คดีวิตถาร ครูสาวทำช็อคฆ่าข่มขืนนักเรียนหญิง
ฆาตกรวิตถารเมลิซซา ฮัคคาบี |
คนที่เห็นครูสาว "เมลิซซา ฮัคคาบี" จะไม่นึกระแวงเลยว่าเธอจะเป็นฆาตกรที่ข่มขืนและฆ่า "แซนดร้า แคนทู" เด็กหญิงวัยเพียงแปดขวบ เพราะไม่เพียงแต่เมลิซซาจะเป็นครูประจำชั้นของซานดรา เธอยังเป็นเพื่อนกับแม่ของเด็กน้อย และเป็นอาสาสมัครที่ใจดีที่มาสอนหนังสือให้เด็กๆ ที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์อีกด้วย คดีของเธอจึงสั่นสะเทือนความรู้สึกของชาวบ้านทุกคนในเมืองเทรซี รัฐแคลิฟอร์เนียร์
เมลิซซา ฮัคคาบี เติบโตขึ้นมาในเมืองเทรซี เมืองเล็กๆ เงียบสงบทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียร์ พ่อแม่ของเธอปลูกฝังลูกๆ ให้เชื่อในพระเจ้า และประพฤติตัวอยู่ในศีลธรรมเรื่อยมา นิสัยใจดี ชอบอุทิศตัวเพื่อสังคมจึงติดตัวลูกๆ ครอบครัวฮัคคาบี้ทุกคน เมลิซซาและพี่ๆ น้องๆ ต่างก็เป็นอาสาสมัครสอนหนังสือให้เด็กๆ ที่โบสถ์โคลฟเวอร์โรดแบ็พทิสต์มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จวบจนโตเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามีเวลาว่างเธอก็ยังแวะไปช่วยดูแลเด็กกำพร้าที่โบสถ์อยู่เสมอ
หนูน้อยผู้เคราะห์ร้ายซานดร้า แคนทู |
หลังจากแต่งงานและมีลูกหนึ่งคน เมลิซซาก็ย้ายมาซื้อบ้านใหม่ใกล้กับบ้านของมาเรีย ชาเวซ เธอจึงเป็นทั้งเพื่อนบ้านและครูประจำชั้นของเด็กน้อยซานดร้า แคนทู ลูกสาววัย 8 ขวบของมาเรีย มาเรียเชื่อใจเพื่อนบ้านคนนี้มาก ถ้าวันไหนที่มีธุระ เธอจะฝากเมลิซซาให้ช่วยดูแลมาเรียให้ ความสัมพันธ์ของสองสาวจึงเป็นเหมือนพี่น้องมากกว่าจะเป็นเพียงเพื่อนบ้านทั่วไป ตลอดเวลาแห่งความสงบสุขนั้น มาเรียไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าเมลิซซานี่เองที่จะเป็นคนที่พรากซานดร้าไปจากเธอโดยไม่มีวันกลับ
วันที่ 27 มีนาคม 2009 มาเรียและสามีไปแจ้งความด้วยสีหน้าร้อนรนว่าซานดร้าหายตัวไปอย่างลึกลับ ข้าวของทุกอย่างของเด็กหญิงยังอยู่ครบถ้วน และในบ้านก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือเสียงร้องไห้ช่วยเลยแม้แต่น้อย จึงเป็นไปได้ว่าเธอจะถูกคนล่อลวงไปทันทีที่ได้รับแจ้ง ตำรวจก็ระดมกำลังกันตามหาเด็กหญิงตามป่าละเมาะทั่วเมือง แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของซานดร้าแม้แต่เงา ภาพของเด็กหญิงปรากฏเป็นครั้งสุดท้ายในกล้องวงจรปิดด้านหน้า ออร์ชาร์ด เอสเตตส์ โมบายล์ โฮมพาร์ค ซึ่งห่างจากบ้านเมลิซซาไปเพียง 5 หลัง แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครนึกเฉลียวใจพอจะโยงคุณครูผู้แสนดีเข้ากับคนร้ายโรคจิตในคดีนี้
ตอนแรกตำรวจสันนิษฐานว่าซานดร้าอาจถูกลักพาไปเรียกค่าไถ่ แต่หลังจากสามวันผ่านไปโดยไม่มีโทรศัพท์ติดต่อมาจากคนร้าย ข้อสันนิษฐานนี้ก็ตกไป และกลับยิ่งทำให้ตำรวจมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซานดร้ากันแน่ การค้นหาดำเนินไปถึง 10 วันเต็ม ความหวังที่จะได้พบเด็กน้อยทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตริบหรี่เต็มทน แต่แล้วจู่ๆ เมลิซซาก็ส่งข้อความทางโทรศัพท์ไปบอกมาเรียว่า "ฉันเพิ่งนึกได้ว่าวันที่ซานดร้าหายตัวไปของอย่างหนึ่งของฉันก็ถูกขโมยไปด้วย ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ฉันอยากให้เธอบอกตำรวจไว้ด้วยนะ"
ของที่เมลิซซายืนยันว่าหายไปพร้อมกับซานดร้า เป็นกระเป๋าเดินทางยี่ห้อเอ็ดดี้ เบาว์เออร์ ขนาดกลางแต่ใหญ่พอที่จะใส่ร่างของเด็กหญิงวัย 8 ขวบได้ กระเป๋าที่หายไปทำให้เมลิซซากลายเป็นดาวเด่นในทันที ตำรวจต้องเรียกเธอไปสอบปากคำที่โรงพักหลายครั้ง พลอยทำให้เพื่อนบ้านทุกคนที่กำลังลุ้นเอาใจช่วยให้ซานดร้ากลับมาอย่างปลอดภัย พูดถึงเมลิซซากับกระเป๋าของเธอกันไม่ขาดปาก ครูสาวที่ไม่มีใครสนใจจึงกลายเป็นคนสำคัญในเวลาข้ามคืน
วันต่อมาเมลิซซาก็ถือกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งไปหาตำรวจ พร้อมกับเล่าว่าเธอพบโน้ตแผ่นนี้ถูกสอดไว้ในกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน โน้ตแผ่นนั้นยิ่งกระชากความสนใจของทุกคนมาที่เมลิซซาเป็นตาเดียวกัน เนื่องจากมันเป็นโน้ตจากคนร้ายระบุว่าได้เอาร่างของซานดร้าใส่ในกระเป๋าเดินทางโยนทิ้งลงในบ่อน้ำเก่าตรงถนนไวท์ฮอล์เรียบร้อยแล้ว ตำรวจและอาสาสมัครรีบระดมกำลังกันระบายน้ำออกจากบ่อน้ำแห่งนั้นทันที แล้วทุกคนก็พบกระเป๋าเดินทางที่หายไป พร้อมกับร่างไร้วิญญาณของซานดร้าถูกบรรจุอยู่ภายใน
ศพของซานดร้าสวมเสื้อสีชมพู มีรูปแมวเหมียวเฮลโหลคิตตี้ที่หน้าอก ใส่กางเกงสีดำ เป็นชุดเดียวกับภาพสุดท้ายที่เห็นในกล้องวงจรปิด จึงมั่นใจได้ว่าฆาตกรจะต้องเป็นคนๆ เดียวกับคนร้ายที่จับเธอไป ผลการชันสูตรยังพบเรื่องน่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นพบว่าเด็กน้อยเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน แต่บนร่างของซานดร้าไม่พบอสุจิของคนร้ายแต่อย่างใด สันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะเป็นมืออาชีพมีความชำนาญ ถึงกลบเกลื่อนหลักฐานได้ช่ำชองเหลือเชื่อ
"ในเบื้องต้นเราสันนิษฐานว่าคนร้ายรายนี้น่าจะเคยก่อคดีแบบนี้มาแล้ว ถึงรู้จักทางหนีทีไล่ และรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะกำจัดอสุจิที่ควรจะอยู่บนตัวเหยื่อ แต่เรายังไม่เข้าใจว่าทำไมคนร้ายถึงต้องส่งโน้ตมาบอกว่าศพอยู่ที่ไหนด้วย" ตำรวจเจ้าของคดีเล่า "ยิ่งไปกว่านี้จุดประสงค์ของคนร้ายก็ยังคลุมเครือ คนๆ นี้ไม่ต้องการทั้งเงินและชื่อเสียง เราจึงไม่รู้ว่าคนร้ายฆ่าซานดร้าไปเพื่ออะไร"
ตราบใดที่ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ เด็กคนใดคนหนึ่งในเมืองเทรซีก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ทุกเมื่อ ชาวเมืองทั้งหมดจึงเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เด็กๆ ถูกสั่งให้กลับบ้านทันทีที่เลิกเรียน พ่อแม่ก็ต้องคอยดูแลลูกๆ ไม่ให้คลาดสายตา บรรยากาศในเมืองตึงเครียดอย่างหนัก ชาวเมืองบางส่วนเริ่มระแวงกันเองว่าในหมู่พวกเขาอาจมีฆาตกรโหดแฝงตัวอยู่ก็เป็นได้
สำหรับครอบครัวแคนทู การสูญเสียลูกสาวคนเดียวเป็นความวิปโยคอย่างใหญ่หลวง มาเรียร้องไห้แทบว่าจะหัวใจสลาย เธอขอร้องตำรวจว่าเธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากการได้เห็นคนร้ายที่ฆาตกรรมลูกสาวของเธอได้รับโทษอย่างสาสม ในเวลาแห่งความโศกเศร้านั้น ครูสาวเมลิซซาทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่แสนดี เธอช่วยอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจมาเรีย และช่วยประสานงานกับตำรวจเพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดีตลอดเวลา หญิงสาวถูกมองเป็นฮีโร่คนเก่งของคดีนี้อีกด้วย เพราะถ้าไม่ได้กระดาษโน้ตที่เธอค้นพบในกองเอกสาร ก็คงยังไม่มีใครรู้ว่าจะตามหาศพของซานดร้าได้จากที่ไหน
แต่สิ่งที่เมลิซซาไม่รู้เลยก็คือตำรวจกำลังสงสัยพฤติกรรมของเธอ และค่อนข้างมั่นใจว่าเธอนั่นเองคือฆาตกร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายจะพุ่งความสนใจมาถึงเธอถึงสองครั้ง ครั้งแรกมาขโมยกระเป๋า และครั้งที่สองยังเอากระดาษระบุจุดซ่อนศพมาซ่อนไว้ให้เธอหาเจออย่างง่ายๆ ราวกับจะจงใจยกความดีความชอบให้เมลิซซาก็ไม่ปาน ด้วยเหตุนี้เองระหว่างที่เมลิซซากำลังลำพองใจกับชัยชนะ จู่ๆ ตำรวจก็ถือหมายค้นบุกไปค้นบ้านของเธอ แล้วก็พบจดหมายร่างข้อความที่บอกว่าจะพบศพซานดร้าได้ที่ไหนเขียนด้วยลายมือของเมลิซซาเอง ซ่อนอยู่ในสมุดโน้ตเล่มหนึ่ง
ทันทีที่พบกระดาษแผ่นนี้ ครูสาวฮีโร่ของทุกคนก็ตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักพาตัว ล่วงละเมิดทางเพศและฆาตกรรมไปทันที เมลิซซาร้องไห้ตลอดเวลาที่ถูกคุมตัวไปโรงพัก และร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อสารภาพว่าเธอนั่นเองคือฆาตกรฆ่าซานดร้า แคนทู ในวันเกิดเหตุเธออาศัยจังหวะที่แม่ของเด็กหญิงอยู่ในครัว แล้วเรียกซานดร้ามาพบ แล้วหลอกให้เข้าไปซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางโดยอ้างว่าเป็นเกมชนิดหนึ่ง จากนั้นเมลิซซาก็พาเด็กน้อยไปที่บ้านของย่าที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอ
เมลิซซาอ้างว่าเธอไม่ได้โรคจิตข่มขืนซานดร้า และการตายของเด็กหญิงเป็นอุบัติเหตุ เพราะซานดร้าขาดอากาศหายใจตายไปเองในกระเป๋าใบนั้น โดยที่เมลิซซาไม่ได้ทำร้ายแม้แต่กระผีกริ้น แต่จากหลักฐานของกองนิติเวชแย้งไปอีกทางหนึ่งว่าซานดร้าถูกละเมิดทางเพศก่อนจะเสียชีวิตอย่างแน่นอน เธอถูกข่มขืนด้วยปากกาลูกลื่นจากนั้นก็ถูกบีบคอ เมื่อเหยื่อหมดลมหายใจแล้วเมลิซซาจึงเอาร่างไร้วิญญาณนั้นบรรจุลงในกระเป๋าเดินทางเพื่อนำไปทิ้ง
"ศพของซานดร้าที่เราพบในกระเป๋าอยู่ในท่าที่บิดเบี้ยวผิดธรรมชาติไม่มีทางเลยที่เธอจะทำท่าทางอย่างนั้นได้ นอกจากจะตายเสียก่อนแล้วมีคนจับยัดลงไป" ตำรวจบอก เมื่อจำนนด้วยหลักฐาน เมลิซซาก็จำต้องรับสารภาพว่าจงใจฆ่าลูกศิษย์ตัวน้อยจริง เพราะหลงใหลในความสวยน่ารักของเก็ก หลังจากสารภาพไปโดยหวังว่าจะได้รับการลดโทษ ศาลซานโจควิน เคาน์ตี้ ก็พิพากษาจำคุกเมลิซซาตลอดชีวิต โดยจะไม่มีลดหย่อนหรืออภัยโทษใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากผู้เสียหายในคดีเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ตลอดเวลาที่ฟังคำพิพากษา เมลิซซาร้องไห้อย่างหนัก ส่วนครอบครัวของเธอที่มาร่วมฟังการพิจารณาก็ร้องไห้และสวดมนต์ตลอดเวลา
"ที่จริงเราไม่คาดคิดเลยว่าคนร้ายจะเป็นผู้หญิง" ตำรวจคนหนึ่งบอก "จากรูปการทั้งหมดตั้งแต่การลักพาตัว จับศพยัดใส่กระเป๋า และไหนจะข่มขืนอีก มันโหดร้ายจนน่าจะเป็นการกระทำของผู้ชายมากกว่า" เหตุจูงใจของเมลิซซามาจากความเบื่อในชีวิตเรียบง่ายของตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเธอมีอาการ Proxy Syndrome อาการทางจิตอย่างหนึ่งที่ต้องการเรียกร้องความสนใจอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มว่าจะชอบทำทารุณเด็ก เห็นได้จากการที่เธอบอกว่ากระเป๋าถูกขโมยไปก็ดี หรือเอาโน้ตบอกที่ซ่อนศพไปให้ตำรวจก็ดี นั่นก็เพื่อให้ทุกคนหันมาสนใจตัวเธอนั่นเอง ถ้าซานดร้าไม่ได้เป็นเหยื่อในครั้งนี้ เป็นไปได้ว่ามีโอกาสสูงมากที่เมลิซซาจะทำร้ายลูกของเธอเอง บางทีศพที่เราพบอาจจะเป็นศพลูกของเมลิซซาเองก็ได้ ตำรวจบอกอย่างเศร้าๆ
เรื่องราวน่ารู้เรียบเรียงจากสารคดีคุณภาพในรูปแบบบทความ
กดถูกใจแฟนเพจเพื่อติดตามและอัพเดตบทความใหม่ๆ คลิกเลย
กดถูกใจแฟนเพจเพื่อติดตามและอัพเดตบทความใหม่ๆ คลิกเลย
บทความแนะนำ