แพตซี่เล่าว่าโจนเบนท์ ลูกสาววัยเพียง 6 ขวบ เจ้าของตำแหน่งนางงามเด็กประจำรัฐโคโลราโด้ของพวกเขาหายตัวไปจากห้องนอน และเธอพบจดหมายเรียกค่าไถ่ลูกถูกเสียบไว้ที่บันไดบ้านขั้นสุดท้าย มีใจความว่า
"เราคือกลุ่มคนที่เรียกว่าเป็นตัวแทนของชาวต่างด้าว ตอนนี้เราได้จับลูกสาวคุณไว้แล้ว เธอปลอดภัย ยังไม่ถูกทำร้าย และถ้าคุณยังอยากให้เธอมีชีวิตอยู่จนถึงปี 1997 คุณต้องทำตามคำสั่งเรา คุณต้องถอนเงินออกมา 118,000 ดอลลาร์ แบ่งเป็นธนบัตรใบละ 100 จำนวน 100,000 ดอลลาร์ ส่วนที่เหลือ 18,000 นั้นให้เป็นใบละ 20 ดอลลาร์ทั้งหมด พอกลับถึงบ้านคุณต้องเอาเงินใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาล เราจะโทรหาคุณระหว่างเวลา 8:00 - 10:00 น. พรุ่งนี้ เพื่อบอกว่าให้เอาเงินไปไว้ที่ไหน การส่งเงินจะทำให้คุณเหนื่อยจนหมดแรง เพราะฉะนั้นจงพักผ่อนให้เต็มที่ ถ้าเราพบว่าคุณถอนเงินมาได้เร็ว เราจะโทรหาคุณเร็วขึ้น คุณจะได้ส่งเงินไปให้เราเร็วๆ และคุณจะได้รับลูกสาวของคุณกลับไป
ถ้ามีการบิดพลิ้ว เราจะสังหารลูกสาวของคุณทันที มีสุภาพบุรุษสองคนดูแลลูกสาวคุณอยู่ พวกเขาไม่ชอบคุณนัก ฉะนั้นอย่าทำอะไรที่เป็นการยั่วยุหรือท้าทาย การบอกเรื่องนี้กับใครๆไม่ว่าจะเป็นเอฟบีไอหรือตำรวจ จะทำให้ลูกคุณโดนตัดหัว ถ้าเราจับได้ว่าคุณพูดกับสุนัขรับใช้พวกนั้น...ลูกคุณตาย ถ้าคุณบอกเรื่องนี้ให้ทางธนาคารรู้...เธอตาย ถ้าเงินถูกทำตำหนิหรือเครื่องหมายใดๆ...เธอตาย คุณจะเล่นลูกไม้กับเราก็ได้ แต่เตือนไว้ก่อนว่าเราเป็นพวกที่คุ้นเคยกับเล่ห์กลทางกฎหมายและเทคนิคต่างๆ ดี หากคุณตบตาเรา ลูกสาวคุณมีโอกาสตาย 99% ถ้าคุณทำตามที่เราสั่งแต่โดยดี ลูกสาวคุณมีโอกาสรอด 100% อย่าพยายามอวดฉลาดเลยจอห์น อย่าคิดว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องยาก จงอย่าประเมินค่าเราต่ำไปนัก จงใช้สามัญสำนึกแบบชาวใต้ที่ดีของพวกคุณ ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณแล้วจอห์น จากกลุ่ม S.B.T.C."
หลังจากอ่านจดหมายจบ ตำรวจก็รีบติดตั้งเครื่องดักฟังโทรศัพท์เพื่อจับที่อยู่ของคนร้ายโดยเร่งด่วน ส่วนจอห์นก็รีบไปเบิกเงินจากธนาคารกลับมาตามที่คนร้ายสั่ง หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งจับเจ่ารอโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับปลอบใจแพตซี่ที่นั่งร้องไห้ตลอดเวลาไปด้วย ทว่ารอแล้วรอเล่าจนเวลาล่วงไปบ่ายโมง ก็ไม่ปรากฏว่ามีโทรศัพท์จากใครโทรมาแม้แต่กริ๊งเดียว จนกระทั่งเวลาบ่ายโมง จอห์นซึ่งรอจนเบื่อก็ชวนฟลีท ไวท์ เพื่อนสนิทของครอบครัวออกเดินสำรวจรอบๆ บ้าน เพื่อดูว่ามีข้าวของอะไรถูกขโมยบ้างหรือเปล่า
ทั้งคู่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างที่ประตูทางลงห้องใต้ดิน จอห์นและฟลีทจึงช่วยกันดันประตูห้องใหญ่หนสฝืดนั้นออก เมื่อเข้าไปข้างในเขาก็พบร่างเล็กๆ ของหนูน้อยโจนเบนท์อยู่ที่นั่น เธอนอนหงายมีผ้าห่มคลุมทับชุดนอน ที่ศรีษะมีร่องรอยถูกทำร้ายเป็นแผลใหญ่ ที่ปากถูกเทปปิดไว้แน่น มีสายเชือกสีขาวรัดแน่นอยู่รอบลำคอจนเชือกจมลึกเข้าไปในเนื้อที่ด้านหลังมีไม้เล็กๆ ขันชะเนาะเอาไว้ ส่วนข้อมือทั้งสองข้างก็ถูกมัดด้วยเชือกชนิดเดียวกัน ร่างของเด็กน้อยแข็งทื่อเขียวคล้ำและมีกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ บ่งบอกว่าเธอต้องเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งวัน
ทันทีที่เห็นจอห์นก็รีบเข้าไปคว้าตัวลูกขึ้นมา แต่เมื่อพบว่าเธอตายสนิท เขาจึงอุ้มร่างไร้วิญญาณนั้นกลับเข้าไปในห้องโถง พลางร้องเรียกแพตซี่ไปตลอดทาง การพบศพเด็กหญิงทำให้สถานการณ์พลิกผันไปในทันที ตำรวจพุ่งเป้าความสงสัยทั้งหมดไปที่สองผัวเมียจอห์นและแพตซี่ เพราะตามปกติแล้วคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านโดยไม่มีหลักฐานว่ามีผู้บุกรุกบุกเข้ามา ตำรวจต้องสงสัยสมาชิกในครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรกซึ่งในคดีนี้ก็มีเหตุให้น่าสงสัยหลายประการอีกด้วย ข้อแรกตำรวจพบรอยเท้าย่ำหิมะออกไปนอกบ้าน และมีรอยรองเท้าปรากฏอยู่ห้องใต้ดินที่พบศพ ซึ่งแสดงว่ามีคนปีนออกจากห้องใต้ดินของบ้านนี้ แต่กลับไม่มีรอยเท้าที่แสดงว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาจากภายนอกเลย
ข้อที่สอง ในคืนนั้นมีเพื่อนบ้านหลายคนได้ยินเสียงร้องหลายครั้งดังมาจากบ้านแรมซี่ย์ในกลางดึก และเห็นแสงไฟเปิดสว่าง ซึ่งน่าแปลกที่สองผัวเมียแรมซี่ย์เองกลับหลับปุ๋ย ไม่มีใครได้ยินเสียงดังกล่าวแม้แต่น้อย นอกจากนี้ตำรวจยังพบว่ากระดาษที่ใช้เขียนจดหมายเรียกค่าไถ่ก็เป็นกระดาษที่ฉีกจากสมุดฉีกในบ้านนี่เอง แม้แต่ปากกาที่ใช้เขียนจดหมายก็ถูกพบภายในบ้านเช่นกัน
ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นต้องยกให้ปฏิกิริยาของจอห์นขณะพบศพ จากประสบการณ์ของตำรวจซึ่งเห็นคนตายมามาก ทันทีที่พาอแม่เห็นร่างของลูกน้อยนอนตายอยู่ พวกเขาจะต้องเรียกตำรวจลงไปดูสพเป็นอันดับแรก แต่จอห์นกลับอุ้มร่างของโจนเบนท์ขึ้นมาซะเอง เหมือนกับจงใจทำลายสภาพที่เกิดเหตุ และหลังจากส่งศพไปสถาบันนิติเวชแล้ว จอห์นก็โทรศัพท์บอกข่าวกับลูกอีกสองคนที่ไปพักผ่อนอยู่ต่างเมือง และกำลังเดินทางกลับมาเพราะข่าวน้องสาวถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ แต่จอห์นบอกว่าโจนเบนท์ตายแล้วด้วยคำพูดที่เรียบเฉยราวกับพูดถึงเรื่องทั่วไป ไม่ใช่ข่าวการตายของลูกสาวตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ข้อสงสัยของตำรวจยังไม่หมดเพียงเท่านี้ พวกเขาพบว่าเงินจำนวน 118,000 ดอลลาร์ในจดหมายเรียกค่าไถ่ มีจำนวนเท่ากับเงินโบนัสวันคริสต์มาสที่จอห์นเพิ่งได้รับพอดิบพอดี และอักษรย่อ S.B.T.C. ก็น่าจะมาจาก Subic Bay Training Centre ซึ่งมันเป็นหน่วยทหารของจอห์นระหว่างที่เขาไปประจำการอยู่ในกองทัพเรือเมื่อปี 1960 ด้วย คนร้ายจึงต้องรู้จักจอห์นชนิดเจาะลึกราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ถึงได้รู้รายละเอียดส่วนตัวของเขามากมายปานนี้
จากหลักฐานทั้งหมดทั้งมวลทำให้ตำรวจได้ข้อสรุปว่าฆาตกรที่สังหารหนูน้อยโจนเบนท์นั้นไม่น่าจะเป็นคนแปลกหน้าที่ไหน แต่น่าจะเป็นจอห์น พ่อของเธอนั่นเอง และจอห์นย่อมไม่อาจกลบเกลื่อนร่องรอยทุกอย่างได้ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากแพตซี่ร่วมด้วย แต่คนรวยอย่างจอห์นไม่ใช่หมูที่จะให้ตำรวจเคี้ยวได้ง่ายๆ พอรู้ว่าคุกตารางอาจลอยมาถึงตัว เขาก็รีบจ้างทนายฉลาดเป็นกรดมาสองคน และสองทนายมือทองก็ทำงานได้คุ้มค่าจ้างด้วยการร้องต่อศาลขอประกันตัวจอห์นได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกมือ ตำรวจจึงต้องฝากความหวังในการจับฆาตกรไว้ที่ผลการชันสูตรศพหนูน้อยโจนเบนท์เพียงอย่างเดียว
จากการชันสูตรพบว่าแม้จะมีวัยเพียง 6 ขวบ แต่โจนเบนท์กลับถูกล่วงละเมิดทางเพศมาอย่างยาวนาน เยื่อพรหมจารีของเธอมีรอยขาดขนาด 1 ซม. x 1 ซม.อยู่ด้วย บริเวณช่องคลอดก็บวมเป่งและมีคราบเลือดเกรอะกรัง ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของเธอนั้นเกิดจากการถูกรัดคอ คอของเธอหัก ที่กะโหลกศรีษะไม่มีรอยฉีกขาด แต่มีรอบกระแทกอย่างแรงคล้ายถูกทุบด้วยไฟฉายหรือไม้กอล์ฟ ที่แผ่นหลังและขาทั้งสองข้างมีรอยถลอกคล้ายถูกลากมาจากที่ใดที่หนึ่งก่อนจะนำมาทิ้งไว้ในห้องใต้ดิน
ผลชันสูตรยืนยันความจริงอันสยดสยองว่า ขณะที่ศรีษะถูกกระแทกอย่างแรงจนบาดเจ็บสาหัสนั้น โจนเบนท์ยังมีชีวิตอยู่ เธอถูกฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง แต่ฆาตกรก็กลัวว่าเธอจะไม่ตายจึงรัดคอเธอแล้วใช้ไม้ขันชะเนาะอย่างแน่นหนา เพื่อให้มั่นใจว่าหนูน้อยจะต้องขาดใจตายอย่างแน่นอน
เป็นการฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อเหยื่อเป็นเพียงเด็กหญิงแสนสวยวัยเพียง 6 ขวบเท่านั้น
ถึงแม้กฎหมายจะเอาผิดครอบครัวแรมซี่ย์ไม่ได้ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถลอยนวลไปได้อย่างสบายใจ เพราะกระแสสังคมที่รุนแรงไม่แพ้บทลงโทษทางกฎหมาย ที่ตามเล่นงานจนสมาชิกในครอบครัวทุกคนไม่มีที่ยืนในเมืองโบลเดอร์ จอห์นและแพตซี่จึงแก้ลำด้วยการไปออกรายการโทรทัศน์เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
"ผมไม่ได้ฆ่าโจนเบนท์ลูกสาวผม มีคนพูดใส่ร้ายว่าเธอถูกละเมิดทางเพศ แต่ผมพูดได้เลยว่านี่เป็นการหมิ่นประมาทครอบครัวผมมาก พวกคุณทุกคนคิดผิดทั้งหมด" นอกจากนี้จอห์นยังตั้งเงินรางวัลให้ใครก็ตามที่สามารถให้เบาะแสคนร้ายได้ด้วยวงเงินสูงถึงหนึ่งแสนดอลลาร์ (ประมาณสามสิบล้านบาท) อีกด้วย
แต่แทนที่การลงทุนไปออกทีวีจะช่วยให้เสียงนินทาที่ถาโถมใส่จอห์นและแพตซี่เบาบางลง กลับกลายเป็นว่ายิ่งพวกแรมซี่ย์เคลื่อนไหว ชาวบ้านก็ยิ่งมีเรื่องใหม่ๆ มานินทากันสนุกปากจนจอห์นต้องหอบลูกหอบเมียหนีไปอยู่รัฐแอตแลนตาเพื่อซื้อความสบายหู เรื่องของครอบครัวแรมซี่ย์จึงเริ่มหายไปจากความสนใจของสังคม อีกหนึ่งปีต่อมาก็เกิดการโอละพ่อครั้งใหญ่ เมื่อห้องแล็บตรวจสอบสิ่งที่เก็บมาจากร่างของโจนเบนท์แล้วพบว่ามันไม่ใช่เชื้ออสุจิ หรือก็คือเด็กน้อยไม่ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างที่ตำรวจฟันธง หลักฐานทางนิติเวชที่ค้านสายตาประชาชนชิ้นนี้ทำเอาตำรวจผู้รับผิดชอบคดีลุกขึ้นมาออกงิ้วกันเป็นทิวแถว
นายตำรวจสตีฟ โธมัส ซึ่งมั่นใจว่าจอห์นและคนในครอบครัวคือกุญแจสำคัญในการตายของโจนเบนท์ ประกาศลาออกจากราชการทันที ก่อนไปสตีฟยังได้ทิ้งเชื้อไฟไว้ด้วยว่าอัยการชอบเอาข้อมูลคดีซึ่งควรจะเป็นความลับทางราชการไปปรึกษากับจอห์น กระพือให้ข่าวลือที่ว่าจอห์นแอบให้เงินใต้โต๊ะกับอัยการบางคนยิ่งดูจะเป็นความจริงมากขึ้น และแล้วอีก 13 เดือนต่อมาในวันที่ 13 ตุลาคม 1999 คดีฆาตกรรมนางงามเด็กแห่งรัฐโคโลราโด้ก็มาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อคณะลูกขุนพิจารณาคดีประกาศว่าครอบครัวแรมซี่ย์ทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจาก "เราไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อหาจับกุมตัวทุกคนที่ได้ถูกไต่สวนไปแล้ว" อัยการประจำเมืองโบลเดอร์แถลงกับนักข่าว
ผลการพิจารณาคดีนี้กลายเป็นรอยด่างอีกหน้าหนึ่งของวงการยุติธรรมของสหรัฐ เสียงค้านที่ดังระงมไปทั่วประเทศบีบให้จอห์นและแพตซี่ต้องยอมเข้าเครื่องจับเท็จเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์อีกครั้งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2000 แต่เมื่อการพิสูจน์ยังทำโดยทีมอัยการเจ้าเก่าหน้าเดิม จึงไม่มีชาวบ้านคนไหนยอมเชื่อผลลัพธ์ที่ออกมาอยู่นั่นเอง ครอบครัวแรมซี่ย์จึงปีกหลักอยู่ที่แอตแลนต้า โดยไม่ยอมกลับไปเหยียบเมืองโบลเดอร์อีกเลย
ชีวิตใหม่ในแอตแลนต้าของจอห์นและครอบครัวควรจะสุขสบายที่สุดเท่าที่อำนาจเงินจะดลบันดาลได้ แต่จะเพราะกรรมยุคนี้ติดจรวดหรืออย่างไรก็สุดจะเดา ไม่นานนักพวกเขาก็ได้รับข่าวร้ายว่ามะเร็งในตัวแพตซี่กลับลุกลามขึ้นมาอีก ซ้ำร้ายคราวนี้เซลล์มะเร็งยังลุกลามไปทั่วถึงระดับที่รักาาไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่าเธอกำลังจะตาย เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับเธอไม่เพียงแต่สร้างความทุกข์ใจให้ลูกและสามี แต่ยังส่งผลไปถึงคนที่ติดตามคดีฆาตกรรมหนูน้อยโจนเบนท์ด้วย ทุกคนหวังว่าก่อนตายแพตซี่อาจจะสำนึกบาปและยอมสารภาพความจริงออกมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามโลกนี้มีเรื่องเหนือความคาดหมายมากมายกว่าที่คิด จู่ๆ ตำรวจก็ได้ข้อมูลใหม่ว่า จอห์น มาร์ค คาร์ ครูชาวอเมริกันวัย 41 ปี ได้เขียนอีเมล์ติดต่อกับศาสตราจารย์คนหนึ่งในรัฐโคโลราโด้ เพื่อศึกษาเรื่องคดีของโจนเบนท์มาตั้งแต่แรกเริ่ม และคาร์ก็สารภาพด้วยว่าเขานี่ล่ะคือฆาตกรที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่
จอห์น มาร์ค คาร์ |
ประวัติของคาร์สร้างความสับสนให้กับคนที่ปักใจเชื่อว่าหนูน้อยโจนเบนท์ตายด้วยน้ำมือพ่อของเธอไม่น้อย คาร์เกิดที่เมืองแฮมิลตัน รัฐอลาบาม่า หลังจากจบปริญญาตรีเขาก็ทำงานเป็นนายหน้าขายที่ดิน ก่อนจะผันตัวไปเป็นผู้ช่วยครูที่โรงเรียนเล็กๆ ในรัฐอลาบาม่าในปี 1996 ซึ่งเป็นปีที่เกิดคดีฆาตกรรมโจนเบนท์พอดิบพอดี ต่อมาคาร์ถูกเชิญให้ออกหลังจากมีการร้องเรียนหลายครั้งว่าเขาใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับเด็กๆ ทว่าชะรอยอาชีพครูคงทำให้คาร์ค้นพบเส้นทางของตัวเอง เพราะหลังจากนั้นเขาก็ไปเรียนต่อในสาขาศิลปะเพื่อจะออกมาเป็นครูเต็มตัว แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็ถูกตำรวจตะครุบตัวในข้อหามีภาพเด็กเปลือยไว้ในความครอบครอง สร้างความอับอายขายหน้าให้ภรรยาของคาร์จนต้องขอหย่า ตอนหนึ่งของคำฟ้องระบุว่าเธอเพิ่งรู้จากโรงเรียนเก่าที่สามีเคยทำงาน ว่าเขามีพฤติกรรมฝักใฝ่เด็กอย่างผิดปกติจนไม่เหมาะกับอาชีพครู
ยิ่งสืบเรื่องราวย้อนหลังไป พ่อแม่ที่เคยให้ลูกเรียนหนังสือกับคาร์คงขนลุกซู่ เนื่องจากครูหนุ่มใหญ่หน้าตาใจดีคนนี้เคยแต่งงานกับเด็กหญิงเควียนตานา ช็อตต์ส ซึ่งมีอายุเพียง 13 ปีมาแล้ว แสดงให้เห้นถึงจิตใจที่นิยมมีเพศสัมพันธ์กับเด็กของเขา แต่คาร์มีโอกาสได้เชยชมเมียรักวัยกระเตาะเพียงปีเดียว ศาลก็ประกาศให้การแต่งงานของเขาเป็นโมฆะตามคำร้องของแม่หนูช็อตต์ส ซึ่งสารภาพว่าเธอต้องหายใจอยู่กับความหวาดกลัวทุกเมื่อเชื่อวัน จนน่ากลัวว่าจะตายเสียก่อนจะได้โตเป็นสาว เช่นเดียวกับคาร์ล่า ภรรยาคนที่สองซึ่งหย่าขาดกับคาร์ไปแล้วก็แต่งงานกับเขาเมื่ออายุเพียง 16 ปีเท่านั้น
คาร์ล่าให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งว่า ตั้งแต่คดีโจนเบนท์ดังกระหึ่มไปทุกมุมเมือง อดีตสามีของเธอก็หมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้จนผิดปกติ นายเว็กซ์ฟอร์ด พ่อของคาร์ก็ยอมรับว่าลูกชายสนใจคดีโจนเบนท์มาก และได้ทำรายงานส่งให้วิทยาลัยที่เขาสำเร็จการศึกษาด้วย ซึ่งฝีมือการเขียนที่เจาะลึกเหมือนเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตัวเองของเขานั้นเด็ดดวงจนอาจารย์ถึงกับออกปากว่านี่ถ้าไปเขียนนิยายขาย รับรองว่าต้องขายดิบขายดีติดอันดับเบสท์เซลเลอร์อย่างแน่นอน
หลังจากถูกจับในข้อหามีรูปเปลือยของเด็กๆ ไว้ในครอบครอง คาร์ก็หนีคดีออกร่อนเร่เป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนไปตามประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรเลีย ฮอนดูรัส และคอสตาริกา โดยไปประกอบอาชีพเป็นครูตามที่ถนัด แต่น่าสังเกตว่าเขาไม่เคยอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินสองปีเลย ก่อนจะถูกตำรวจตามมาจับได้เมื่อปี 2002 ในเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่ากรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเรานี่เอง
พอถูกจับแทนที่จะบอกปัดว่าตนเองไม่ผิดเหมือนผู้ต้องสงสัยทั่วไป คาร์กลับยืดอกรับหน้าตาเฉยว่าเขานี่ล่ะคือฆาตกรฆ่าโจนเบนท์ แต่เมื่อตำรวจส่งเรื่องไปถึงมืออัยการ อัยการประจำรัฐโคโลราโด้ก็ทำเอาทุกคนหน้าหงายด้วยการไม่ส่งฟ้องคาร์ โดยมีเหตุผลสั้นๆ ว่าหลักฐานไม่เพียงพอ เนื่องจากในช่วงเวลาที่เกิดคดีฆาตกรรมโจนเบนท์นั้น คาร์กำลังฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ห่างจากเมืองโบลเดอร์ออกไปหลายร้อยไมล์
เซท เทอมิน ทนายของคาร์ก็ตีปีกแถลงว่า อัยการเขตโบลเดอร์ได้ยกเลิกหมายจับลูกความของเขาแล้ว และที่ตำรวจรีบจับตัวคาร์ทั้งๆ ที่ขาดพยานหลักฐานก็เป็นเพียงการหาแพะรับบาป เพราะคดีนี้ถูกสือมวลชนประโคมข่าวจนกลายเป็นประเด็นร้อนไปแล้วนั่นเอง อย่างไรก็ตามถึงจะรอดพนจากตำแหน่งฆาตกรในคดีโจนเบนท์ไปได้ แต่คาร์ก็ยังไม่วายต้องเข้าไปนอนตบยุงในคุกอยู่ดี เนื่องจากคดีมีภาพอนาจารของเด็กไว้ในครอบครองของเขายังไม่หมดอายุความ
มีข้อสังเกตว่าตลอดเวลาที่เรื่องของคาร์ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งหลายวันติดต่อกัน ครอบครัวแรมซี่ย์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกลับเฉยสนิท ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ราวกับพวกเขามั่นใจแต่แรกแล้วว่า คาร์ไม่ใช่ฆาตกรโหดที่ฆ่าลูกสาวของเขา ลินดา ฮอฟมันพิวจ์ อดีตแม่บ้านของพวกแรมซี่ย์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือซุบซิบสังคมเล่มหนึ่งว่า "เป็นไปได้ว่าโจนเบนท์ถูกแม่ของเธอฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ฉันรู้ดี เพื่อนฝูงของครอบครัวนี้ก็รู้ดี แม้แต่ตำรวจก็รู้ จะมีก็แต่กระบวนการยุติธรรมที่เอื้อมเข้ามาไม่ถึง"
ถ้อยแถลงของลินดาเป็นความจริงหรือไม่ คงมีแต่ครอบครัวแรมซี่ย์เท่านั้นที่จะตอบได้...