขึ้นได้ถึง 100 ฟุต คำว่า สึนามิ เป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า คลื่นท่าเรือ ได้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า สึนามิมักจะมาปรากฏให้เห็นต่อเมื่อมันถึงใกล้ชายฝั่งแล้ว ถ้าท้องคลื่นของสึนามิมาถึงชายฝั่งก่อน น้ำทะเลจะถอยห่างจากชายฝั่งไปไกลกว่าปกติ ก่อนที่ตัวคลื่นจะเข้าตีชายฝั่ง ซึ่งก่ออันตรายได้มากจากความเข้าใจผิด สึนามิไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังโถมทำลายตึกและต้นไม้ ที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินไกลถึงหนึ่งไมล์ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่ำ เท่านั้นยังไม่พอ น้ำมหาศาลยังไหลย้อนกลับสู่ทะเล ลากเอาซากสลักหักพัง และสิ่งใด หรือใครก็ตาม ที่โชคร้ายพอที่จะไปอยู่ในเส้นทางนั้น

เหตุการณ์สึนามิ ในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อปี 2004 นับเป็นหนึ่งในภัยพิบัติธรรมชาติ ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ คร่าคนไปมากกว่า 200,000 คนทั่วเอเชียใต้ แล้วเราจะปกป้องตัวเอง จากพลังธรรมชาติที่ร้ายแรงนี้อย่างไร ผู้คนในบางภูมิภาคได้เคยพยายามหยุดสึนามิด้วยกำแพงกั้นทะเล ประตูกั้นน้ำ และร่องน้ำเพื่อเบี่ยงเส้นทางน้ำ แต่ก็ไม่ได้ผลเสมอไป เมื่อปี 2011 สึนามิได้ข้ามกำแพงกั้นน้ำซึ่งปกป้องโรงไฟฟ้าฟุกุชิมาของประเทศญี่ปุ่น นำไปสู่ภัยพิบัตินิวเคลียร์ เพิ่มเติมจากที่มันคร่าคนไปแล้วกว่า 18,000 ชีวิต นักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายจำนวนมาก จึงเพ่งความสนใจที่การตรวจจับสึนามิแต่เนิ่น โดยจับตาดูความดันใต้น้ำ และการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก และจัดตั้งเครือข่ายการสื่อสารครอบคลุมทั่วโลก เพื่อแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อธรรมชาติทรงพลังเกินกว่าจะหยุดยั้ง การรับมือที่ปลอดภัยที่สุดคือหลบหลีกมัน
ที่มา TED-Ed Youtube Channel

อันดับสัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน


ทำไมบางคนถึงผมร่วง

ชาร์ลส์ ดาร์วิน, ไมเคิล จอร์แดน และโยดา มีอะไรที่เหมือนกันบ้าง พวกเขาหัวล้านเหมือนกับบุคคลสำคัญมากมายในประวัติศาสตร์หรือในนิยาย ในบางกรณีพวกเขาเลือกที่จะหัวล้านเอง โดมกลมๆที่เปล่งประกายเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดเป็นเวลาหลายศตวรรษ ถึงกระนั้นก็ตาม คนหัวล้านมากมายยังคงหวังว่าผมของพวกเขาจะกลับคืนมา นักวิทยาศาสตร์ได้ไตร่ตรองอยู่นานว่า "ทำไมบางคนเสียเส้นผมไปและทำอย่างไร พวกเราจะทำให้เส้นผมกลับคืนมา" คนที่มีผมเต็มศีรษะ มีผมประมาณ 100,000 ถึง 150,000 เส้นบนหนังศึรษะ และนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสองประเด็น เกี่ยวกับเจ้าพุ่มหนาแน่นนี้



ประการแรก เส้นผมอุยที่พวกเราเห็นเกิดขึ้นมาจากเคราติน โปรตีนที่เหลือจากเซลล์ตายที่ถูกดันขึ้นไป ขณะที่เซลล์ใหม่เติบโตข้างใต้มัน

ประการที่สอง โครงสร้างที่ทำให้เกิดการเติบโตของเส้นผมเรียกว่า ปุ่มรากผม เครือข่ายอวัยวะซับซ้อนที่ ถูกสร้างขึ้นก่อนพวกเราเกิด และทำให้เส้นผมเกิดขึ้นมาในวัฏจักรที่ไม่รู้จบ

วัฏจักรนี้มี 3 ระยะหลักๆ ระยะแรกคือ อนาเจน เป็นระยะเติบโตกว่า 90% ของปุ่มรากผมอยู่ในระยะนี้ ทำให้พวกมันดันเส้นผมขึ้นมาในอัตรา 1 เซนติเมตรต่อเดือน อนาเจนสามารถอยู่ได้เป็นเวลาสองถึงเจ็ดปี ขึ้นอยู่กับยีนของคุณ หลังจากระยะเวลาการเติบโตนี้ สัญญาณภายในผิวหนังจะบอกปุ่มรากผมให้เข้าสู่ระยะใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ คาทาเจน (catagen) หรือระยะถดถอย ทำให้ปุ่มรากผมหดตัวเหลือส่วนสั้นๆ ของความยาวดั้งเดิมของมัน คาทาเจนดำรงอยู่ได้ประมาณสองถึงสามสัปดาห์ และไม่ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงปุ่มรากผม ทำให้ผมเป็นกระเปาะ หมายความว่ามันพร้อมที่จะร่วงแล้ว ในที่สุด เส้นผมก็เข้าสู่ระยะเทโลเจน (telogen) เป็นระยะพัก ซึ่งนาน 10 ถึง 12 สัปดาห์ และมีผลต่อ 5-15% ของปุ่มรากผมที่หนังศีรษะ ในระยะเทโลเจน เส้นผมที่เป็นกระเปาะ สามารถร่วงได้ภายในวันเดียวถึง 200 เส้น ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างปกติ

หลังจากนั้น วัฏจักรการเติบโตก็เริ่มต้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ศีรษะทั้งหมดจะมีผมดก และ อันที่จริง ผมที่ศีรษะของบางคนขึ้นเป็นหย่อมๆมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย 95%ของการมีหัวล้านในผู้ชายสามารถเชื่อมโยงกับรูปแบบหัวล้านของเพศชาย หัวล้านเป็นกรรมพันธุ์ และในคนที่เป็นแบบนี้ ปุ่มรากผมจะไวอย่างไม่น่าเชื่อต่อฤทธิ์ของดีไฮโดรเทสทอสเทอโรน (ดีเอชที) ผลิตผลทางฮอร์โมนที่เกิดจากเทสทอสเทอโรน ดีเอชทีทำให้เกิดการหดตัวในปุ่มรากผมที่แสนจะอ่อนไหวเหล่านี้ ทำให้ผมสั้นขึ้นและบางลง แต่การสูญเสียไม่ได้เกิดขึ้นในทันที มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ตามมาตรวัดที่เรียกว่า นอร์วูดสเกล (Norwood Scale) ซึ่งบอกถึงความรุนแรงของการสูญเสียผม

ประการแรก ผมจะถอยร่นตามแนวขมับ จากนั้นผมบนกระหม่อมจะเริ่มบางลงเป็นรูปวงกลม ที่ระดับสูงสุดตามมาตรวัดนี้ บริเวณที่หัวล้านจะบรรจบกัน และขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดจะเหลือแต่วงผมหรอมแหรมรอบๆขมับ และด้านหลังของศีรษะ พันธุกรรมไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมร่วง ความเครียดเป็นเวลานานสามารถส่งสัญญาณ ที่ช็อกปุ่มรากผม และบังคับมันเข้าสู่ระยะพัก ก่อนเวลาอันควร ผู้หญิงบางคนประสบกับปัญหานี้ หลังจากคลอดลูก ปุ่มรากผมจะเสียความสามารถในการ เข้าสู่ระยะอนาเจน ซึ่งเป็นระยะเติบโต คนที่ผ่านการเคมีบำบัดก็ประสบกับปัญหานี้ชั่วคราว แต่ขณะที่การมีหัวล้าน ดูเหมือนจะเป็นถาวร การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ได้เปิดเผยสิ่งที่ตรงกันข้าม ภายใต้ผิวหนัง รากผมที่ให้กำเนิดเส้นผมของพวกเรา อันที่จริงยังคงอยู่

ด้วยความรู้นี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนายาที่ ทำให้ระยะพักสั้นลงได้ และบังคับให้ปุ่มรากผมเข้าสู่ระยะอนาเจน ยาตัวอื่นๆต่อสู้กับหัวล้านในเพศชาย โดยการขัดขวางการเปลี่ยนจากเทสทอสเทอโรนไปเป็นดีเอชที เพื่อมันจะได้ไม่มีผลกับปุ่มรากผมที่อ่อนไหวเหล่านั้น สเต็มเซลล์ก็มีบทบาทในการควบคุมวัฏจักรการเติบโตอีกด้วย ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์กำลังตรวจสอบว่าพวกเขาจะควบคุมการทำงานของเซลล์เหล่านี้เพื่อกระตุ้นปุ่มรากผมให้สร้างเส้นผมอีกครั้งได้หรือไม่ และในระหว่างนี้ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ฝึกฝนวิธีการฟิ้นฟูผมของพวกเขา คนที่กำลังจะหัวล้าน หรือกำลังคิดว่าจะทำให้หัวล้าน จะนึกได้ว่า เขามีเพื่อนพวกเดียวกันเยอะ
ที่มา TED-Ed Youtube Channel


ใครคิดค้นอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นได้อย่างไร

ดังนั้นคุณเคยสงสัยมั้ย ว่าใครกันนะคิดค้นอินเทอร์เน็ต? บางคนได้กลายเป็นมหาเศรษฐี ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ต แต่ที่พวกเขาทำไม่ได้คิดค้นอะไร เพียงแต่ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างฉลาด ดังนั้นคนที่ "คิดค้นอินเทอร์เน็ต" ควรจะ โคตรมหาเศรษฐี สมควรแก่การพูดว่า, พระเจ้า พวกเขาไม่โคตรรวยหรือ? แล้วใครควรจะได้ชื่อว่า "คิดค้นอินเทอร์เน็ต" ล่ะ? เป็นเนิร์ดชาวอังกฤษ ในแลปใต้ดินที่สวิส? บางทีชาวอเมริกันแสนฉลาดที่ถูกคุกคามด้วย การทำลายล้างนิวเคลียร์โดยชาวรัสเซีย? เป็นความคิดที่ดี หรือว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ตัดสินใจที่จะเรียก เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของพวกเขาว่า "เลอ อินเทอร์เน็ต"? น่าสนใจ หรือมันต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์มากมาย ที่ได้ทำบางสิ่ง ที่พวกเขารู้ว่าเป็นประโยชน์ แต่คิดไม่ถึงว่า มันจะขยายใหญ่ขนาดนี้?

เอาล่ะ ลองฟังข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมานะ อินเทอร์เน็ต หรือ กลุ่มเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อ กันและกันกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์อื่น ๆ แล้วจากนั้นก็มีเวิลด์ไวด์เว็บซึ่งเป็น วิธีการทำให้ง่ายต่อการแบ่งปัน ข้อมูล โดยใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันทั้งหมดนั้นเอง อินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักทุกวันนี้ เกิดและพัฒนามาอย่างน้อย 40 ปี เรื่องหนึ่งที่เป็นที่รู้กันแพร่หลายแบบผิดๆ ก็คือว่า อินเทอร์เน็ตได้รับการพัฒนาโดยประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้พวกเขามีเครือข่ายการสื่อสารที่จะมีชีวิตรอดสงครามนิวเคลียร์ ตามที่อ้างอิงโดยหนึ่งในผู้ก่อตั้ง เครือข่ายแรกที่อาร์พาเนตในปี 1960, การทดลองนี้ เครือข่ายแรกไม่ได้เกี่ยวกับการสื่อสารเลย มันเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานหน่วยประมวลผล หรือระยะเวลาที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งโดยทั่วไปหมายความว่านักวิทยาศาสตร์ สามารถแบ่งปันประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ด้วย นั่นเป็นเพราะจนถึงปี 1960 มันไม่มี เครือข่ายแต่คุณมีเครื่องคำนวณขนาดใหญ่ เรียกว่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ในห้อง และงานซึ่งประมวลผลโดยคอมพิวเตอร์งานต่องาน การทำงานร่วมกัน คอมพิวเตอร์เหล่านี้อาจ ทำการประมวลผลงานได้หลายชิ้นพร้อมกันได้ ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพของเครื่องสามารถนำมาใช้โดย นักวิทยาศาสตร์หลายคนพร้อมกันในครั้งเดียว และเห็นได้ชัดว่าเมื่อคุณเริ่มต้นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน



คุณเริ่มสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำที่จะทำให้การสื่อสารระหว่างพวกมันง่ายขึ้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ ต่อมามาดูที่แนวคิดอื่นๆที่สำคัญที่ได้ก่อตัวขึ้นที่ไหนสักแห่ง เริ่มต้นด้วยการสลับแพ็คเก็ต ในสหราชอาณาจักรมีเครือข่ายการเชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดยแลปกายภาพแห่งชาติ แต่ไม่เคยได้แพ่งพราย เพราะมันไม่ได้รับการสนับสนุนเงินทุน แต่พวกเขาก็คิดไอเดียของสลับแพ็คเก็ต, วิธีการหลีกเลี่ยงความแออัดในเครือข่ายที่ไม่ว่างโดยตัดข้อมูลที่ปลายด้านหนึ่งและวางมันกลับมารวมกันที่อีกด้าน ฝรั่งเศสเองก็ยังมีบทบาทด้วย พวกเขากำลังทำงานบนเครือข่ายทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าซิคลาดิส(CYCLADES) แต่พวกเขาไม่ได้มีงบประมาณขนาดใหญ่เพื่อให้พวกเขาตัดสินใจที่จะทำงานในการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เมื่อเทียบกับการทำงานกับคอมพิวเตอร์เกตเวย์

ตอนนี้ ต้องขอยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์มาก แต่ตามทฤษฎีหนึ่ง งานวิจัยของพวกเขางานหนึ่ง ที่แยกออกมาคือชื่อว่า "อินเทอร์เน็ต" แต่คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้เรื่องนี้ ถ้าคุณไม่อยากที่จะเชื่อ เอาล่ะ ทีนี้ ก็ตอนต้นปี 1970 มีโครงสร้างพื้นฐานแบบเป็นคอมพิวเตอร์อยู่มาก แต่ขาดการสื่อสารระหว่างกัน เป็นที่น่าอึดอัดใจและเป็นจุดด้อย เพราะเครือข่ายที่แตกต่างกันไม่สามารถสื่อสารกันได้ TCP/IP แก้ปัญหานี้ได้ โปรโตคอล TCP/IP ทำให้เกิดรูปแบบพื้นฐาน ภาษาสื่อสารของอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำป้ายกำกับที่แพ็คเก็ตของข้อมูล และทำให้แน่ใจว่า แม้ว่าบางชิ้นส่วนของข้อมูลเดียวกัน ใช้เส้นทางที่แตกต่างกัน พวกมันทั้งหมดมาถึงที่ปลายทางและสามารถประกอบเป็นข้อมูลที่ส่งมาได้ เครือข่ายจริงๆเริ่มการสื่อสาร กับแต่ละที่ต่าง ๆ กัน ในปี 1975 คุณสามารถอ้างว่า นี่ต่างหากล่ะ เป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตจริงๆ อีเมลก็เป็นสิ่งสำคัญมาก มันได้รับการพัฒนาในปี 1972 สำหรับอาร์พาเนต การจราจรทางอินเทอร์เน็ตที่มากที่สุดในปี 1976 คืออีเมล

เนื่องจากนักวิชาการแลกเปลี่ยนความคิดกันและกันผ่านโน้ตทางอิเล็กทรอนิกส์ จนจราจรข้อมูลติดขัด เครือข่ายที่สามารถพูดคุยกันได้นี้ ทำให้การสื่อสารกลายเป็นเรื่องง่าย แต่ทั้งหมดนี้คือสื่อสารแบบข้อความล้วน และตัวหนังสือล้วนมันก็ไม่สวยเลยเวลาที่อ่าน ในช่วงปี 1980 ชาวอังกฤษชื่อว่า ทิโมธี เบิร์นเนอร์-ลี ทำงานอยู่กับเซิร์น องค์การเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป ที่นักฟิสิกส์กำลังพยายามที่จะไขคำตอบว่า จักรวาลประกอบด้วยอะไรบ้าง เขาต้องการที่จะจัดการข้อมูลระหว่างกันของนักวิทยาศาสตร์และทำให้เกิดการแบ่งปันและเชื่อมต่องานระหว่างกันได้อย่างง่ายดาย ทำให้งานพวกเขามีความคืบหน้าได้มากขึ้น เขาทำเช่นนั้นได้โดยการคิดค้นอินเตอร์เฟซ ซึ่งใช้ HTTP, HTML และ URLs ทำให้เกิดเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตขึ้นมาได้ เขาเรียกว่าเบราว์เซอร์ของเขาว่าเวิลด์ไวด์เว็บ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดค้นอินเทอร์เน็ต แต่เขาก็คิดค้นเว็บ เว็บไซต์ที่เขาสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก อยู่ที่เซิร์นในประเทศฝรั่งเศสในสิงหาคม 1991

ดังนั้นเมื่อโครงสร้างพื้นฐานเริ่มต้นอยู่เข้าที่เข้าทางแล้ว เทคโนโลยีที่สำคัญก็ถูกคิดค้น กระดานข้อความ(บอร์ด)ทางอินเทอร์เน็ต เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดในช่วงยุค 80 บริษัทโทรศัพท์เห็นโอกาสในเชิงพาณิชย์ของศักยภาพของการสื่อสารดิจิตอล เว็บเบราเซอร์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และคนธรรมดาก็ใช้อีเมล แล้วอินเทอร์เน็ตขยายได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และกลายเป็นใช้การงานอย่างแพร่หลาย จากประมาณปี 1995 เป็นต้นมา แต่เดี๋ยวก่อน แล้วรองประธานาธิบดีอัลกอของอเมริกาคิดค้นอินเทอร์เน็ตไม่ใช่หรือ? เอ่อ... ไม่น่าใช่นะ และถ้าคุณอ่านสิ่งที่เขากล่าว คุณจะรู้ว่าเขาไม่เคยอ้างว่าได้คิดค้นนะ แต่มีหลายคนให้เครดิตเขาเนื่องด้วย เขาผลักดันการออกกฎหมายที่สนับสนุนการแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ตนั้นคงมีอยู่เพราะเราต้องการสื่อสารและพวกเราส่วนใหญ่ต้องการที่จะสื่อสาร นั่นเป็นเหตุผลที่มนุษย์ได้กลายเป็นสายพันธุ์ที่ครองโลก คุณสามารถพิจารณาว่าอินเทอร์เน็ตเป็นอีกขั้นหนึ่งของวิวัฒนาการธรรมชาติและการแสดงออกถึงความจำเป็นที่จะต้องวิวัฒนาการก็ได้ อินเทอร์เน็ตไม่ได้ถูกคิดค้นโดยใครคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง แต่เมื่อหน่วยโครงสร้างพื้นฐานถูกวางเข้าด้วยกันโดยหลายๆ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์สุดเจ๋งจากทั่วทุกมุมโลก อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารเครื่องมือค้าปลีก เครื่องมือในการวิจัย เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เครื่องมือสอดแนม เครื่องมือการช้อปปิ้ง เครื่องมือออกเดท เครื่องมือเพื่อความบันเทิง และวิถีการโดดงานในขณะที่ทำให้ดูเหมือนว่าคุณกำลังทำงานหรือเรียนอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณอาจจะทำอยู่ตอนนี้ ในที่สุดแล้ว แม้ว่าคุณกำลังสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณแสดงความคิดเห็น และนั่นอาจทำให้คุณเป็นเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน


อิรัก ไอซิส และสงครามในซีเรีย

ทุกท่าน, คุณคงเริ่มคิดว่าปัญหาในอิรักได้รับการแก้ไขแล้วเพราะไม่ได้ข่าวมาสักพัก ทุกๆอย่างกลับกลายเป็น การ ฆาตกรรม ความยุ่งเหยิง และ ความรุนแรง เกิดอะไรขึ้น?

ในปี 2003 สหรัฐได้บุกอิรักด้วยโดยกล่าวหาว่ามีการติดต่อกับ  ผู้ก่อการร้าย และมีอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ซัดดัม ฮุดเซ็น เผด็จการผู้โหดเหี้ยมปกครองประเทศอยู่ เขาเป็นมุสลิมนิกายสุนหนี่ส่วนน้อยที่กำราบนิกายชีอะส่วนใหญ่ อิรักถูกพิชิดในเวลาอันรวดเร็ว แต่สหรัฐไม่มีแผนให้กับประเทศ แล้วต่อมา ชาวชีอะส่วนใหญ่ที่เคยถูกกดขี่ได้มารับช่วงต่อและเริ่มกดขี่ชาวสุนหนี่ เพราะว่าการกำราบนิกายอื่นได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความคิดที่ดี ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย ที่ชาวสุนหนี่ก็ได้ก่อกบฏขึ้น และกลุ่มก่อการร้ายอย่างอัลกออิดะห์ใช้เล่ห์เหลี่ยมเข้าไปในอิรักและกองกำลังท้องถิ่น ที่ส่วนมากเป็นชาวสุนหนี่ส่วนน้อย แล้วเริ่มโจมตีกองทหารสหรัฐและเริ่มแอบจัดตั้งรัฐใหม่ในอิรักในสงครามกลางเมืองอันนองเลือดปี 2006



ตั้งแต่นั้น ประชาชนชาวอิรักก็ถูกแบ่งแยกโดยศาสนา เป็นตลกร้ายในประวัติศาสตร์ การบุกของสหรัฐได้นำไปสู่รูปแบบใหม่ของการก่อการร้าย ซึ่งสหรัฐต้องการกำจัดเป็นอันดับแรก เพราะตอนนี้อิรักเป็นสถานที่อันสมบูรณ์แบบแก่การฝึกต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อที่จะได้เข้าใจความขัดแย้งที่แสนสับซ้อนนี้ เราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมสองนิกายหลักก่อน ชีอะและสุนหนี่ สุนหนี่มีประมาณ80%ในโลกมุสลิมและชีอะมีประมาณ20% และผู้ยึดมั่นในคำสอนของทั้งสองฝ่ายก็เกลียดกันมาเสียด้วย ซาอุดีอาระเบียและอิรัก ต่างก็เป็นผู้เล่นรายใหญ่ ในเกมส์สองความเชื่อนี้ ทั้งสองประเทศไม่แบ่งแยกรัฐ และศาสนา,ปัญหาภายใน,และเงินจากน้ำมันจำนวนมาก และต่างก็สนับสนุนกลุ่มที่สู้กับความเชื่ออื่น และหนึ่งมนองกรณก่อการร้ายที่สันสนุนโดยซาอุดิอารเบียคือกลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรัก หรือ ISI

ในปี 2010 อารับสปริงค์ได้เปลี่ยสถานการณ์ทั้งหมดในตะวันออกกลาง ในชีเรีย เผด็จการบัลชา อัลอัดชาดไม่ยอมลาออกและได้จุดชนวนสงครามกลางเมืองกับประชาชนของตัวเอง สงครามได้ยืดเยื้อ มีกลุ่มต่างชาติมากมายเข้าร่วมต่อสู้ ส่วนใหญ่เพราะเหตุผลทางศาสนาและเป้าหมายในการสร้างรัฐอิสรามในภูมิภาคนี้ และหนึ่งในนั้นคือISI ที่โหดร้าย ซึ่งตอนนี้กลายเป็น กลุ่มรัฐอิสรามแห่งอิรักและชีเรีย หรือISIS กลุ่มนี้ต่อสู้กับอิรักมาหลายปีและมีทหารที่คลั่งศาสนาและฝึกมาอย่างดีนับพันคน กลุ่มนี้ได้ยึดทางภาคเหนือของอิรักและมีความมุ่งมั่นอย่างที่จะสร้างรัฐศาสนา และกลุ่มนี้ก็เปลี่ยนเกมส์ในชีเรียอย่างไม่มีใครคาดคิด

ISISเป็นกลุ่มที่ป่าถื่อนและหัวรุนแรงอย่างคาดไม่ถึง ทำให้ไม่นานกลุ่มนี้ก็ทำสงครามกับเกือบทุกฝ่ายของกองทัพกบฏชีเรีย พวกเขาโจมตีและสังหารสมาชิคของกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมอื่นๆ ในพื้นที่ของพวกเขา พวกเขาควบคุมและสร้างรัฐอิสรามที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดอย่างมาก นั่นทำให้แม้กระทั่งกลุ่มอัลกออิดะห์และซาอุดิอารเบียต้องตกใจและเลิกให้การสนับสนุน ISIS ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรับผิดชอบกับการสังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์,การระเบิดพลีชีพนับไม่ถ้วน ผู้หญิงและเด็กถูกจับเป็นตัวประกัน,การประหารชีวิตนักโทษและตัดหัว ทุกความสยดสยองในยุคกลางที่เราจะไม่ควรเห็น และการประชุมเต็มไปด้วยหลักมนุษยธรรมได้ตัดสินว่าได้เวลาแล้วที่จะยึดดินแดนของอิรักเพิ่มตั้งแต่สหรัฐถอนตัวจากอิรัก,นายยกรัฐมันตรีชาวชีอะ โนอูรี อัลมาลิกิ ได้ผูกขาดอำนาจและแบ่งแยกชาวชีอะในทุกที่ที่เป็นไปได้ รัฐบาลอิรักถูกมองอย่างกว้างขวางว่า,คดโกง,ไร้ความสามารถ,และถูกเกลียดโดยประชาชนส่วนใหญ่ กองทัพอิรักประกอบไปด้วยทหารประมาณ300000นาย ซึ่งมาจากเงินภาษีจำนวน 25000ล้านดอลลาร์ แต่กลับไม่ภักดีต่อรัฐบาลและหลบหนีหรีอหนีทหาร,ทำให้เสียเมืองไปทีละเมือง เพราะกลุ่ม ISIS ประกาศว่าผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขาจะต้องถูกสังหาร,พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาหมายความตามนั้นจริง

ในเดือนมิถุนายน 2014 พวกนี้ได้เนื้อชิ้นใหญ่ของอิรัก, นั่นคือเมืองโมชูล, เมืองใหญ่อันดับสองของอิรัก พวกเขาขโมยหลายร้อยล้านจากธนาคารที่ยึดได้, ทำให้พวกเขาเป็นองค์กรก่อการร้ายที่รวยที่สุดบนโลก และพวกนี้ก็ทำงานอยู่ตลอดเพื่อสร้างสุดยอดรัฐศาสนายุคกลาง อิหร่านและสหรัฐถึงกับพิจรณาที่จะร่วมกันในการสู้กับกลุ่มนี้ นั่นแสดงว่าสถานการณ์ในตอนนี้น่ากลัวขนาดไหน เหตุการณ์ในอิรักแสดงให้เห็นอีกครั้งถึงการเอาเปรียบประชาชนที่คุณชนะในสงคราม,ปฏิเสธพวกเขา การแสวงหาผลประโยชน์ของประเศที่กำลังฟื้นฟู คือการหว่านเมล็ดปลูกให้เกิดความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน เราก็ต้องทำลายวงจรนี้

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี


หลุมดำถูกทำลายได้หรือไม่

หลุมดำเป็นหนึ่งในกลุ่มวัตถุที่อันตรายมากที่สุดในเอกภพ สิ่งใดก็ตามที่เคลื่อนที่เข้าใกล้จุดศูนย์กลางของหลุมดำมากเกินไป ไม่ว่าจะดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ หรือดาวฤกษ์ ก็เสี่ยงที่จะถูกฉีกแบ่งโดยสนามโน้มถ่วงที่มีอนุภาพรุนแรงของหลุมดำ และหากวัตถุที่เคลื่อนที่เข้าใกล้ บังเอิญโคจรพาดผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุนั้นจะหายไปและไม่ปรากฏอีกเลย เป็นการเพิ่มมวลและแผ่รัศมีให้แก่หลุมดำ ในระหว่างที่ถูกกลืนหายไป ไม่มีสิ่งใดที่เราสามารถโยนเข้าไปที่หลุมดำ แล้วจะสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยแก่มันได้ แม้แต่หลุมดำอีกหลุมก็ไม่สามารถทำลายได้ หลุมดำทั้งสองจะผนวกกัน เป็นหลุมดำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ปลดปล่อยพลังงานในรูปรังสีโน้มถ่วงระหว่างกระบวนการ บางกลุ่มกล่าวว่า เป็นไปได้ว่าในที่สุด ทั้งเอกภพจะประกอบไปด้วยหลุมดำ ในอนาคตอันยาวนาน อย่างไรก็ตาม อาจมีหนทางทำลาย หรือ "ระเหย" วัตุเหล่านี้ในที่สุด ถ้าทฤษฏีนี้เป็นจริง สิ่งที่เราต้องทำคือรอคอย



ในปี ค.ศ. 1974 สตีเฟน ฮอว์กิง ได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการที่จะทำให้หลุมดำสูญเสียมวลในที่สุด รู้จักกันในชื่อ การแผ่รังสีฮอว์กิง สร้างจากปรากฎการณ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เรียกว่า ความผันผวนของควอนตัมในสุญญากาศ ตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมแล้ว ณ เวลาหนึ่งในอวกาศเวลา ผันแปรสภาพพลังงานได้หลายรูปแบบ การผันแปรนี้ควบคุมโดยการการเกิด และทำลายอย่างต่อเนื่อง ของคู่สสารเสมือน ซึ่งประกอบไปด้วยอนุภาคและปฏิยานุภาค โดยปกติสองอนุภาคจะปะทะ และทำลายกันทันทีหลังจากก่อตัว คงพลังงานทั้งหมดไว้ แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อสองอนุภาคก่อตัว ณ ขอบฟ้าเหตุการณ์ ถ้าคู่สสารอยู่ในจุดที่เหมาะสม หนึ่งในอนุภาคจะหลุดหนีจากแรงดึงดูดของหลุมดำ ขณะที่อีกอนุภาคถูกดูดกลืนไป จากนั้นจะทำลายอนุภาคตรงข้าม ภายในขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำ ซึ่งจะลดมวลของหลุมดำลง ขณะเดียวกัน ในมุมของผู้สังเกตการณ์ จะดูเหมือนว่าหลุมดำได้ปล่อยอนุภาคออกมา

ดังนั้น หากหลุมดำ ยังคงดูดกลืนสสารและพลังงานเพิ่ม มันจะยังคงแผ่อนุภาคออกมา ทีละน้อยอย่างช้า ๆ ช้าแค่ไหนหรือ ฟิสิกส์แขนงหนึ่งที่เรียกว่า อุณหพลศาสตร์ของหลุมดำ ได้ให้คำตอบเราไว้ เมื่อวัตถุทั่วไปหรือวัตถุท้องฟ้า ปล่อยพลังงานสู่สภาพแวดล้อมของพวกมัน เรารับรู้ได้เป็นความร้อน และเราสามารถใช้พลังงานที่ปล่อยออกมานั้น เพื่อวัดอุณหภูมิของมัน อุณหพลศาสตร์ของหลุมดำ เสนอว่าเราสามารถหาค่า "อุณหภูมิ" ของหลุมดำได้เช่นกัน ทฤษฎีคือยิ่งหลุมดำใหญ่แค่ไหน อุณหภูมิของมันยิ่งน้อยลงเท่านั้น หลุมดำที่ใหญ่ที่สุดในเอกภพ จะมีอุณภูมิ 10 ยกกำลัง -17 เคลวิน ใกล้เคียงกับอุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์ ในขณะเดียวกันหลุมดำที่มีมวล ขนาดเท่าดาวเคราะห์น้อยเวสตา จะมีอุณหภูมิเกือบ 200 องศาเซลเซียส ตามการปล่อยพลังงานจำนวนมากแบบรังสีฮอว์กิง สู่สภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น

ยิ่งหลุมดำมีขนาดเล็กเท่าไหร่ ความร้อนที่เผาผลาญยิ่งมากขึ้น และจะเผาผลาญพลังงานจนหมดเร็วขึ้นเท่านั้น เร็วแค่ไหนหรือ อย่ารอเลย อย่างแรก หลุมดำส่วนใหญ่เพิ่มมวล หรือดูดกลืนสสารพลังงาน เร็วกว่าเวลาที่พวกมันปล่อยรังสีฮอว์กิง แต่ถึงแม้หลุมดำที่มีมวลขนาดเท่าดวงอาทิตย์ จะหยุดเพิ่มมวล มันจะใช้เวลาถึง 10 ยกกำลัง 67 ปี ยาวนานกว่าอายุของเอกภพในปัจจุบัน ในการปล่อยพลังงานจนหมด เมื่อหลุมดำมีมวลถึง 230 เมตริกตัน มันจะมีอายุอยู่แค่อีกหนึ่งวินาที ในวินาทีสุดท้ายนั้น ขอบฟ้าเหตุการณ์ของมันจะมีขนาดเล็กมาก จนกระทั่งมันปล่อยพลังงานทั้งหมดกลับสู่อวกาศ และถึงแม้จะไม่เคยมีการสำรวจ การปล่อยรังสีฮอว์กิงโดยตรง

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า แสงวาบของรังสีแกมมาจำนวนหนึ่งที่ตวรจพบบนท้องฟ้า จริง ๆ แล้วคือร่องรอยของช่วงเวลาสุดท้าย ของหลุมดำขนาดเล็กที่เพิ่งก่อตัวในช่วงแรก ๆ ในที่สุดแล้ว ในอนาคตอันยาวไกลเกินกว่าจะนึกถึง เอกภพอาจกลายเป็นแค่ที่มืดอันหนาวเหน็บ แต่หากสตีเฟน ฮอว์กิงพูดถูก ก่อนจะเป็นเช่นนั้น หลุมดำทึบน่ากลัวทั้งหลายนี้ จะจบชีวิตของมันในความสว่างโชติช่วง

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี


ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของคนเราทำงานอย่างไร

ชีวิตคุณถูกโจมตีทุกวินาที แบคทีเรีย ไวรัส เห็ดรานับล้านๆ พยายามเปลี่ยนคุณให้เป็นบ้านของพวกมัน เพราะฉะนั้นร่างกายของเราจึงต้องพัฒนากองทัพที่เล็กแต่ซับซ้อน เต็มไปด้วย ยาม ทหาร หน่วยข่าวกรอง โรงงานอาวุธ และผู้ส่งสาร เพื่อปกป้องคุณไม่ให้... เอ่อ ตาย เราจะแบ่งระบบภูมิคุ้มกันออกเป็น 12 งาน เช่น ฆ่าศัตรู สื่อสาร ฯลฯ และเซลล์ 21 ประเภท กองกำลังโปรตีนอีก 2 ชนิต เซลล์แต่ละเซลล์มีหน้าที่ได้สูงสุด 4 หน้าที่ ลองเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างกันดู ทีนี้เรามาลองทำให้มันเข้าใจง่ายขึ้นกันดีกว่า

เริ่มแรก เราจะกำหนดสีให้แต่ละหน้าที่ เติมสีให้เซลล์ต่างๆ สีตรงกลางแสดงถึงหน้าที่หลักของเซลล์ ส่วนสีรอบๆคือหน้าที่รองลงมา ระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมจะมีหน้าตาประมาณนี้... และความสัมพันธ์เช่นนี้ เป็นความวุ่นวายที่สุดยอดจริงๆเลยใช่ไหม? เราจะพูดถึงเพียงเซลล์พวกนี้ เกิดอะไรขึ้นเมื่อมีอาการติดเชื้อ วันที่สวยงามวันนึง อยู่ดีๆตะปูเก่าก็ปรากฏขึ้น แล้วคุณก็ดันไปโดนมันทิ่มเข้าให้ แนวป้องกันแรกของระบบภูมิคุ้มกันคุณคือผิวหนัง แบคทีเรียโดยรอบฉวยโอกาสเข้าไปในแผลของคุณ พวกมันขยายจำนวนขึ้น 2 เท่าตัวทุกๆ 20 นาทีโดยใช้สารอาหารในร่างกาย ตอนแรก มันยังน้อยเกินไปกว่าที่เราจะรู้ แต่เมื่อมันมีจำนวนมากจนถึงจุดๆหนึ่ง มันพวกมันเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำร้ายร่างกายเราโดยเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัว ระบบภูมิคุ้มกันต้องหยุดมันโดยเร็วที่สุด ในลำดับแรก เซลล์ยามหรือที่รู้จักในชื่อมาโครฟาจ พวกมันเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ปกป้องทุกๆขอบเขตของร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกมันเพียงอย่างเดียวก็สามารถจัดการการโจมตีได้ เพราะแต่ละตัวสามารถกินผู้บุกรุกได้มากถึง 100 ตัว มันกินผู้บุกรุกทั้งตัว จับพวกมันไว้ในเยื่อหุ้มเซลล์



หลังจากนั้นเอ็นไซม์จะทำหน้าที่จัดการเหล่าผู้บุกรุก นอกจากนั้น เซลล์ยามยังสามารถสั่งให้หลอดเลือดปล่อยน้ำเข้าสู่ สนามรบ เพื่อให้มันต่อสู้ได้ง่ายขึ้น ที่แผลของคุณบวมก็เพราะเหตุผลนี้ เมื่อมาโครฟาจต่อสู้นานเกินไป พวกมันจะเรียกกองหนุนโดยการปล่อยโปรตีนที่ทำหน้าที่เหมือนม้าเร็ว บอกถึงตำแหน่งและความเร่งด่วน นิวโทรฟิลจะออกจากงานลาดตะเวนปกติในเลือด และเข้าสู่สนามรบ พวกมันบ้าระห่ำขนาดที่ฆ่าเซลล์ดีของเราไปด้วย นอกจากนั้น มันยังสร้างแนวป้องกันที่จับและฆ่าแบคทีเรีย พวกมันอันตรายมาก เมื่อผ่านไป 5 วัน มันจะฆ่าตัวตายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมากเกินไป ถ้านี่ยังไม่เพียงพอต่อการหยุดผู้บุกรุก มันสมองของระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มทำงาน เดนไดรท์เซลล์ตอบรับสัญญาณของทหาร และเริ่มเก็บตัวอย่างของศัตรู พวกมันทำลายศัตรูเป็นชิ้นๆ และนำชิ้นส่วนเหล่านั้นไว้ที่ผิวนอกสุดของมัน

ถึงตอนนี้เดนไดรท์ต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไรสักอย่าง ควรจะเรียกกองกำลังแอนตี้ไวรัส ที่กำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อ หรือกองทัพทหารนักฆ่าแบคทีเรียดี? ในกรณีนี้ กองกำลังต่อต้านแบคทีเรียเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง มันเดินทางไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่ใกล้ที่สุด ใช้เวลาประมาณ 1 วัน ในนี้ เซลล์ทีเฮลเปอร์และคิลเลอร์กว่าพันล้านตัวรอที่จะถูกกระตุ้นอยู่ เมื่อเซลล์ทีเกิด พวกมันผ่านกระบวนการฝึกที่ซับซ้อนและยากลำบาก มีเพียง 1/4 ที่รอดมาได้ เซลล์ที่รอดมาได้จะมีการปรับแต่งพิเศษไว้ เดนไดรท์เซลล์จะทำหน้าที่หาเซลล์ทีที่ถูกปรับแต่งพิเศษอย่างที่ถูกต้อง เดนไดรท์หาเซลล์ทีที่มีส่วนประกอบของผู้บุกรุก ที่ตัวมันนำมาไว้ที่เยื่อหุ้มเซลล์ เมื่อมันหาพบ กระบวนการลูกโซ่ก็เกิดขึ้น เซลล์ทีเฮลเปอร์เริ่มทำงาน และเพิ่มจำนวนเป็นพันๆตัว

บางส่วนกลายเป็นเซลล์ทีเมมโมรี่ ที่จะอยู่ในต่อมน้ำเหลืองและทำให้คุณมีภูมิคุ้มกันต่อผู้บุกรุกรายนี้ต่อไป บางส่วนเดินทางสู่สนามรบ และส่วนที่สามเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางของต่อมน้ำเหลือง เพื่อเปิดโรงงานผลิตอาวุธอันทรงพลัง เช่นเดียวกันกับเซลล์ที พวกมันเกิดมาพร้อมการปรับแต่งพิเศษ เมื่อเซลล์บี และเซลล์ทีที่มีการปรับแต่งเหมือนกันพบกัน หายนะของผู้บุกรุกก็เกิดขึ้น เซลล์บีแบ่งตัวด้วยความรวดเร็ว และสร้างอาวุธเล็กๆเป็นล้านๆตัว พวกมันทำงานหนัก และจะเหนื่อยตายอย่างรวดเร็ว เซลล์ทีเฮลเปอร์มีบทบาทสำคัญอีกอย่าง คือการกระตุ้นโรงงานเหล่านี้ โดยบอกว่า: "อย่าพึ่งตายนะ เรายังต้องการนายอยู่ สู้ๆ!"

การที่โรงงานต้องตายเมื่อการติดเชื้อสิ้นสุดนั้น ก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายเปลืองพลังงานหรือทำร้ายตัวเองนั้น เอง ว่าแต่ เซลล์บีผลิตอะไรออกมาล่ะ? คุณน่าจะเคยได้ยินมันมาบ้างแล้ว แอนตี้บอดี้ โปรตีนเล็กๆ ที่ถูกสร้างให้เกาะบนพิ้นผิวของผู้บุกรุกแบบเฉพาะเจาะจง แอนดี้บอดี้มีหลายชนิด และมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป เซลล์ทีเฮลเปอร์จะบอกพลาสม่าเซลล์ว่าชนิตไหนที่มันต้องการมากที่สุด เพื่อสู้กับผู้บุกรุกชนิตนี้ แอนตี้บอดี้ล้านๆตัวเข้าสู่กระแสเลือด และกระจายไปทั่วร่างกาย ณ บริเวณที่ติดเชื้อ สถานการณ์เลวร้ายมาก เหล่าผู้บุกรุกเพิ่มจำนวนหลายเท่า และเริ่มทำร้ายร่างกาย เซลล์ยามและทหารต่อสู้อย่างหนักหน่วงและสละชีพในสนามรบ

เซลล์ทีเฮลเปอร์ทำหน้าที่สนับสนุน โดยการสั่งให้พวกมันต่อสู้รุนแรงขึ้น และมีชีวิตให้นานขึ้น แต่ถ้าไม่มีการช่วยเหลือ พวกมันก็ไม่สามารถเอาชนะแบคทีเรียได้ แต่ตอนนี้ แนวป้องกันที่สองได้มาถึงแล้ว แอนดี้บอดี้นับพันล้าน ถล่มเข้าสู่สนามรบ และเข้าโจมตีผู้บุกรุก ทำให้ผู้บุกรุกทำงานต่อไม่ได้ หรือฆ่ามันทิ้ง พวกมันยังทำให้แบคทีเรียหยุดนิ่ง เป็นเป้านิ่งให้โจมตี อีกด้านของแอนตี้บอดี้ ถูกสร้างมาเพื่อต่อเข้ากับเซลล์นักฆ่า เพื่อให้ฆ่าศัตรูได้ง่ายขึ้น มาโครฟาจจะกินได้เก่งขึ้นมาก หากมีแอนตี้บอดี้ติดอยู่กับแบคทีเรีย ตอนนี้เกมเปลี่ยน การทำงานแบบเป็นทีมทำให้ภาวะติดเชื้อสิ้นสุด



ถึงจุดๆนี้ เซลล์มากกว่าล้านตัวตายลง ไม่ต้องเป็นห่วงไป เราสร้างมันใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เซลล์คุ้มกันหมดประโยชน์ ถ้าไม่มีสัญญาณให้ทำงานต่อ พวกมันฆ่าตัวตาย เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรไปมากกว่านี้ แต่บางส่วนยังคงทำงานอยู่ เซลล์เมมโมรี่ ถ้าศัตรูบุกเข้ามาได้อีกครั้ง พวกมันพร้อมที่จะฆ่าพวกมันก่อนที่คุณจะสังเกตเห็น นี่คือการอธิบายบางส่วนของระบบภูมิคุ้มกันแบบง่ายๆ คุณพอจะนึกออกไหมว่ามันซ้ำซ้อนเพียงใด เรายังไม่ได้กล่าวถึงกองกำลังอื่น หรือสารเคมีใดๆเลย ชีวิตมันช่างซับซ้อนนัก แต่ถ้าเรามีเวลาพอที่จะเข้าใจมัน คุณจะมีเรื่องให้สงสัยได้ไม่มีที่สิ้นสุด และชื่นชมความสวยงามที่ยิ่งใหญ่นี้

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

มารู้จักโลกของเรากันเถอะ

โลก บ้านของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เรารู้จัก ในจักรวาลแห่งนี้ โลกมีอายุเป็น 1 ใน 3 ของจักรวาล ยอมรับเถอะ ว่าโลกเป็นสิ่งที่สวยงามเสียจริง แกนกลางที่เป็นโลหะหนักบดละลายเข้าด้วยกัน เปลือกที่บางกว่ามาก ห่อหุ้มอยู่ในชั้นบางสุดที่เต็มไปด้วยอากาศสำหรับหายใจ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ ภูเขาที่งดงาม แม่น้ำ ลำธาร มหาสมุทร และน้ำบาดาล โคจรอยู่รอบพระอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น และพลังงานแก่พวกเรา ว่าแต่ โลกเราเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมันประกอบไปด้วยอะไรบ้างล่ะ?

4.6 พันล้านปีก่อน โลกกำเนิดขึ้นมาจากเศษของดาวฤกษ์ที่ดับแล้ว รวมตัวกันเกิดเป็นกลุ่มก้อนของก๊าซสกปรก บริเวณแก่นของก้อนของก๊าซได้ควบแน่นขึ้น และเกิดเป็น "จานพอกพูนมวล" อนุภาคเล็กๆเริ่มเกาะกลุ่มกัน กลายเป็นวัตถุที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนเกิดเป็นก้อนวัตถุที่เราเรียกมันว่าดาวเคราะห์ในปัจจุบัน กระบวนการนี้ใช้เวลา 10 - 20 ล้านปี ซึ่งเราก็ยังไม่เข้าใจมันมากนัก ในช่วงเวลาถัดมา ระบบสุริยะยังใหม่และวุ่นวายมาก วัตถุขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับขนาดของดาวอังคาร ปะทะเข้ากับบ้านของเรา การปะทะนั้นรุนแรงมาก ถ้าวัตถุนั้นใหญ่กว่านี้ มันอาจจะทำลายโลกไปแล้วก็ได้ ชิ้นส่วนของโลกโดนชน และกระจัดกระจายโคจรรอบโลก เกิดกลายเป็นพระจันทร์ ซึ่งเป็นวัตถุโคจรที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ เมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ที่มันโคจรอยู่



ในเวลานั้น โลกเปรียบเหมือนนรกที่ร้อนจัด ถูกอุกกาบาตพุ่งเข้าใส่เป็นประจำ เต็มไปด้วยทะเลลาวา และชั้น บรรยากาศที่เป็นพิษ แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น โลกเย็นตัวลง น้ำจากภายในโลกเริ่มผุดสู่พื้นผิว ทำให้เกิดฝนตก กลับกลายเป็นไออีกครั้ง และรวมตัวกันเป็นเมฆ อุกกาบาตนับล้าน ได้นำน้ำเข้าสู่ดาวเคราะห์ของเรา น้ำทั้งหมดบนโลกมีปริมาตรประมาณเท่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับโลก ปัจจุบันพื้นผิวของโลกเป็นน้ำ 71% และแผ่นดิน 29% 97.5% เป็นน้ำเค็ม มีเพียง 2.5% เท่านั้นที่เป็นน้ำจืด น้ำจืด 69% เป็นน้ำแข็งและหิมะ 30% เป็นน้ำบาดาล และมีเพียง 1% เท่านั้นคือน้ำที่เหลืออยู่บนผิวโลก ถึงแม้ว่าส่วนเล็กๆนี้ส่วนใหญ๋จะเป็นน้ำแข็ง ส่วนนึงของมันคือแม่น้ำและทะเลสาบ และส่วนที่เล็กกว่าคือน้ำที่อยู่ในสิ่งที่ชีวิต

ดีจริงๆที่โลกเราเย็นตัวลง บริเวณพิ้นผิวเกิดเปลือกบางๆ แต่ภายในที่เป็นหินแข็ง ยังคงหมุนอยู่ ทำให้เกิดการเคลื่นที่ของแผ่นด้านบน และทำให้แตกออกจากกัน กระบวนการนี้เรียกว่า "การแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค" ซึ่งก็ยังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน สำหรับตอนนี้ แค่เข้าใจว่าเปลือกโลกประกอบไปด้วย แผ่นขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ไปรอบๆ เมื่อมันเจอกัน มันจะแตกตัวและนูนออกมาเป็นภูเขาใหญ่ หรือพุ่งลงไปด้านล่าง ลึกเข้าไปในโลก เกิดเป็นร่องลึกก้นสมุทร นั่นคือที่มาของบริเวณที่สูงที่สุดของโลก ยอดเขาเอเวอเรส และบริเวณที่ลึกที่สุด ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ได้เกิดขึ้น

ในมุมมองของเรา ภูเขาและร่องสมุทรช่างใหญ่โตอะไรเช่นนี้ แต่ถ้าเราลองตัดโลกตามแนวขวาง เราจะเห็นว่าพวกมันเล็กเพียงใด ส่วนที่พวกเรายืนอยู่ของส่วนเปลือกโลก มีความหนาประมาณ 50 กิโลเมตร แต่มันมีความหนาได้ตั้งแต่ 5 จนถึง 70 กิโลเมตร แล้วก็หลุมที่ลึกที่สุดที่ถูกเจาะโดยมนุษย์ ลึก 12.262 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้เปลือกโลก คือส่วนของแมนเทิล (เนื้อโลก) ซึ่งเป็นเปลือกที่ประกอบไปด้วยหินกลุ่มซิลิกอน มีความหนาราวๆ 2,900 กิโลเมตร แมนเทิลแบ่งเป็นส่วนบน และส่วนล่าง แมนเทิลส่วนบนมีการแบ่งขอบเขตไปอีก ส่วนบนที่หนืดและรองรับเปลือกโลกด้านบน เรียกว่า "ธรณีภาค" นอกนั้นเราเรียกมันว่า "ฐานธรณีภาค" ซึ่งเป็นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า และหนืดมากกว่า ส่วนของแมนเทิลล่างนั้น ลงไปถึงแก่นโลกชั้นนอก แก่นโลกชั้นนอกคือชั้นของเหล็กและนิกเกิลเหลว มีความหนาประมาณ 2,266 กิโลเมตร อุณหภูมิตั้งแต่ 4,000 °C ไปจนถึง 5,700 °C และตรงกลางของโลก คือแก่นโลกส่วนใน เกือบจะเป็นของแข็งทั้งหมด ลูกบอลขนาดใหญ่ของอัลลอยเหล็กและนิกเกิล รัศมีราว 1,200 กิโลเมตร ขนาดประมาณ 70% ของขนาดของพระจันทร์ และอุณหภูมิใกล้เคียงพื้นผิวของดวงอาทิตย์ มันขยายตัวช้าๆ ด้วยอัตรา 1 มิลลิเมตรต่อปี ลองมาจัดเรียงให้เห็นชัดๆ ส่วนเล็กๆที่เกิดจากแมนเทิลเหลวที่ตกผลึก คือที่ๆเราอาศัยอยู่ ถัดมาคือสนามแม่เหล็กโลก

ปรากฏการณ์ที่มองไม่เห็น ที่เบี่ยงเบนอนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์และแหล่งอื่นๆ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เสถียร และทำให้เกิดรังสีเล็กน้อยกับโลก ว่าแต่ มันเกิดขึ้นได้ยังไง? จริงๆแล้ว เรายังมีความรู้น้อยนิดเกี่ยวกับมัน เรารู้ว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับแก่นโลก ในชั้นของเหล็กเหล่านี้ กระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่เคลื่อนตัวในรูปแบบที่ซับซ้อน ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งปรับสภาพให้ตัวเองเสถียรตามกฏของพลศาสตร์ไฟฟ้า ระบบทั้งหมดนี้ถูกเรียกว่า "ไดนาโม" แต่อย่าให้เราหลอกคุณว่าเราไขปริศนาออกแล้ว



พูดถึงข้อมูลที่น่าอัศจรรย์แล้ว เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับอากาศรอบตัวเราล่ะ? โดยปริมาตร อากาศแห้งมีองค์ประกอบเป็นไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคืออ๊อกซิเจน อาร์กอน คาร์บอน ไอน้ำในบริมาณที่หลากหลาย และก๊าซอื่นๆอีกเล็กน้อย มนุษย์เราขึ้นอยู่กับส่วนที่อยู่ล่างสุดของชั้นบรรยากาศโลก โทรโพสเฟียร์ - ส่วนที่เกิดสภาพอากาศ หนาเฉลี่ยราว 12 กิโลเมตร เหนือไปกว่านั้นคือสตราโทสเฟียร์ ชั้นที่โอโซนปกป้องเรา จากแสงอันตรายที่มาจากดาวอาทิตย์ เหนือไปกว่านั้นคือเมโซสฟียร์ - ที่ๆเย็นที่สุดในโลก ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยที่ -85 °C ที่ความสูงราว 80 กิโลเมตรขึ้นไป คือชั้นของเทอร์มอสเฟียร์ ส่วนที่แบ่งโลกกับอวกาศไม่ได้มีขอบเขตที่ชัดเจนนัก แต่มนุษย์ตัดสินใจว่าอวกาศเริ่มต้นตรงนี้ ที่ความสูง 100 กิโลเมตร โลกหยุดและอวกาศเริ่ม แต่ชั้นบรรยากาศยังคงกว้างออกไปนิดหนึ่ง ในส่วนนี้เราจะพบกับไอโอโนสเฟียร์ แสงเหนือ (ออโรร่า) และสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) และชั้นที่อยู่ไกลสุดคือเอกโซสเฟียร์ ไกลไปจนถึง 10,000 กิโลเมตร มันรวมเข้ากับอวกาศ จนถึงไม่มีชั้นบรรยากาศเหลืออยู่เลย อะตอมและโมเลกุลในบริเวณนี้อยู่ห่างไกลกันมาก จนมันสามารถเดินทางร่วมหลายร้อยกิโลเมตร โดยที่ไม่ชนกันเลย

มนุษย์เรา ในร่างแบบปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นราว 200,000 ปีที่แล้ว นั่นเป็นเพียง 0.004% บนหน้าประวัติศาสตร์ของโลกนี้ ไม่ค่อยจะนานเลย แต่เราอยู่ที่นี้ อยู่บนชั้นบางๆ บนหินเปียกๆ เล็ก เราเรียกหินนี้ว่า โลก มันเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของจักรวาล ผลลัพธ์ของกระบวนการสร้างและทำลายครั้งแล้ว ครั้งเล่า ที่เกิดขึ้นทุกที่ ทุกเวลาในจักรวาล ด้วยความช่วยเหลือของโอกาส กฏของจักรวาล และเหตุการณ์สุ่มๆ พวกเรา โชคดีจริงๆ นะ

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

Popular Posts