google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

Hydraulic fracturing หรือ Fracking คืออะไร

ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมานั้น การบริโภคพลังงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพลังงานส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจากถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติ ไม่นานมานี้มีการพูดคุยและการถกเถียงอย่างมากมายเกี่ยวกับวิธีที่จะสกัดก๊าซธรรมชาติออกมา นั่นคือ วิธีการ Hydraulic fractuiring หรือ fracking  เอาล่ะ  Fracking นั้นอธิบายถึงการกู้คืนก๊าซธรรมชาติจากใต้ดินชั้นลึกๆของโลก ด้วยวิธีนี้ ก้อนหินที่มีรูพรุนจะแตกร้าวโดยใช้ประโยชน์จากน้ำ ทราย และสารเคมี เพื่อปลดปล่อยก๊าซธรรมชาติที่ถูกห่อหุ้มไว้ออกมา เทคนิคการ fracking นี้เป็นที่รู้จักตั้งแต่ช่วงปี 1940 ถึงอย่างไรก็ตาม ในสิบปีล่าสุดเท่านั้นที่การ fracking ค่อนข้างเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากแหล่งก๊าซธรรมชาติทั่วไปในอเมริกาและทวีปยุโรปนั้นถูกใช้จนหมดเแล้ว  ดังนั้นราคาของก๊าซธรรมชาติและเชื้อเพลิงอื่นๆ จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีที่มีราคาแพงและมีความซับซ้อนสูงอย่าง fracking จึงเป็นที่นิยมและได้ผลประโยชน์ ในขณะเดียวกันการ fracking ถูกใช้มากกว่าล้านครั้งเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 60% ของบ่อน้ำมันและก๊าซใหม่ถูกขุดเจาะโดยการ fracking



ทีนี้ เรามาดูกันเถอะว่าการ fracking นั้นทำงานอย่างไร เริ่มแรก ใช้สว่านเจาะพื้นโลกลงไปหลายร้อยเมตร จากนั้น เจาะรูตามแนวนอนเข้าสู่ชั้นของหินห่อหุ้มก๊าซไว้อยู่  ต่อไป ของเหลวจาก fracking จะถูกสูบฉีดเข้าไปในพื้นโดยเครื่องปั๊มน้ำทรงประสิทธิภาพ  โดยเฉลี่ยแล้ว ของเหลวจะประกอบด้วยน้ำปริมาณ 8 ล้านลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่ใช้ประจำวันสำหรับประชาชน 65,000 คน นอกจากนั้นยังประกอบด้วยทรายหลายตัน และสารเคมี อีกประมาณ 200,000 ลิตร ส่วนผสมเหล่านี้แทรกซึมเข้าไปในชั้นหินและสร้างรอยแตกเล็กๆขึ้นนับไม่ถ้วน ทรายจะกันรอยแตกไม่ให้ปิดตัวลงอีกครั้ง สารเคมีจะทำงานหลายอย่าง เหนือสิ่งอื่นใด พวกมันทำให้น้ำจับตัวกันมากขึ้น กำจัดแบคทีเรีย หรือละลายแร่ธาตุ

จากนั้นของเหลวส่วนใหญ่ของ fracking จะถูกสูบออกมาอีกครั้ง และในตอนนี้เองที่ก๊าซธรรมชาติถูกกู้คืนออกมา ในทันทีที่แหล่งก๊าซหมด รูที่เจาะก็จะถูกปิดผนึก ตามกฏแล้ว ของเหลว fracking จะถูกสูบกลับเข้าไปในใต้ดินชั้นลึกๆและปิดผนึกไว้ในนั้น อย่างไรก็ตาม fracking นั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงหลายประการด้วยกัน ความเสี่ยงหลักๆก็คือ การปนเปื้อนในแหล่งน้ำดื่ม Fracking ไม่เพียงแต่ใช้น้ำปริมาณมากอย่างฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ยังเป็นผลทำให้น้ำมีสิ่งปนเปื้อนและมีความเป็นพิษสูง สิ่งปนเปื้อนนั้นมีความรุนแรงถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ในโรงงานบำบัด ถึงแม้ว่าจะรับรู้ทุกความอันตรายและในทางทฤษฎีแล้วสามารถจัดการได้ แหล่งน้ำที่มีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีสิ่งปนเปื้อนเพราะความเพิกเฉย ยังไม่มีใครรู้ว่าแหล่งน้ำปิดจะมีบทบาทอย่างไรในอนาคต



ตราบใดที่ยังไม่มีการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับหัวข้อนี้ สารเคมีที่ใช้ในการ Fracking นั้นมีตั้งแต่สารที่อันตรายจนถึง พิษร้ายแรงและสารก่อมะเร็ง เช่น เบนซอล หรือ กรดฟอร์มิก บริษัทที่ใช้การ fracking ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดที่แม่นยำของส่วนผสมของสารเคมี แต่เป็นที่รู้กันว่ามีประมาณ 700 สารเคมีที่แต่ต่างกันที่ใช้ในกระบวนการ อีกความเสี่ยงหนึ่งคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก๊าซธรรมชาติถูกกู้คืนโดยการ fracking ที่ประกอบไปด้วยก๊าซมีเทนจำนวนมาก ก๊าซเรือนกระจกนั้นส่งผลกระทบรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า ก๊าซธรรมชาตินั้นมีความรุนแรงต่ำกว่าถ่านหินเมื่อถูกเผา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านลบของ fracking ที่มีต่อสมดุลสภาพอากาศโดยรวมนั้นมีมากขึ้น

อย่างแรก กระบวนการ fracking นั้นต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาล อย่างที่สอง รูที่เจาะจะถูกใช้จนหมดอย่างรวดเร็วและมันยังจำเป็นจะต้องเจาะ รู fracking บ่อยกว่าบ่อก๊าซธรรมชาติแบบดั้งเดิมมาก ยิ่งไปกว่านั้น ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของก๊าซที่ถูกกู้คืนจะหายไประหว่างการสกัดและระเหยไปสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นวิธีการ fracking และผลประโยชน์ที่คาดหวังจะต้องถูกประเมิณค่าว่า เมื่อไหร่ที่ผลประโยชน์จะสมดุลกับผลเสีย ? เมื่อถูกใช้อย่างถูกต้อง เทคนิคนี้จะเป็นอีกทางหนึ่ง ในระยะสั้นถึงปานกลาง ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์สำหรับการใช้พลังงานต้นทุนต่ำของพวกเรา แต่สำหรับผลที่ตามมาในระยะยาวของการ fracking ยังทำนายล่วงหน้าไม่ได้ และความเสี่ยงต่อน้ำดิ่มของพวกเรานั้นก็ไม่ควรประมาท
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

ตลาดหุ้นคืออะไร และมันทำงานอย่างไร

ตลาดหุ้นคืออะไร และมันทำงานอย่างไร


ตลาดหุ้นเป็นแค่เครือข่ายยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ที่จัดการตลาด และทุกวันมีเงินมหาศาลถูกย้ายไปมา รวมทั้งหมดเป็นเงิน 60 พันพันล้านยูโร (60,000,000,000,000) ต่อปี ซึ่งมากกว่ามูลค่าของสินค้าและบริการของเศรษฐกิจโลกทั้งหมด แต่มันไม่ใช้แอปเปิลหรือแปลงสีฟันมือสองที่ถูกค้าขายในตลาดนี้ แต่ส่วนมากเป็นหลักทรัพย์ หลักทรัพย์ คือสิทธิ์ที่มีเหนือทรัพย์สิน ส่วนมากในรูปแบบของหุ้น หุ้น หมายถึงหุ้นที่มีในบริษัท แต่ทำไมต้องซื้อขายหุ้นกัน อันดับแรกและสำคัญที่สุด ค่าของหุ้นจะเกี่ยวพันธ์กับบริษัทที่ออกหุ้นน้ัน ถ้าเราเปรียบเทียบมูลค่าของบริษัทเป็น พิซซ่า ถ้าพิซซ่ายิ่งใหญ่ แต่ละชิ้นก็ยิ่งใหญ่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ถ้า Facebook สามารถเพิ่มกำไรโดยใช้โมเดลธุรกิจใหม่ ขนาดของพิซซ่าของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้น และผลตามมาก็คือ หุ้นก็จะเพิ่มราคาด้วย นี้มันดีสำหรับผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ หุ้นที่เคยราคา 38 ยูโร อาจกลายมีราคา 50 ยูโร เมื่อนำไปขายจะได้กำไรหุ้นละ 12 ยูโร แต่ Facebook จะได้อะไรจากการขายนี้ บริษัทสามารถระดมทุนโดยการขายหุ้นและลงทุนหรือขยายกิจการก็ได้ ยกตัวอย่าง Facebook ทำเงิน $60 พันล้าน จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์



แต่การซื้อขายหุ้นมักเป็นการเสี่ยงโชค ไม่มีใครบอกได้ว่าบริษัทไหนจะเจริญหรือไม่ ถ้าบริษัทมีชื่อเสียงดี นักลงทุนก็จะสนับสนุน บริษัทที่ชื่อเสียงไม่ดีหรือสมรรถภาพไม่ดีก็จะขายหุ้นไม่ออก ผิดไปจากตลาดปกติที่เราสามารถหยิบสินค่าและเอามันกลับบ้านได้ ผิดไปจากตลาดปกติที่เราสามารถหยิบสินค่าและเอามันกลับบ้านได้ มันเป็นแต่รูปแบบราคาหุ้น และตารางบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งราคาของมันอาจขึ้นลงภายในเซี่ยววินาที เจ้าของหุ้นจึงต้องตัดสินอย่างฉับไวถ้าจะไม่พลาดโอกาศดี แม้แต่ข่าวลือก็สามารถทำให้ความต้องการหุ้นตกอย่างรวดเร็วไม่ว่ามูลค่าจริงของบริษัทจะเป็นอย่างไร และตรงข้ามก็เป็นไปได้ ถ้าคนจำนวนมากซื้อหุ้นที่อ่อนแอเพราะเขาเห็นว่ามีศักดิ์สูง ราคาของหุ้นก็จะพุ่งสูงขึ้น โดยมากบริษัทใหม่ๆ จะได้ประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้ แม้ยอดขายจะตก เขาสามารถทำเงินสดโดยขายหุ้น

ในกรณีที่ดีที่สุดก็จะทำให้ความคิดเป็นสมจริง ในกรณีเลวร้ายสุดก็จะเกิดฟองสบู่ที่มีแต่ลมร้อน และเหมือนฟองสบู่ทั่วไป สักวันมันจะแตก มูลค่าของบริษัทเยอร์มันที่ใหญ่สุด 30 บริษัทจะสรุปในดัชนีที่เรียกว่า DAX DAX แสดงว่าบริษัทเหล่านี้มีสมรรถนะอย่างไร และจึงเป็นตัวชี้วัดสมรรถนะของเศรษฐกิจทั้งมวลด้วย ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่นก็มีดัชนีของเขาด้วย และทั้งหมดนี้ทำให้เกิดตลาดทั่วโลกที่เป็นเครือข่ายกัน
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

will refinancing hurt my credit va loan multi family va loan after chapter 7 va home loan specialist us bank home mortgage top insurance companies tax debt relief program tax credit for college students structured settlement loan small business loans personal loan rates permanent life insurance payday loans online no credit check loans national guard va home loan mortgage life insurance maximum fha loan amount low cost health insurance Irs Tax Debt Relief Program how to get preapproved for a va home loan how long does a credit card balance transfer take homeowners insurance companies home loan interest rate home equity line of credit health insurance free car insurance quotes fixed annuity fha loan foreclosure waiting period does opening a checking account affect credit define insurance brokers current mortgage rates cost to refinance home loan Compare Vehicle Insurance cheap travel insurance bad credit car loans average home insurance cost

3 วิธีทำลายเอกภพ

สักวันหนึ่งเอกภพจะตายลง แต่ทำไม? และอย่างไร? แล้วเอกภพจะดับสูญตลอดกาลไหม? และเราทราบได้อย่างไร ก่อนอื่น, เอกภพกำลังขยายตัว ไม่เพียงเท่านั้น, อัตราเร็วของการขยายตัวยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุผล: พลังงานมืด พลังงานมืดคือปรากฏการณ์ประหลาดที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแผ่ซ่านอยู่ทั่วเอกภพ จนกระทั่งปี 1998 เราคิดว่าเอกภพต้องทำงานเหมือนกับลูกบอลที่คุณโยนไปบนฟ้า ลูกบอลลอยขึ้นไป, แต่อย่างไรก็ตามก็จะตกลงมาอีกครั้ง แต่ การขยายตัวของเอกภพกลับมีอัตราเร็วสูงขึ้น นั่นคือลูกบอลลอยสูงขึ้นและเห็นว่ามันลอยเร็วขึ้น เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีก ความเร็วที่เพิ่นขึ้นนี้มาจากไหน? คือ เราไม่ทราบ, แต่เราเรียกมันว่า 'พลังงานมืด' ไอสไตน์เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนแต่ตอนหลังก็ตัดสินใจว่ามันเป็นเรื่องโง่ๆ ตอนนี้ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ได้ตัดสินว่ามันมีเหตุผล, ปัญหาคือเรื่องทั้งหมดยังเป็นเพียงทฤษฎีและเรายังไม่รู้จริงๆว่าคุณสมบัติของพลังงานมืดเป็นอย่างไร แต่ มันมีทฤษฎีต่างๆและนำเราไปสู่ 3บทแห่งจุดจบของเอกภพ



บทที่หนึ่ง: การฉีกขนาดใหญ่
ตัังแต่ตอนเกิด เอกภพขยายตัวขึ้น ด้วยเหตุผลที่เราไม่รู้ อวกาศได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในทุกทิศทุกทางเท่าๆกัน อวกาศระหว่างกาแลคซี่ก็ขยายขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงเคลื่อนที่แยกจากกัน อวกาศภายกาแลคซี่ก็ขยายขึ้นด้วย แต่ในนี้แรงดึงดูดแข็งแกร่งพอที่ดึงเข้าไว้ด้วยกัน  ในบทของการฉีกขนาดใหญ่ การขยายตัวนั้นเร็วขึ้นเป็นเหตุให้อวกาศขยายตัวอย่างรวดเร็วจนแรงดึงดูดไม่สามารถชดเชยต่อปฎิกิริยานีได้อีกต่อไป ผลคือการฉีกขนาดใหญ่ ในตอนแรง มีเพียงโครงสร้างใหญ่ๆอย่างกาแลคซี่ที่ฉีกออกจากกันเพราะอวกาศระหว่างวัตถุหนึ่งๆขยายตัวเร็วมาก ต่อมา ส่วนใหญ่ๆอย่าง หลุมดำ ดาว และดาวเคราะห์ ตาย แรงดึงดูดไม่แข็งแกร่งพอที่จะดึงดูดพวกมันเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นพวกมันจะมลายไปสู่ส่วนต่างๆ ในตอนท้าย อวกาศจะขยายตัวเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสง อะตอนในตอนนี้จะได้รับผลกระทบและทำให้พวกมันแตกออก ในตอนที่อวกาศขยายตัวเร็วกว่าแสง ก็จะไม่มีอนุภาคใดในเอกภพตอนนั้นจะสามารถทำปฏิกิริยากับอนุภาคอื่นได้อีกต่อไป เอกภพจะละลายไปเป็นอนุภาคโดดเดี่ยวที่ไม่สามารถจะสัมผัสสิ่งอื่นๆในเอกภพได่อย่างถาวร อืมม, และคุณก็คิดว่าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว

บทที่สอง: ร้อนสุดขั้วหรือหนาวสุดขีด
ดูผิวเผินความแตกต่างระหว่าการฉีกขนาดใหญ่และ ความร้อนสุดขีดคือในบทร้อนสุดขีดนั้นสารจะไม่เสียหายและมันเปลี่ยนความเหลือเชื่ออันยาวนาน เพียงแค่ขอบเขตของเวลากลายเป็นรังสี ในขณะที่เอกภพขยายตัวไปตลอด แต่ มันทำงานอย่างไร, มาพูดถึงเอนโทรปี(ค่าวัดความไม่เป็นระเบียบ) ในทุกๆระบบมีแนวโน้มจะมีสถานะเอนโทรปีสูงสุด เหมือนตอนเราดื่มลาเต้แมคเคียโต้ ในขั้นต้น, มันมีความต่างกันในแต่ละส่วนแต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเริ่มเย็นลงและเริ่มละลายไปเป็นส่วนเดียวและมันทำงานแบบเดียวกับเอกภพด้วย เช่นนั้น, ในขณะที่เอกภพใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น สารจะสลายช้าลงและกระจายออก ในบางเหตุ หลังจากหลายช่วงอายุของดวงดาว กลุ่มเมฆก๊าซที่จำเป็นต่อการเกิดดาวจะหมดสิ้นไป ดังนั้นเอกภพมืดมิด ดวงอาทิตย์ที่ยังเหลืออยู่จะตาย หลุมดำจะค่อยๆเสื่อมลงและค่อยๆระเหยไปกว่าล้านล้านปีโดยรูจักกันใน ฮวกกิ้นเรดิเอชั่น(hawking radiation) เมื่อการกระบวรการสำเร็จแล้ว แก๊สที่เจือจางของโปรตอนและอนุภาคเบายังเหลืออยู่จนกระทั่งมันย่อยสลายไป จากการกระทำทั้งหมดในเอกภพก็จะเข้าใจในจุดนี้ เอนโทรปีไปอยู่ที่ค่าสูงสุดและเอกภพตายไปตลอดกาล นอกจาก, ในทางทฤษฏีมันอาจเป็นไปได้แต่หลังจากความเหลือเชื่ออันยาวนานในชัวระยะเวลา มันอาจจะเป็นไปตามธรรมชาติการลดลงของเอนโทรปี ก็จะได้ผลบางอย่างที่เราเรียกว่า 'quantum tunnelling' นำไปสู่การเกิดบิกแบงครั้งใหม่



บทที่สาม: การบดและการกระแทกขนาดยักษ์
นี่เป็นบทที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ถ้าปราศจากพลังงานมืดอย่างที่เราเคยคิดไว้หรือมันลดลงไปผ่านกาลเวลา แรงดึงดูดจะมีอำนาจเหนือเอกภพสักวัน ในอีกไม่กี่ล้านล้านปีระยะเวลาของการขยายตัวของเอกภพจะเริ่มช้าลงและหยุด หลังจากนั้น มันย้อนกลับ กาแลคซี่จะแข่งขันกับอันอื่นๆรวมเข้าด้วยกัน เอกภพจะเริ่มเล็กลงและเล็กลง ด้วยเหตุผลที่ เอกภพเล็กลงหมายถึงเอกภพร้อนขึ้น อุณหภูมิจะสูงขึ้นในทุกๆที่ ในคราวเดียว 1แสนปีก่อนการบดยักษ์ รังสีภูมิหลังจะร้อนขึ้นที่พื้นผิวของดวงดาวส่วนใหญ่ นั่นหมายถึงพวกมันจะเกรียมจากด้านนอก หลายนาทีก่อนการบดยักษ์ อะตอนแกนกลางถูกฉีดออกก่อนที่สุดยอดหลุมดำยักษ์จะกลืนกินทุกสิ่ง ท้ายสุด หลุมดำทั้งหมดจะปรากฎออกมาเป็นสุดยอดอภิมหาหลุมดำยักษ์ที่จุไปด้วยมวลทั้งหมดของเกภพและในช่วงสุดท้ายก่อนการบดยักษ์มันจะกลืนกินเอกภพ รวมถึงตัวมันเอง ทฤษฏีสภาพการกระแทกบักษ์ เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมาลหลายครั้ง และนั่นทำให้เอกภพเข้าสู่วงจรอันไม่สิ้นสุดของการขยายและการก่อขึ้น นั่นมันไม่ดีหรอ? ถ้าอย่างนั้น อะไรจะเกิดขึ้นในตอนจบของเอกภพ ในตอนนี้,ร้อนสุดขีดดูจะเป็นไปได้มากที่สุด แต่พวกเราหวังว่าการ 'ดับสูญชั่วนิรันดร์' จะผิดและเอกภพจะเริ่มต้นใหม่ และเริ่มใหม่อีกครั้ง เราไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเป็นทางไหน ดังนั้นเราเพียงทึกทักเอาว่าทฤษฎีที่ก้าวหน้าที่สุดจะเป็นความจริง

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

กลไกของการวิวัฒนาการ

การวิวัฒนาการคืออะไร การวิวัฒนาการคือการพัฒนาชีวิตในโลก ซึ่งเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นเมื่อพันล้านปีก่อน และยังเกิดขึ้นอยู่ การวิวัฒนาการอธิบายได้ว่า ทำไมชีวิตในโลกจึงหลากหลายมาก มันอธิบายได้ว่า โปรโตซัว ง่ายๆ สามารถกลายเป็นสัตว์และพืชล้านๆ สปีชีสที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ การวิวัฒนาการเป็นข้อสงสัยที่เราอาจมีเมื่อเราเห็นสุนัขพันธุ์ Dachshund และ Great Dane อยู่พร้อมกัน ทำไมบรรพบุรุษของสายพันธุ์หนึ่งสามารถมีลูกหลานที่ดูต่างกับเขามาก ในการตอบปัญหานี้เราจะโฟกัสไปที่สัตว์ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่นต้นไม้และฟังไจ คำถามแรกที่เราควรตอบคือ สัตว์สายพันธ์หนึ่งสามารถพัฒนากลายเป็นอีก สปีชีส์ หนึ่งได้อย่างไร อ้า แต่สปีชีส์ มีความหมายว่าอะไร  สปีชีส์ หมายถึงประชาคมสัตว์ที่สามารถสืบพันธุ์กันได้ และลูกหลานของมันก็สามารถสืบพันธุ์กันได้ต่อๆ ไป เพื่อที่จะเข้าใจปัญหาให้ดีขึ้น เราจำเป็นต้องโฟกัสไปที่สิ่งเหล่านี้



ความเป็นสิ่งเดียวอันเดียว (uniqueness) ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นผลจากการผลิตลูกจำนวนมากเกินความจำเป็นและการถ่ายทอดลักษณะ (heredity) และประเด็นที่ 2 คือ การเลือกสรร (selection) เรามาดูเรื่องความเป็นสิ่งเดียวอันเดียวก่อน สัตว์ทุกตัวมีความเป็นสิ่งเดียวอันเดียวอยู่เสมอ และสิ่งนี้จำเป็นสำหรับการวิวัฒนาการ สมาชิกในแต่ละสปีชีส์อาจมีคุณลักษณะคล้ายกันมาก  แต่ทุกตัวจะมีคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะที่แตกต่างกันบ้าง มันอาจใหญ่กว่า อ้วนกว่า แข็งแรงกว่า หรือกล้าหาญกว่า สัตว์พวกเดียวกัน เพราะเหตุใดถึงเกิดความแตกต่างเหล่านี้ ลองดูสัตว์ชนิดหนึ่ง สัตว์ทุกตัวประกอบด้วยเซลล์ เซลล์เหล่านี้มีนิวเคลียส ซึ่งในนิวเคลียสมีโครโมโซม และโครโมโซม มี ดีเอ็นเอ

ดีเอ็นเอ ประกอบด้วยยีนต่างๆ และยีนเหล่านี้เป็นตัวที่เก็บข้อมูลชีวิต มันเก็บคำสั่งสำหรับเซลล์ และเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้น และเป็นเพราะดีเอ็นเอมีความเป็นได้อย่างเดียวสำหรับสัตว์ทุกตัว  มันแตกต่าง กันในสัตว์แต่ละตัว จึงทำให้มันมีคุณลักษณะต่างกันไปบ้าง แต่ดีเอ็นเอที่หลากหลายมหาศาลเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งคือ การผลิตลูกมากเกินความต้องการหรือจำเป็น ในธรรมชาติเราสังเกตว่าสัตว์จะออกลูกมากกว่าที่จำเป็น สำหรับให้สปีชีส์นั้นอยู่รอดได้ และลูกเหล่านี้จะตายเมื่ออายุเยาว์ไว หรือมีจำนวนมากกว่าที่สิ่งแวดล้มจะสนับสนุนได้ นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างในแต่ละสปีชีส์ ยิ่งมีลูกมากเท่าใด ยิ่งมีความแตกต่างมากเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการ คือความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ มากๆ เท่าที่เป็นไปได้

สาเหตุที่ 2 ที่ทำให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวคือ heredity หรือการถ่ายทอดทางพันธุกรรมนั่นเอง การถ่ายทอดทางพันธุกรรมหมายถึงการถ่ายทอด ดีเอ็นเอ ให้กับลูก ปัจจัย 2 อย่างที่มาเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้คือ recombination and mutation (รีคอมบินเนชั่น และ การกลายพันธุ์) รีคอมบินเนชัน เป็นการผสมผสานอย่างสุ่มของดีเอ็นเอของสัตว์ 2 ตัว เมื่อสัตว์ 2 ตัวผสมพันธุ์กัน มันจะ รีคอมไบน (รวมตัวใหม่) ยีนของมัน 2 ครั้ง ครั้งแรกจะต่างคนต่างทำกันเมื่อมันผลิตเซลล์สืบพันธุ์ คือตัวอสุจิหรือไข่ เซลล์สืบพันธุ์จะได้รับยีนครึ่งหนึ่ง และสลับมัน (เหมือนสับไผ้) รีคอมบินเนชันครั้งที่ 2 จะเกิดเมื่อตัวผู้ผสมพันุ์กับตัวเมีย พ่อแม่จะให้ 50% ของดีเอ็นเอของตนแก่ลูก เรียกได้ว่า ให้ 50% ของคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะที่ไม่ซ้ำใครให้แก่ลูก ยีนเหล่านี้จะถูกผสมผสานและผลก็คือ ลูกใหม่ ลูกเหล่านี้จะมีดีเอ็นเอที่เป็นการผสมผสานอย่างสุ่ม  ซึ่งทำให้ความแตกต่างหลากหลายในแต่ละสปีชีส์ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่การกลายพันธุ์ก็สำคัญไม่น้อยสำหรับการวิวัฒนาการ

การกลายพันธุ์ (mutation) คือการเปลี่ยนแปลงอย่างสุ่มในดีเอ็นเอ ซึ่งอาจเปรียบเหมือนการคอปปี้ ดีเอ็นเอ ผิด ซึ่งเกิดจากชีวพิศ หรือสารเคมีอื่น ๆ หรือโดยรังสี Mutation จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอถูกเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจมีผลเสียและทำให้ป่วยหรือเป็นโรคก็ได้เช่นมะเร็ง แต่มันอาจเป็นผลกลางหรือผลดีก็ได้ เช่นตาสีฟ้าในมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งเป็น mutation สุ่มอย่างหนึ่ง ในทุกกรณี mutation ต้องมีผลต่อเซลล์สืบพันธุ์ นั่นคือ เซลล์สเปิร์มหรือไข่ เพราะดีเอ็นเอในเซลล์สืบพันธุ์เท่านั้นที่ถูกถ่ายทอดให้ลูก นี่คือสาเหตุที่เราต้องปกปิดอวัยะสืบพันธุ์เมื่อมีการฉายเอ็กซเรย์ ส่วนอื่นของร่างกายจะไม่รับการเสี่ยงภัยแต่อย่างใด

สรุป ในกระบวนการถ่ายทอด สัตว์จะถ่ายทอดคุณลักษณะให้ลูกในรูปแบบดีเอ็นเอ รีคอมบินเนชัน และการกลายพันธ์ทำการเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ ทำให้ลูกๆ แต่ละตัวไม่เหมือนกัน และได้รับส่วนผสมอย่างสุ่มของคุณลักษณะของพ่อแม่ คำสำคัญที่นี่คือ สุ่ม กระบวนการทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความบังเอิญ รีคอมบินเนชัน และการกลายพันธุ์แบบสุ่มทำให้เกิดปัจเจกที่มีคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะผสมผสานกันอย่างสุ่ม ซึ่งก็จะถูกผสมผสานอีกทีและถูกถ่ายทอดต่อไปอีก แต่เราจะลงเอยว่ามันขึ้นอยู่กับความอังเอิญได้อย่างไร เมื่อสัตว์ทั้งหลายดูเหมือนว่าปรับตัวเข้าสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี  เช่น ตั๊กแตนกิ่งไม้ นกฮัมมิงเบิร์ด และปลากบ (frogfish) คำตอบอยู่ที่สองประเด็นที่กล่าวถึงแล้ว คือ การคัดเลือก (selection) สัตว์แต่ละตัวจะอยู่ภายใต้กระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ละบุคคลจะผิดเพี้ยนจากบุคคลอื่นเล็กน้อย และในแต่ละสปีชีส์ก็มีความแตกต่างมากพอ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมก็มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ปัจจัยการคัดเลือกเหล่านี้ คือ ผู้ล่า ปรสิต สัตว์สปีชีส์เดียวกัน ชีวพิศ คุณลักษณะของถิ่นที่อยู่ที่เปลี่ยนไป และภูมิอากาศ

การคัดเลือกเป็นกฎเกณฑ์ที่สัตว์ทุกตัวต้องอยู่ภายใต้ สัตว์แต่ละตัวมีคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะต่างๆ ที่ไม่เหมือนใคร คุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะนี้ทำให้มันสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ได้ในสภาพแวดล้อมต่างๆ คุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะนี้ทำให้มันสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่ได้ในสภาพแวดล้อมต่างๆ พวกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมก็จะรอดได้และจะถ่ายทอดคุณสมบัติประจำตัวและคุณลักษณะที่เพิ่มสมรรถนะให้ลูก เพราะเหตุนี้ความหลากหลายจึงสำคัญมาก เพราะเหตุนี้สัตว์จึงพยายามมีลูกที่แตกต่างกันให้มากที่สุด มันเป็นการรับประกันว่าลูกอย่างน้อย 1 ตัวจะผ่านการคัดเลือกธรรมชาติ ทำให้โอกาสรอดได้สูงขึ้น

ตัวอย่างที่ดีคือ นกฟินช์ที่อยู่บนเกาะเล็กๆห่างชายฝั่งอเมริกาใต้  มันเป็นสัตว์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกวิทยาศาสตร์ นกนี้เรียกว่า Darwin’s finches (นกฟินช์ของดาร์วิน) เป็นการให้เกียรติผู้ที่ค้นพบ และนี่คือเรื่องของนกฟินช์พวกนี้ 2-3 ร้อยปีมาแล้ว นกฟินช์ฝูงเล็กๆ ถูกลพายุพัดออกทะเลไปตกที่เกาะกาลาพากอส กลางมหาสมุทรปาซิฟิก นกฟินช์พวกนี้พบสิ่งแวดล้อมใหม่ ที่เป็นสวรรค์ของฟินช์ คือมีอาหารมากมายและไม่มีผู้ล่ามัน มันจึงแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ในไม่ช้าเกาะก็เต็มไปด้วยนกฟินช์ ซึ่งหมายความว่า อาหารก็ร่อยหรอ สวรรค์ฟินช์ก็ถูกคุกคามโดยการอดตายและเพื่อนฟินช์ก็กลายเป็นฟินช์คู่แข่ง ตอนนี้ละที่การคัดเลือก (selection) จะมาเกี่ยวข้อง ความแตกต่างเล็กน้อย ในกรณีนี้คือจะงอย ที่แตกต่างกันเล็กน้อย  ทำให้นกเหล่านี้อยู่ได้โดยไม่ต้องแข่งขันกับฟินช์เพื่อนด้วยกัน จะงอยของฟินช์บางตัวจะเหมาะสมสำหรับการขุดหาไส้เดือน ตัวอื่นสามารถใช้จะงอยสำหรับการกะเทาะเปลือกเมล็ดต่างๆ นกฟินช์เหล่านี้จึงหาช่องทางในระบบนิเวศน์ให้กับตนเองได้ ในช่องทางนี้มันปลอดภัยจากการเข็งขันสูง มันเริ่มผสมพันธุ์กับฟินช์ที่ใช้ช่องทางระบบนิเวศน์เดียวกันเท่านั้น ในหลายชั่วอายุของมัน คุณลักษณะพิเศษของมันก็จะเพิ่มสมรรถนะเรื่อยๆ  ซึ่งทำให้นกฟินช์สามารถทำประโยชน์กับช่องทางของมันได้อย่างสำเร็จ ความแตกต่างระหว่างนกที่กินหนอนกับนกที่กินเมล็ดยิ่งห่างเหิน จนมันไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้ จึงเกิดสปีชีส์ใหม่ ทุกวันนี้มีนกฟินช์14สปีชีส์บนเกาะกาลาพากอส  ซึ่งทั้งหมดสืบเชื้อสายจากนกฝูงเดิมที่ถูกพัดพาไปที่เกาะ ทั้งหมดนี้คือ วิธีที่เกิดสปีชีส์ใหม่โดยการวิวัฒนาการ ซึ่งอาศัยความแตกต่างของแต่ละบุคคล และการออกลูกหลานจำนวนมากเกินความจำเป็น รีคอมบินเนชันและการกลายพันธุ์ ในการถ่ายทอดพันธุกรรม และในการคัดเลือก โดยธรรมชาติ



ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ เพราะมันอธิบายว่าความหลากหลายของชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมสิ่งมีชีวิตจึงเหมาะกับสภาพแวดล้อมของมัน แต่มันมีผลต่อเราส่วนตัวด้วย เราทุกคนเป็นผลของการวิวัฒนาการ 3.5 พันล้านปี ซึ่งรวมถึงคุณด้วย บรรพบุรุษของคุณได้ต่อสู้และปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดมาได้ ซึ่งความอยู่รอดนี้เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนมาก อย่าลืมว่า 99% ของทุกสปีชีส์ที่เคยมีมาในโลกสูญพันธุหมดไปแล้ว คุณก็อาจนับได้ว่าเป็น เรื่องที่สำเร็จก็ได้ พวกไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์หมดไปแล้ว แต่คุณยังมีชีวิตอยู่ เพราะคุณเป็นสิ่งพิเศษมาก เช่นเดียวกับสัตว์อื่นที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ ไม่สามารถมีอะไรมาแทนได้และไม่เหมือนสิ่งใดอื่นในเอกภพ

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

วิทยาศาสตร์ของการชะลอวัย ต้านความชรา

สุขภาพคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของเรา แต่เรามักจะมองข้ามมันจนกระทั่งเราเสียมันไป เรามีชีวิตยืนยาวกว่าเมื่อก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่มีผลตามมาซึ่งเราไม่อาจเห็น นั่นก็คือเราได้ใช้ช่วงชีวิตกับการป่วยมากขึ้นและมากขึ้น มีอายุมากหมายถึงการได้ใช้ชีวิตกับความเจ็บป่วยนานขึ้น  ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้เปลี่ยนจุดมุ่งหมายจากการขยายช่วงชีวิตเป็นการขยายช่วงสุขภาพ นั่นก็คือช่วงชีวิตที่เราสุขภาพดีไม่มีโรคภัย เพื่อการนี้ เราต้องจัดการไปที่จุดกำเนิดของการเสื่อมสภาพของร่างกายเกือบทั้งหมด การแก่ชรานั่นเอง โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ วิทยาการเกี่ยวกับการแก่ชรานั้นได้ก้าวหน้าไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยที่การทดลองกับมนุษย์จะเริ่มขึ้นภายอนาคตอันใกล้นี้ เรามาดูตัวอย่างสามประการที่อาจจะเอื้อประโยชน์แก่ผู้คนที่กำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน



1.เซลล์แก่ชรา
เซลล์ของคุณมีวันหมดอายุเช่นกัน ทุกๆ ครั้งที่เซลล์แบ่งตัว มันคัดลอกโครโมโซมของตัวมันเอง เพราะกระบวนการนี้ เซลล์จึงสูญเสียดีเอ็นเอเล็กน้อยที่ปลายสาย นี่อาจจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ ดังนั้นเพื่อป้องกันตัวพวกมันเอง ร่างกายพวกเราจึงมีดีเอ็นเอสายยาวเรียกว่า เทโลเมียร์ มันคล้ายกับปลายเชือกรองเท้า แต่มันหดตัวลงทุกครั้งที่เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ ในบางเซลล์ หลังจากการแบ่งตัว เทโลเมียร์ได้หมดไป ทำให้เซลล์กลายเป็นเซลล์ซอมบี้ หรือเซลล์แก่ชรา เซลล์แก่ชราจะยังคงอยู่ และจะไม่ตาย เมื่อคุณแก่ตัว เซลล์พวกนี้ก็จะมีมากขึ้น พวกมันสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อโดยรอบ และทำให้เกิดโรคต่างๆ ที่มากับความชรา เช่น เบาหวานและไตวาย แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าคุณกำจัดพวกมันออกไปได้? นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการดัดแปลงพันธุกรรมหนู ซึ่งจะทำให้พวกมันสามารถกำจัดเซลล์แก่ชราได้ หนูอายุมากที่ไม่มีเซลล์แก่ชราแข็งแรงขึ้น หัวใจและไตของพวกมันทำงานได้ดีขึ้น และมีแนวโน้มต่ำลงที่จะเป็นมะเร็ง

โดยรวมแล้ว หนูพวกนี้จะมีอายุยืนและสุขภาพดียาวนานกว่าหนูทั่วๆ ไปถึงร้อยละ 30 แต่เนื่องจากเราไม่สามารถดัดแปลงพันธุกรรมในทุกๆ เซลล์ของมนุษย์ได้ เราจึงต้องหาวิธีอื่นที่จะกำจัดเซลล์แก่ชราลง แต่เราจะทำอย่างไรล่ะเพื่อไม่ให้มันไปทำลายเซลล์ที่ยังสุขภาพดีอยู่? เซลล์ส่วนใหญ่ในร่่างกายได้ฆ่าตัวมันเองหลังจากได้รับความเสียหาย แต่เซลล์แก่ชราไม่เป็นเช่นนั้น ปรากฏว่าพวกมันไม่ได้ผลิตโปรตีนที่บอกพวกมันว่าถึงเวลาตายแล้วมากพอ ดังนั้นในช่วงปลายปี 2016 หนูทดลองได้รับการฉีดโปรตีนประเภทนี้ มันฆ่าเซลล์แก่ชราไปถึง 80% จากทั้งหมดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ที่ยังสุขภาพดี หนูทดลองที่ได้รับการฉีดโปรตีนนั้น โดยรวมแล้วสุขภาพดีขึ้น และบางตัวยังงอกขนที่เคยสูญเสียไป จากผลการทดลอง ทำให้มีบางบริษัทสนใจในการรักษาเกี่ยวกับเซลล์แก่ชรา และการทดลองกับมนุษย์ จะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้

2. NAD+
เซลล์ประกอบด้วยนับร้อยล้านชิ้นส่วน พวกมันเป็นโครงสร้าง กลไก สื่อสัญญาณ และตัวเร่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเหล่านี้ขึ้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องถูกทำลาย เก็บกวาด และสร้างใหม่ตลอดเวลา เมื่อพวกเราแก่ตัว กระบวนการเหล่านี้มีประสิทธิภาพต่ำลง ทำให้ชิ้นส่วนที่พังเกาะตัวเป็นก้อน หรือถูกกำจัดช้าลง หรือถูกผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของเรา หนึ่งในชิ้นส่วนนี้คือ NAD+ เป็นโคเอนไซม์ที่บอกให้เซลล์เราให้ดูแลตัวเอง เมื่อเราอายุ 50 ปี เราจะมี NAD+ จำนวนครึ่งหนึ่งของตอนที่เราอายุ 20 ปี ปริมาณที่ลดลงของมันเชื่อมโยงหลายๆ โรค ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และปลายประสาทเสื่อม NAD+ ไม่สามารถซึมเข้าเซลล์ได้ เราจึงไม่สามารถบริโภคมันเป็นยา

แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารประกอบที่สามารถซึมเข้าเซลล์และจะเปลี่ยนเป็น NAD+ ในภายหลังได้ ในปี 2016 การทดลองกับหนูทดลองหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่าการทดลองได้เร่งการแบ่งตัวของผิวหนัง เซลล์สมอง และสเต็มเซลล์ หนูกระปรี้กระเปร่าขึ้น สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอมากขึ้น และมีช่วงชีวิตที่ยาวนานขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ NASA ยังให้ความสนใจการทดลองนี้ เพราะ NASA กำลังหาทางที่จะลดความเสียหายของดีเอ็นเอนักบินอวกาศ จากการับรังสีคอสมิกในภารกิจเดินทางไปดาวอังคาร ในปัจจุบัน เริ่มวางแผนจะนำไปใช้ทดลองกับมนุษย์ แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่า วิธีนี้จะขยายช่วงสุขภาพดี หรือ ช่วงชีวิตของเรา แต่ NAD+ เป็นตัวเต็งที่อาจมาเป็นยาต้านการแก่ชราของมนุษย์ตัวแรก



3.เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)
สเต็มเซลล์เป็นเหมือนกับพิมพ์เขียวของเซลล์ที่มีอยู่ในหลายๆ ส่วนในร่างกาย และคัดลอกตัวมันเองเพื่อที่จะผลิตเซลล์ใหม่ๆ แต่มันก็เสื่อมสภาพไปตามที่เราแก่ตัวลงเช่นกัน เมื่อไม่มีชิ้นส่วนใหม่ ร่างกายมนุษย์ก็ได้พังลง ในหนูทดลอง นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตว่า เมื่อสเต็มเซลล์ในสมองของหนูได้หายไป พวกมันจะเริ่มมีโรคตามมา นักวิทยาศาสตร์จึงได้นำสเต็มเซลล์จากหนูที่อายุน้อยไปฉีดใส่สมองของหนูที่อายุมากกว่า โดยเฉพาะที่ไฮโพทาลามัส ที่ควบคุมการทำงานส่วนใหญ่ของร่างกาย สเต็มเซลล์ได้ทำการฟื้นฟูเซลล์สมองอายุมากโดยหลั่ง RNA หลายชนิดที่ควบคุมขบวนการเมทาบอลิซึมให้กลับมาปกติ หลังจาก 4 เดือน สมองและกล้ามเนื้อของหนูทดลองทำงานได้ดีกว่า หนูพวกที่ไม่ได้รับการฉีดสเต็มเซลล์ และโดยเฉลี่ย หนูพวกนี้มีอายุยาวขึ้นถึงร้อยละ 10 อีกการศึกษาหนึ่งได้นำสเต็มเซลล์จากเอ็มบริโอของหนู และฉีดใส่หัวใจของหนูที่อายุมากกว่า ผลก็คือหัวใจของมันมีประสิทธิภาพดีขึ้น ออกกำลังกายได้นานขึ้นร้อยละ 20 และที่ประหลาดใจคือขนของมันงอกเร็วขึ้น

บทสรุป
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้คือ ไม่มียาวิเศษใดๆ ที่สามารถหยุดการแก่ชราลงได้ มันต้องการการรักษาที่ซับซ้อนแตกต่างกันมากมาย เราสามารถจัดการกับเซลล์แก่ชราเพื่อกำจัดเซลล์ขยะทิ้ง ฉีดสเต็มเซลล์เพื่อเพิ่มเติม ขณะที่เราควบคุมเมทาบอลิซึมของร่างกายด้วยสิ่งที่กลายเป็น NAD+
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

กัญชาปลอดภัยจริงหรือ

ทั่วโลก กัญชาผิดกฎหมายน้อยลง กระทั่งทำให้ถูกกฎหมาย แต่มันเป็นความคิดที่ดีแล้วจริงหรือ? การถกเถียงในโลกออนไลน์ ส่วนมากด้านแย่ๆ มักจะถูกกล่าวถึง มาดู 3 เหตุผลใหญ่ๆ ที่ต่อต้านการทำกัญชาให้ถูกกฎหมายกัน

ข้อโต้แย้งที่ 1
ในช่วงไม่กี่สิบปีก่อน กัญชาได้ถูกปรับปรุงให้มีฤทธิ์แรงมากขึ้น กัญชาในปัจจุบันจึงออกฤทธิ์ได้แรงมาก แรงขนาดทำให้ก่อภาวะทางจิตได้เลย ส่วนประกอบหลักของกัญชาคือ สาร THC และก็มีหลักฐานหนักแน่นว่า สารนี้ก่อให้เกิดโรคทางจิตได้ แม้จะไม่นับอาการเสี่ยงอื่นๆ กัญชายังมีสารประกอบอีกตัวที่เรียกว่า CBD ซึ่งดูเหมือนจะมีผลต้านกันกับ THC กระทั่งมีการทดสอบโดยการรักษา โรคจิต และผู้มีอาการซึมเศร้า แต่เพราะสารตัวนี้แหละ ที่ไม่ทำให้คุณเมายา ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตจึงลดปริมาณ CBD ลง ในขณะที่เพิ่มปริมาณ THC ปริมาณ THC ในตัวอย่างที่ถูกทดสอบ ถูกเพิ่มขึ้นจากราว 4% ในช่วงปี 90 เป็นราว 12% ในปี 2014 เปลื่ยนอัตราส่วน THC ต่อ CBD จาก 1 ต่อ 14 ในปี 1995 ไปเป็น 1 ต่อ 80 ในปี 2014 แต่ก็ไม่รู้ว่าผลการทดสอบเหล่านั้นแม่นยำขนาดไหน

โดยรวมกล่าวได้ว่า ยิ่งคุณเสพกัญชามากเท่าไร มันก็ยิ่งเมายาแรงมากขึ้นไปอีก และมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะมีอาการทางจิต แต่ ความเสี่ยงที่จะมีอาการทางจิตของประชากรทั่วไปมันมากแค่ไหนล่ะ? ในประเทศอังกฤษมีการศึกษาว่า ที่ระหว่างปี 1996 จนถึง 2005 ที่ การเสพกัญชามีมากขึ้น ในขณะที่จำนวนของผู้ป่วยจิตเภท ยังมีจำนวนเท่าๆเดิม ความเสี่ยงของกัญชาที่จะก่อภาวะทางจิตมีผลสูงสุดต่อคนที่มีภาวะทางจิตอยู่แล้ว สำหรับผู้ป่วยแล้ว จากที่เรารู้ กัญชาดูเหมือนจะเร่งอาการต่างๆ ให้เร็วขึ้น มากกว่าที่จะก่อให้เกิดโรค ฉะนั้นเหตุผลตกไปที่ ถ้าผู้คนเข้าถึงกัญชาได้น้อย โอกาสที่กัญชาจะก่อให้เกิดอาการทางจิตก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย

แต่จริงๆแล้ว สามารถโต้แย้งได้ว่า จริงๆแล้ว เพราะกัญชาผิดกฎหมาย คนยิ่งป่วยเป็นจิตเภทมากขึ้น การที่มันผิดกฎหมายนี่แหละที่ทำให้ยาเสพติดต่างๆ เข้มขึ้น รุนแรงขึ้น เพราะว่าผู้ค้ามีพื้นที่ขายน้อย แต่จำนวนของสินค้ามีมาก จีงเน้นขายทีละเยอะๆ เพื่อทำกำไร นี่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว  ระหว่างการจำกัดแอลกอฮอล์ในสหรัฐ โดยมีแค่เหล้าเท่านั้นที่ขายได้ กัญชาก็เหมือนกัน ลองนึกดูว่า มีแต่เหล้าเท่านั้นที่สามารถหาซื้อได้ ดังนั้นคุณมีทางเลือกแค่ จะเมาหัวทิ่มหรือจะไม่ดื่มเลย นี่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับกัญชาในปัจจุบัน ประชาชนก็ไม่ได้หยุดดื่มกันแม้จะมีการจำกัด และจำนวนของผู้เสพกัญชาก็ไม่ได้ลดลงตามที่กฎหมายห้าม คือเราไม่สามารถทำให้กัญชาหมดไปได้ แต่เราสามารถทำให้มันปลอดภัยขึ้นได้ ถ้ากัญชาถูกกฎหมาย มันก็จะเป็นตัวเลือกให้ผู้ซื้อและหน่วยงานรัฐสามารถกำกับปริมาณสาร CBD ให้เยอะได้ คล้ายกับที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยดื่มเหล้าทั้งกลมหลังเลิกงานกัน ดังนั้นคนจะสามารถเสพกัญชาที่ไม่แรงมากได้ เหมือนกับดื่มเบียร์หลังเลิกงาน



ข้อโต้แย้งที่สอง : กัญชาเป็นทางผ่านไปสู่สารเสพติดอื่นๆ
"ถ้ากัญชาถูกกฎหมาย ปริมาณการให้สารเสพติดที่อันตรายอื่นๆ จะสูงขึ้นฉับพลัน" ในปี 2015 มีศึกษาพบว่า 45% ของคนที่เสพกัญชา จะหันไปเสพสารอื่นในจุดใดจุดหนึ่ง การทำกัญชาให้ถูกกฎหมายอาจจะทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งวัยรุ่นสามารถเสพกัญชาได้ถูกกฎหมาย พวกเขาอาจจะหันไปเสพอย่างอื่นที่รุนแรงกว่าเดิม แต่จริงๆ แล้วทางผ่านสำหรับยาเสพติดต่างๆ มีมาก่อนแล้ว นั่นคือบุหรี่ มีงานวิชาการชิ้นหนึ่งกล่าวว่า วัยรุ่นคนที่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่ก่อนอายุ 15 กว่า 80% เลยที่จะไปใช้ยาเสพติดผิดกฎหมายภายหลัง และในปี 2007 พบว่า วัยรุ่นที่สูบบุหรี่ในช่วงอายุ 12 จนถึง 17 มีแนวโน้ม 3 เท่าที่จะกลายเป็นนักดื่มตัวยง อีก 7 เท่าที่จะกลายเป็นผู้เสพสารอย่างเฮโรอีน หรือ โคเคน และมีแนวโน้มอีก 7 เท่าที่จะหันไปเสพกัญชาเช่นกัน

ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ การทำให้สารเสพติดถูกกฎหมายมากขึ้น จะหยุดให้คนเสพสารที่รุนแรงได้อย่างไร? อย่างแรก ต้องรู้ก่อนว่า คนที่เสพ ไม่ได้เสพเพราะว่ามันถูกหรือผิดกฎหมาย ถ้าเกิดอยากจะซื้อยาเสพติดต่างๆ ก็จะมีคนที่ยินดีขายอยู่ดี คำถามจริงๆคือ ทำไมคนจึงอยากเสพยากันนัก? จากการศึกษาพบว่ามีเงื่อนไขตายตัวเลย ที่จะทำให้คนเสพติดยาเสพติด วัยเด็กแย่ๆ การโดนทำร้ายร่างกาย ฐานะยากจน ภาวะซึมเศร้า หรือ แม้แต่พันธุกรรม โดยพวกเขาจะติดสารอะไร ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส คนที่ติดยาใช้สารเพื่อหนีปัญหาต่างๆ แต่ตัวยาไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย และก่อปัญหาใหม่ขึ้นมาด้วย แต่การทอดทิ้งคนเหล่านี้ ก็ไม่ได้เปลื่ยนอะไรเหมือนกัน ดังนั้นบางคนจึงแย้งว่าบางทีเราควรใช้วิธีที่ต่างจากเดิม

ในปี 2001 โปรตุเกส คือประเทศที่มีปัญหายาเสพติดเลวร้ายที่สุดในยุโรป ดังนั้นการใช้ความรุนแรงดูเหมือนจะไม่มีหวังเท่าไร ผู้ครอบครองยาหรือผู้เสพยาผิดกฎหมายต่างๆ ถูกลดทอนโทษลง พวกเขาไม่ถูกจับอีกต่อไป กลับกัน รัฐบาลจัดตั้งแคมเปญบำบัดขึ้นมาแทน คนที่เสพในปริมาณน้อย ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานบำบัด การในลดและเลิกยา การเสพยาถูกมองใหม่ เป็นแค่โรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง ไม่ใช่อาชญากรรม ผลออกมาผิดคาด จำนวนคนลองเสพและยังเสพยาต่อเนื่องลดลง จาก 44% มาที่ 28% ในปี 2012 ยาเสพติดแรงๆ ถูกใช้ลดลง เช่นเดียวกับจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV, ตับอักเสบ  และคนที่ใช้ยาเกินขนาด การทำให้ยาเสพติดถูกกฎหมายอาจจะช่วยสังคม มากกว่าทำลาย ในภาพรวม



ข้อโต้แย้งที่ 3 "กัญชาเสพติดได้ง่ายและเป็นอันตราย"
ดังนั้นมันยังคงต้องผิดกฎหมายต่อไป เพื่อจำกัดความเสียหายต่อสังคมให้น้อยสุด ในขณะที่ การเสพติดกัญชามีผลในเรื่องจิตใจมากกว่าร่างกาย นี่แหละที่เป็นปัญหาจริงๆ ผู้ที่เสพติดกัญชาและต้องการบำบัด มีจำนวนเป็นสองเท่า เพียงในช่วงสิบปีที่ผ่านมา รวมแล้ว ประมาณ 10% ของคนที่ลองเสพกัญชา จะกลายเป็นคนที่เสพติด จำนวนนี้เกี่ยวข้องกับปริมาณที่สูงของ THC งานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาในปี 2017 สำรวจฤทธิ์เข้มข้นของกัญชา ที่ขายในร้านกาแฟประเทศเนเธอร์แลนด์  (ในเนเธอร์แลนด์กัญชาสามารถขายได้ในร้านกาแฟบางแห่ง) เป็นระยะเวลามากกว่า 16 ปี ในทุกๆ 1% ของปริมาณสาร THC ที่เพิ่มขึ้น มีเพิ่มขึ้นอีก 60 คนที่เข้ารับการบำบัดจากทั่วประเทศ ในเรื่องของผลเสียต่อสุขภาพ

งานวิชัยบางชิ้นขี้ว่า กัญชามีผลในเรื่องความดันและโรคปอด ในขณะที่ปี 2016 ศึกษาพบว่า การใช้กัญชาไม่ได้มีผลอะไรกับสุขภาพ ยกเว้นแค่โรคเหงือก งานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่า กัญชามีผลต่อสมองของวัยรุ่น ซึ่งมีผลลดสติปัญญาของพวกเขา แต่เมื่อศึกษาเพิ่มเติมอีก พบว่า มันมีผลเล็กน้อย เมื่อคิดรวมการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เข้าไปด้วย ผลมันยังสรุปไม่ได้นั่นเอง โดยรวม การวิจัยค้นพบว่า การเสพยาเสพติดมีผลเสีย ในช่วงที่สมองกำลังพัฒนา แต่ความจริงคือ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กัญชา มีผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน เราต้องการทุนสำหรับการวิจัยเรื่องนี้อีก ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก ถ้ากัญชายังผิดกฎหมายอยู่ แต่เราสามารถมองสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วได้ 16% ของคนที่ดื่มแอลกอฮอล์กลายเป็นคนติดแอลกอฮอล์ และ 32% ของคนที่ลองสูบบุหรี่กลายเป็นคนติดบุหรี่ เรารู้แหละว่า แอลกอฮอล์มีผลต่อสมอง ทำลายตับและก่อมะเร็ง ในขณะที่บุหรี่ ทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทำลายปอดและก่อมะเร็ง

ทุกปี มีผู้เสียชีวิต 3.3 ล้านรายจากแอลกอฮอล์ ในขณะที่ บุหรี่ฆ่าคนไปมากกว่า 6 ล้านรายต่อปี ไม่มีใครบอกว่า บุหรี่ และ เหล้า ปลอดภัยเพราะมันถูกกฎหมาย แต่ก็ด้วยที่ ไม่มีใครต่อต้านมัน ถึงมันจะอันตรายมากๆ การทำให้ถูกกฎหมายเป็นวิธีที่จะควบคุมพวกมัน โดยเฉพาะเด็กที่เราต้องป้องกันจากสิ่งเหล่านี้ มันยากกว่ามากที่เด็กจะซื้อยาเสพติดถูกกฎหมาย คนขายจะถูกปรับหนัก และสูญเสียใบอนุญาตถ้าเกิดพวกเขาขายให้เด็กที่อายุไม่ถึง การทำให้ถูกกฎหมายจะทำให้ผู้ขาย ไม่สามารถเอาเปรียบผู้ซื้อได้ แล้วก็การทำให้กัญชาถูกกฎหมายไม่ได้หมายความว่า เรารับรองมัน มันหมายความว่าเรากำลังรับผิดชอบ ความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่างหาก แล้วก็มันจะเป็นการเปิดประตู ให้กับงานวิจัยใหม่ๆ อีกมากมาย ที่จะบอกเราว่าจริงๆ แล้วมันอันตรายจริงหรือ และมันอันตรายต่อใคร

สรุปคือ กัญชาคือยาเสพติด เหมือนกับยาเสพติดอื่นๆ ที่มีผลเสียเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่เสพมัน มันไม่ได้ไร้โทษ วิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องสังคมจากผลเสียของมัน ดูเหมือนจะเป็นการทำให้มันถูกกฎหมายและควบคุมมัน

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

ระบบสุริยะจักรวาล บ้านอันกว้างใหญ่ของเรา

ที่นี่คือระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งก็คือบ้านของเราในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เราอาศัยอยู่ในส่วนที่แสนสงบสุขส่วนใดส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก บ้านของเราคือระบบสุริยะนั่นเอง การก่อตัวราว 4.5 พันล้านปีที่แล้ว หมุนรอบศูนย์กลางกาแล็คซี่ที่ 200,000 กิโลเมตร / ชั่วโมงและหมุนครบรอบทุกๆ 250 ล้านปี ดาวของเราดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ มีดาวเคราะห์แปดดวงโคจรรอบ อุกาบาตและดาวหางอีกล้านล้านดวง และมีดาวเคราะห์แคระอีกนิดหน่อย

ดาวเคราะห์แปดดวง แบ่งออกเป็นสี่ดวง ที่เหมือนโลกของเรา ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร  และดาวก๊าซยักษ์สี่ดวง: ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวพุธเป็นที่เล็กที่สุดและที่เบาที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด หนึ่งปีที่ดาวพุธสั้นกว่าวันหนึ่งที่ดาวพุธ ซึ่งนำไปสู่อุณหภูมิที่มีความผันผวนอย่างมาก ดาวพุธไม่มีชั้นบรรยากาศหรือดวงจันทร์ ดาวศุกร์เป็นหนึ่งในวัตถุที่สว่างที่สุดในระบบสุริยะ เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุด มีความดันในชั้นบรรยากาศที่ 92 เท่าของบนโลก มีภาวะเรือนกระจกที่สุดโต่ง นั่นหมายความว่าดาวศุกร์ ไม่เคยมีอุณหภูมิต่ำกว่า 437 °C เลย ดาวศุกร์ก็ไม่ได้มีดวงจันทร์เช่นกัน



โลกเป็นบ้านของเราและเป็นดาวเดียวที่มีอุณหภูมิที่อยู่ในระดับพอเหมาะ ทำให้เกิดน้ำที่มีสถานะเป็นของเหลว นอกจากนี้ก็ยังเป็นสถานที่เดียวในขณะนี้ ที่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ โลกมีดวงจันทร์หนึ่งดวง

ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กเป็นอันดับสอง ในระบบสุริยะ และแทบจะมีมวลไม่มากพอจึงทำให้ เกิดชั้นบรรยากาศที่เบาบาง โอลิมปัสมอนส์เป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ สูงมากกว่าสามเท่าของยอดเขาเอเวอร์เรส ดาวอังคารมีดวงจันทร์ขนาดเล็กสองดวง ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมวลมากที่สุด ในบรรดาดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มันประกอบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นส่วนใหญ่ และเป็นสถานที่ที่พบพายุใหญ่ที่สุดและรุนแรงมากที่สุดเท่าที่เรารู้จัก พายุที่ใหญ่ที่สุดคือจุดแดงใหญ่, มีขนาดเป็นสามเท่าของโลก

ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์หกสิบเจ็ดดวง ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองและมีความหนาแน่นที่น้อยที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด เปรียบเทียบได้ว่าหากคุณมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ดาวเสาร์จะลอยอยู่ในนั้น ดาวเสาร์เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับวงแหวนที่มองเห็นได้ชัดของมัน มันมีดวงจันทร์หกสิบสองดวง

ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสาม และเป็นหนึ่งในที่หนาวเย็นมากที่สุด และก็ยังเล็กที่สุด ในบรรดาดาวก็าซยักษ์ สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับดาวยูเรนัสก็คือว่า แกนของการหมุนเอียงไปด้านข้างในทางตรงกันข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ทั้งเจ็ดดวง มันมีดวงจันทร์ยี่สิบเจ็ดดวง

ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ที่สุดท้ายในระบบสุริยะและมีความคล้ายคลึงกับดาวยูเรนัส มันไกลจากดวงอาทิตย์มากจน หนึ่งปีที่ดาวเนปจูนเป็น 164 ปีของโลก ความเร็วลมสูงสุดที่เคยวัดได้ในพายุบนดาวเนปจูน, ก็เพียงเกือบๆ 2,100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์สิบสี่ดวง ถ้าเราเปรียบเทียบขนาดของดาวเคราะห์ ความแตกต่างระหว่างพวกมัน จะเป็นที่ชัดเจนมากขึ้น

ดาวพฤหัสบดีเป็นผู้นำโด่งในแง่ของขนาดและน้ำหนัก; ในทางตรงข้าม ขนาดที่เล็กของดาวพุธมีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์แกนีมีด หนึ่งในบริวารดาวพฤหัสบดี ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่ เพียงแค่มวลของมัน ก็มีประมาณ 70% ของมวล ของทุกดาวเคราะห์รวม ๆ กันและส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งที่แวดล้อมมัน นับเป็นโชคดีสำหรับโลกเพราะดาวพฤหัสบดีดึงดูดดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่จำนวนมากที่สามารถชนโลกจนทำให้สิ่งชีวิตบนโลกสูญพันธุ์ได้ แม้แต่ดาวพฤหัสบดียังดูเป็นดาวแคระไปเสีย เมื่อเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ เรียกดาวพฤหัสบดีว่าใหญ่ดูจะลำเอียงกับดวงอาทิตย์

99.86% ของมวลในระบบสุริยะมาจากดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่ก็ประกอบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียม น้อยกว่า 2% เป็นธาตุหนัก เช่นออกซิเจนหรือเหล็ก ที่แกนของดวงอาทิตย์เผาไฮโดรเจน 620 ล้านตันในแต่ละวินาที และสร้างพลังงานพอที่จะตอบสนองความความต้องการของมนุษย์มานานเนิ่นนาน แต่ไม่เพียงดาวเคราะห์แค่แปดดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์น้อยและดาวหางนับล้านล้าน ก็ยังโคจรอยู่

ส่วนใหญ่ของพวกมันรวมกันอยู่คล้ายเข็มขัดสองเส้น: หนึ่ง แถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารและดาวดาวพฤหัสบดีและ สอง แถบไคเปอร์ที่ขอบของระบบสุริยะ เข็มขัดเหล่านี้เป็นบ้านของวัตถุที่นับไม่ถ้วน บางอย่างมีขนาดเพียงเท่าอนุภาคฝุ่น บางอย่างมีขนาดเท่าดาวเคราะห์แคระ วัตถุที่รู้จักกันดีที่สุดใน แถบดาวเคราะห์น้อยคือเซเรส วัตถุส่วนใหญ่รู้จักกันดีในแถบไคเปอร์ มีดาวพลูโต Makemake และ Haumea โดยปกติแล้วเราจะอธิบายแถบดาวเคราะห์น้อยเป็น ส่วนที่หนาแน่นและเกิดการ ชนอย่างต่อเนื่อง



แต่ในความเป็นจริง มีดาวเคราะห์น้อยกระจายไปทั่วบริเวณ ซึ่งกว้างใหญ่เสียจนยากที่จะเห็นดาวเคราะห์น้อยสองดวงในคราวเดียว แม้จะมีดาวเคราะห์น้อยหลายพันล้านดวงในแถบ แถบดาวเคราะห์น้อยยังคงดูเหมือนพื้นที่่ว่างเปล่านั่นเอง และยังคงมีการชนกันครั้งแล้วครั้งเล่า มวลของแถบทั้งสองนั้น แทบจะไม่มีความสำคัญ: แถบดาวเคราะห์น้อยมีมวลน้อยกว่า 4% ของมวลดวงจันทร์ของเราและแถบไคเปอร์มีขนาดระหว่าง 1/25 ถึง 1/10 ของมวลของโลก

วันหนึ่งระบบสุริยะจะหายไป ไม่มีอยู่แล้ว ดวงอาทิตย์จะตาย และดาวพุธ ดาวศุกร์ บางทีโลกด้วยก็จะถูกทำลาย ในเวลา 500 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ และร้อนจนถึงจุดหนึ่ง มันจะละลายเปลือกโลก จากนั้นดวงอาทิตย์จะโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลืนโลก หรืออย่างน้อยก็ทำให้โลกกลายเป็นทะเลลาวา เมื่อดวงอาทิตย์ได้ถูกเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิงเกือบทั้งหมดและสูญเสียมวลไปมาก มันจะหดตัวจนเป็นดาวแคระขาวและเผาไหม้ช้าๆ ต่อไปอีกไม่กี่พันล้านปี ก่อนที่จะหายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตในระบบสุริยะคือสิ่งเป็นไปไม่ได้ ทางช้างเผือกเองจะแทบจะไม่ได้สังเกตว่า ส่วนเล็ก ๆ อย่างระบบสุริยะในแขนข้างหนึ่ง จะกลายเป็นเพียงจุดที่มืดขึ้นเล็กน้อย และมนุษย์จะหายไปหรือออกจากระบบสุริยะ เพื่อการค้นหาดาวบ้านดวงใหม่

ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel

Popular Posts