google.com, pub-6663105814926378, DIRECT, f08c47fec0942fa0 Mega topic | จัดอันดับ | 10 อันดับ| เรื่องผี| เรื่องสยองขวัญ| ที่สุดในโลก| ดูดวง| ประวัติศาสตร์

บทสัมภาษณ์ วิกรม กรมดิษฐ์ จากรายการตอบโจทย์ประเทศไทย พูดถึงประเทศต่างๆในอาเซียน

บทสัมภาษณ์ วิกรม กรมดิษฐ์ จากรายการตอบโจทย์ประเทศไทย พูดถึงประเทศต่างๆในอาเซียน

บทสัมภาษณ์คุณ วิกรม กรมดิษฐ์ จากรายการตอบโจทย์ประเทศไทย พูดถึงประเทศต่างๆในอาเซียน ลักษณะนิสัยของผู้คนเวียดนาม จีน ลาว พม่า เขมร เศรษฐกิจอาเซียน ประเด็นทำไมเวียดนามเจริญกว่าไทย ทำไมปัจจุบันจีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา รายการตอบโจทย์ประเทศไทยทางสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ประจำวันอังคารที่ 8 มกราคม 2556



พิธีกร: ตอบโจทย์ประเทศไทยวันนี้ เรามาสนทนากับนักธุรกิจไทยที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของประเทศ ผู้ที่เดินทางจากประเทศไทยเข้าสู่กัมพูชา เข้าสู่เวียดนาม เข้าสู่สาธารณะรัฐประชาชนจีน ไปจนถึงมองโกเลียก่อนที่จะเดินทางย้อนกลับเข้าสู่พม่า ประเทศลาวแล้วกลับมาที่ประเทศไทย อะไรคือประสบการณ์ที่เขาได้เห็นจากการเดินทางไกล ประสบการณ์เหล่านั้นย้อนกลับมาสู่ประเทศไทยให้บทเรียนอะไร ตอบโจทย์ประเทศไทยวันนี้สนทนากับคุณวิกรม กรมดิษฐ์ครับ

พิธีกร: คุณวิกรมปีที่ผ่านมาเดินทางจากประเทศไทยไปไกลถึงมองโกเลีย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรที่สำคัญในเอเชียบ้างครับ

คุณวิกรม: ถ้าไปครั้งนั้นคงไม่เห็นอะไรนะครับ ไปครั้งนั้นมัน 30 ปีมาแล้ว ประเทศจีนนั้นตอนนี้ถือว่าเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ว่าไปแล้วประเทศจีนถือว่าเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ที่จริงแล้วเส้นทางที่ผมเดินทางไป ผมออกจากกรุงเทพ เข้าพนมเปญ แล้วก็เข้าโฮจิมิน ขึ้นฮานอย แล้วก็ทะลุไปกวางสี เกาะไปสู่ชายทะเลของจีนแล้วขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของประเทศจีนที่มั่วเหอ แล้วมั่วเหอเสร็จก็วกเข้าไปสู่มองโกเลียใน แล้วก็เข้าสู่ประเทศมองโกเลีย ผมอยู่ในประเทศมองโกเลียประมาณสักเกือบเดือนนึง แล้วถึงตีกลับมาเข้าจีนอีก เข้าจีนแล้วก็ทะลุจีนเข้ามาที่ลาว ข้ามจากลาวไปก็ไปพม่าที่ทวาย รวมแล้วประมาณ 6 เดือนครึ่ง ถึงกลับมาเมืองไทยครับ

พิธีกร: ทีนี้ผมจะไล่ไปทีละประเทศ คุณวิกรมออกจากไทยแล้วไปเขมร เขมรเนี่ยไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ไป แม้ว่าจะอยู่ใกล้ มีศึกสงครามมายาวนานและความขัดแย้งในประเทศสูง ในรอบล่าสุดเห็นความปลี่ยนแปลงอะไรมั้ยครับ

คุณวิกรม: ผมว่าเขมรเป็นประเทศที่น่าสนใจมาก โดยทำเลของเขมรแล้วนี่ถือว่าอยู่ในที่ๆเขาเรียกว่าดาวน์สตรีม คืออยู่ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำแม่โขง ฉะนั้นถ้าเราจะมามองว่าเขมรนี่ก็คือที่ๆอุดมสมบูรณ์ ถ้าเข้าไปในเขมรจะมีความรู้สึกว่า โอกาสในเขมรนั้นเยอะมาก เอาง่ายๆว่า คนเขมรปลูกอะไร ขุดอะไรขึ้นมา คนไทยซื้อได้หมด ขณะเดียวกันที่คนไทยผลิตอะไร แล้วมีอะไรในประเทศไทย คนเขมรเขาก็ซื้อได้หมด นั่นก็คือสิ่งที่ผมเห็นในเขมร มีความรู้สึกว่านั่นคือโอกาส แล้วเขมรนั้นมีโอกาสให้สำหรับคนไทยมากที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่มีประเทศใดๆในภูมิภาคนี้ที่จะสามารถสร้างโอกาสในการทำธุรกิจ ในเชิงธุรกิจ ได้มากเท่ากับเขมร

พิธีกร: เพราะอะไรถึงเป็นเขมรที่ให้โอกาสกับคนไทยมากที่สุดครับ

คุณวิกรม: เอ่อ เพราะเขามาข้างหลังเรา เหมือนกับทำไมเราต้องไปซื้อของญี่ปุ่นทุกอย่างที่ญี่ปุ่นผลิตได้ เพราะเราเดินอยู่ข้างหลังญี่ปุ่น ทฤษฎีเดียวกันครับ เขมรก็เป็นแบบนั้น

พิธีกร: ทีนี้จากเขมร ผมขออนุญาตชวนเลี้ยวไปทางเวียดนาม แล้วช่วงหลังคนไทยจะชอบเปรียบเทียบตัวเองกับเวียดนามว่า ระวังให้ดีเถอะเวียดนามจะแซงหน้าไทย ตกลงมันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า

คุณวิกรม: ก็จริงนะ เพราะว่าคนเวียดนามเป็นคนที่มีสมาธิ เป็นคนที่ตั้งใจ เป็นคนที่มุ่งมั่น และที่สำคัญที่สุดเขาเป็นคนที่อดทน เห็นได้จากอย่างนี้ว่า ผมไปพูดในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยของเวียดนามเนี่ย ผมไปพูดแล้วมีความรู้สึกว่าผมอยากจะพูด

พิธีกร: เพราะอะไรครับ

คุณวิกรม: เพราะว่านักเรียนเวียดนาม... ยกตัวอย่าง ผมไปพูดที่ไซ่ง่อน เขาเชิญนักเรียนทั้งหมดมาจากประมาณ 20 มหาวิทยาลัยมา มีทั้งหมดประมาณพันกว่าคน อยู่ในห้องโถงใหญ่เลย ผมพูดไปชั่วโมงครึ่ง ผมไม่เห็นมีนักเรียนคนไหนเขาคุยกัน เขาหลับ เขาไม่ตั้งใจเลยสักคน แล้วเหลืออีกประมาณชั่วโมงกว่า เขาถามกันหูดับตับไหม้ ในขณะเดียวกันผมก็ไปที่มหาวิทยาลัยอื่น ทุกคนก็ตั้งใจฟังกันหมดเลย มันเป็นสิ่งที่วิเศษมากของคำว่าความตั้งใจ คนเวียดนามมีความตั้งใจสูงเหลือเกิน ไอ้ความที่ตั้งใจสูงก็ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น ไอ้เด็กนักเรียนที่เขาเรียนไม่เก่งนั่นมันเป็นเพราะเขาไม่ตั้งใจ ไม่ใช่เขาเรียนไม่เก่ง อันนี้ก็ทำให้คนเวียดนามเก่งเพราะเขาตั้งใจ ผมไปพูดอยู่ในเวียดนามสักประมาณ 6-7 ครั้ง ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผิดหวัง ผิดกับตอนที่ไปพูดในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยนั้นผมผิดหวังมาเยอะ

พิธีกร: ผิดหวังกับอะไรครับ

คุณวิกรม: ผิดหวังกับความตั้งใจของนักเรียน ไอ้เราคุย เราพูด ไอ้พวกนี้นั่งคุยกัน หรือไม่ก็โทรศัพท์กัน หรือไม่ก็หลับ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผมเลยบอกว่า ครั้งสุดท้ายนี่ผมคิดว่าผมคงไม่อยากไปพูดอีกแล้ว ในมหาวิทยาลัยใดๆในเมืองไทย ผมไปพูดครั้งสุดท้ายที่บัญชีของจุฬา บัญชีจุฬาก็ยังดีนะแต่ก็ยังมีพฤติกรรมแบบนั้น ไอ้อันนั้นคือความต่างของคนเวียดนามกับคนไทย ว่าทำไมคนเวียดนามถึงได้เก่งกว่าคนไทย เพราะเขาตั้งใจ ไม่ใช่ว่าสายพันธุ์คนเวียดนามเก่งกว่าคนไทย ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะเวียดนามเขาถูกฝึก ถูกอบรมแล้วคนเวียดนามนี่เขาตั้งใจฟัง ผมคุยกับคนเวียดนามนี่ ผมมีความรู้สึกเขามีสมาธิกับผมเยอะมาก นั่นก็เป็นเหตุว่าทำไมผมถึงไปลงทุนในเวียดนาม

พิธีกร: ทีนี้คุณวิกรมบอกว่าไปนั่งพูดเป็นชั่วโมง ไม่มีคุยกัน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่ออกจากห้อง เสร็จแล้วถามคำถามต่อ คนเวียดนามถามคำถามอะไรคุณวิกรมบ้างครับ

คุณวิกรม: เขาถามคำถามที่ make sense มากนะ เด็กเวียดนามนี่ถามคำถามที่ผมนึกไม่ออก เป็นคำถามที่.. ผมก็จำไม่ได้หรอกนะ แต่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ผมพอใจเป็นอย่างมากในคำถามนั้นแทบจะทุกคำถาม เอาเป็นว่าร้อยละ 90 ผมมีความพอใจในคำถามของเด็กเวียดนามที่ถามผม แล้วผมก็มีความสุขที่จะตอบให้เขา พอผมพูดเสร็จ เขายกมือกันสลอนเลย มันเป็นสิ่งที่ผมแฮปปี้ที่สุดที่ผมได้ไปพูดในเวียดนาม

พิธีกร: มหาวิทยาลัยไทย โรงเรียนไทย ครูถามนักเรียนตอนพูดเสร็จ คนเห็นอะไรฮะเวลามองไป

คุณวิกรม: ก็เงียบๆ อันนี้คือปัญหา

พิธีกร : มียกมือขึ้นมากันบ้างไหมครับ

คุณวิกรม: น้อยมาก นี่คือปัญหา

พิธีกร: เห็นความแตกต่างชัดเจน

คุณวิกรม: ผลของการเรียน...เราจะเห็นได้เลยว่านักเรียนที่เรียนเก่งเขาตั้งใจเรียน ไม่มีอัจฉริยะคนไหนที่รู้มาจากในท้องแม่โดยที่ไม่ต้องเรียน ทุกคนจะต้องตั้งใจเรียนและตั้งใจฟัง สิ่งเหล่านี้มันอ่อนแอมากในสังคมการศึกษาของคนไทย

พิธีกร: ทีนี้ถ้าเด็กนักเรียนเป็นอย่างนี้ แล้วนักธุรกิจเวียดนามเป็นอย่างไรครับ

คุณวิกรม: นักธุรกิจเวียดนามนี่ถือว่า เข้ม เก่ง อึด แล้วก็มีไดรฟ์ มีความมุ่งมั่นสูง สูงมากๆ ตอนอเมริกาทิ้งระเบิดในเวียดนามถ้าเอามาเรียงต่อกันได้เส้นรอบวงของโลกสามรอบ ถ้าคนเวียดนามไม่เป็นอย่างนี้ เขาแพ้ไปแล้ว ความมุ่งมั่นของนักธุรกิจเวียดนามนี่มันอึด มันอดทน เพราะพวกนี้เขาอยู่ในป่า พวกนี้เขารบกันมาตลอด แล้วพวกนี้เขาเผชิญกับความลำบากมา เช่นเดียวกัน พอเวลามาทำธุรกิจ ธุรกิจนี่มันไม่ได้ยาก มันไม่ได้หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ผมทำงานอยู่ในเวียดนามาเกือบยี่สิบปี บริษัทที่ลงทุนนะ ผมรู้เลยว่าคนเวียดนามเก่ง คนเวียดนามใฝ่รู้ คนเวียดนามใฝ่อ่าน เวลาประชุม รายงานการประชุมทุกอย่าง คนเวียดนามอ่านแทบจะทุกตัว ซึ่งมันต่างกับในบอร์ดของในคนไทย อย่างคนไทยจะมาประชุมนี่ยังไม่ค่อยได้อ่าน ไอ้นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ไอ้ธุรกิจธุรกรรมนี่เราลองไปดูคนเวียดนามในต่างประเทศสิ ดูว่าคนเวียดนาม คนไทย คนจีน หนึ่งต่อหนึ่ง ใครรวยกว่ากัน เห็นมั้ยครับว่าความตั้งใจนั้นเป็นชัยชนะของความรู้ ถ้าคนเราไม่ตั้งใจความรู้มันจะมีได้ยังไง

พิธีกร: ทีนี้คนเวียดนามเป็นแบบนี้ คุณวิกรมเข้าไปจีนแล้วเป็นยังไงครับ

คุณวิกรม: อื้ม ผมไปพูดให้ในประเทศจีนสักสองสามแห่งนะ ผมว่าสมาธิเด็กนักเรียนจีนสู้เด็กเวียดนามไม่ได้ ไม่เต็มเปี่ยมเท่าเด็กเวียดนาม คนจีนฉลาด คนจีนเรียนรู้เร็ว คนจีนเยอะ ความได้เปรียบของคนจีนอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าเทียบหนึ่งต่อหนึ่งผมว่าคนเวียดนามแจ๋วกว่าคนจีน แต่ถ้าทั้งประเทศนี่มันสู้ไม่ได้หรอก

พิธีกร: ถ้านักเรียนจีนเป็นอย่างนี้แล้วนักธุรกิจจีนเป็นยังไงครับ

คุณวิกรม: คนจีนนี่โหยหิวเรื่องความรวย คนจีนมีความชอบเรื่องเงินทอง คนจีนเช้าขึ้นมาปั๊บก็จะคิดเรื่องผลประโยชน์ เรื่องทำธุรกิจ คนจีนทำอะไรไม่เป็น นอกจากทำธุรกิจ นั่นคือโครงสร้างของจีน ของพันธุกรรมคนจีนที่มีมา 5,000 ปี ประเทศจีนนี่ถ้ามาว่ากันแล้วมันก็ค้าๆขายๆ ประเทศจีนใหญ่มาก คนจีนด้วยกันเองก็ค้าขายกัน ฉะนั้นการสร้างไหวพริบในการแข่งขันของคนจีนมันถูกฝึกด้วยตัวของประเทศจีนมาหลายชั่วคน อันที่สองจีนในช่วงที่ผ่านมานั้นพื้นฐานดี เราต้องยอมรับนะครับว่าเสถียรภาพของจีนนั้นเกิดมาจากระบบคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตุงนั้นปิดประตูตีแมว รวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น เมื่อประเทศมีเสถียรภาพ เติ้งเสี่ยวผิงก็เปิดประตูให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนมากที่สุดในโลก ประการที่สามคือขยัน ขยันรวย ใฝ่รวย แล้วก็ชอบรวย ประเทศจีนก็เลยประสบความสำเร็จ ประเทศจีนหลังจากที่เปิดประเทศมานี่ GDP ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร น้ำมันจะขึ้นมากี่รอบแล้ว ประเทศจีนไม่มีตก เพราะว่าสามเหตุผลที่ว่า บวกด้วยเรื่องของโลก พอสงครามเย็นหยุดไป โลกทั้งโลกก็หันมาทำธุรกิจ สิ่งที่โลกทั้งโลกต้องการใช้ก็คือสินค้า ประเทศจีนนี่สินค้าระดับกลางลงล่าง ทั้งหมดของโลกผมว่าสินค้าจีนประมาณ 60% ฉะนั้นจีนก็หุ้นขึ้นๆ เพราะโลกต้องการสินค้าที่จีนผลิต แล้วอีกประการหนึ่งที่ผมมองแล้วมันตลกมากก็คือสิ่งแวดล้อม ผมเดินทางอยู่ในประเทศจีนทั้งหมดเกือบสามเดือนเต็ม รถของเราวิ่งอยู่บนถนน ผมไม่เห็นถนนเส้นไหนเลยที่ไม่ปลูกต้นไม้ แล้วปลูกหลายชั้น ปลูกจนกลายเป็นป่า ผมไม่เห็นที่ไหนทิ้งโล่ง ไม่มีเลย มีการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเยอะมาก และมีการจัดโซนการใช้มอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันตามเมืองใหญ่ด้วย มันเห็นได้ว่าไม่ใช่พัฒนากันแต่ด้านเศรษฐกิจ ตอนนี้พัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมแล้วก็พลังงานสีเขียวด้วย

พิธีกร: ที่คุณวิกรมเล่าประวัติศาสตร์มา เหมาเจ๋อตุงรวมประเทศเข้าไว้ด้วยกัน เสร็จแล้วเติ้งเสี่ยวผิงมาเปิดประเทศ แต่ยังมีความแตกต่างทางชนชั้นอยู่มาก คุณวิกรมเห็นปัญหานี้ไหมครับ

คุณวิกรม: ก็จริงสิ จะมีใครที่ไหนที่จะไปทำให้ประเทศจีนรวยเท่ากันได้ ไม่มีทางหรอก ประเทศจีนใหญ่มาก เอาอย่างนี้ดีกว่า ประเทศจีนแค่ภาษาอย่างเดียวนี่มีเป็นพันภาษา คำว่าหนึ่งภาษานี่หนึ่งความคิดนะ คนจีนเมื่อสามสิบปีที่แล้วนี่จนที่สุดในโลกนะ พอสามสิบปีให้หลังกลายเป็นประเทศที่รวยที่สุดในโลก เขาทำได้ยังไง มีประเทศไหนทำได้บ้าง ไม่มี

พิธีกร: แล้วคนที่รวยมากๆเป็นซุปเปอร์มหาเศรษฐี ขับรถคันละสามสิบสี่สิบล้านกับคนที่จนมากๆขี่จักรยานข้าวไม่มีจะกิน มันอยู่ด้วยกันในสังคมได้ยังไง

คุณวิกรม: ที่ไหนๆมันก็เหมือนกันทั้งนั้นมีทั้งคนจนที่สุดกับรวยที่สุดอยู่ด้วยกัน

พิธีกร: แล้วนักธุรกิจหรือผู้นำในประเทศจีนเขามีความกังวลเรื่องความแตกต่างทางชนชั้นไหมครับ คุณวิกรมสัมผัสได้ถึงตรงนี้ไหม

คุณวิกรม: วันนี้ไงถึงต้องมีผู้นำยุคใหม่ ผมว่ามันทำกันเป็นทอดๆมา ทอดแรกนี่ทำยังไงให้มันตกผลึก ให้มันกลายมาเป็นปึกแผ่น เหมาเจ๋อตุงนี่ปิดประตูตีแมวเลย เติ้งเสี่ยวผิงนี่ถือว่าจน เติ้งเสี่ยวผิงรู้เลยว่ายุโรปนั้นเจริญมาก เพราะเขาไปทำงานอยู่ในฝรั่งเศส ก็เลยเปิดประเทศ เป็นช่วงก่อร่างสร้างตัวเอง ผ่านมาถึงจนยุคหูจินเถานี่รู้สึกว่า เขาตอนนี้พัฒนา เขาประสบความสำเร็จแล้ว ผ่านมาตอนนี้ความต้องการของเขาคือต้องการให้คนจีนมีความกินดีอยู่ดีเพิ่มขึ้นจากเดิม แน่นอนว่าช่องว่างระหว่างคนจนกับรวยยังมีอยู่ ต่อมาฉีจิ้นผิงได้ทำการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอยู่จุดนึงเขาพยายามกวาดล้างคอร์รัปชั่น เขาพยายามทำให้ช่องว่างนั้นมันแคบลง เช่นเวลาผู้นำไปเมืองไหน เขาจะต้องมีการปิดถนน มีการจัดงานต้อนรับ อะไรต่ออะไร แต่พอฉีจิ้นผิงขึ้นมาแล้วนี่ไม่มี มันเป็นการสร้างความรู้สึกเพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้น และการที่มีรัฐบาลเพียงพรรคเดียว ใครที่กุมอำนาจ คนนั้นย่อมทำอะไรได้เยอะ ทำอะไรก็ได้ เราต้องยอมรับว่าคนจีนมีเยอะที่รวยได้แบบไม่ถูกต้อง ตอนนที่หูจินเถาเป็นผู้นำเขาพูดในวันชาติจีนว่า สามสิบปีมานี้จีนประสบความสำเร็จเพราะลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะฉะนั้นจีนจะละทิ้งคอมมิวนิสต์ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนจะมีปัญหาเรื่องความมั่นคงของประเทศ พอฉีจิ้นผิงขึ้นมาเป็นผู้นำเขาต้องการล้างภาพพจน์ที่ว่าผู้นำพอมีอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจนั้นมาทำประโยชน์ในเรื่องส่วนตัว

พิธีกร: แล้วประชาชนเขามีความคิดเห็นอย่างไร

คุณวิกรม: คนจีนมีความกังขา เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตมันเป็นตัวนำพาข้อมูล เวลามีข่าวว่าผู้นำคนไหนมีเงิน หรือข่าวที่ผู้นำใช้อำนาจในทางผิดๆ สิ่งเหล่านี้กำลังเริ่มคุกรุ่นในสังคมจีน เดี๋ยวนี้ความโปร่งใสนั้นเป็นเป้าหมายอย่างเดียวที่รัฐบาลจีนต้องทำให้ได้ รัฐบาลจีนตอนนี้ไม่กลัวเรื่องเศรษฐกิจ เพราะตัวเองตอนนี้มีเงินมากเหลือเกิน แล้วก็ไม่กลัวว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงยังไง จะมีเศรษฐกิจเป็นยังไง แต่ที่ต้องการรักษาจริงๆคือเสถียรภาพของรัฐบาล การเมืองจีนนั้นนิ่งเพราะมีพรรคอยู่พรรคเดียว แต่เสถียรภาพของรัฐบาลนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของประชาชน วันนี้ถ้ามีข่าวอะไรขึ้นมาเนี่ย มันเร็วกว่าสมัยเทียนอันเหมินหลายสิบเท่า นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนห่วงมาก

พิธีกร: ถ้าอย่างนั้นอะไรที่จะสั่นคลอนพรรครัฐบาลที่อยู่มาอย่างเข้มแข็งถึง 50 ปีได้

คุณวิกรม: ประชาชน ประเทศจีนนี่ถ้าประชาชนเขาลุกฮือขึ้นมาพร้อมๆกัน รัฐบาลจะมีทหารอีกกี่สิบล้านคนก็คุมสถานการณ์ลำบาก คนจีนนั้นหัวรุนแรงนะ ผมไปประเทศจีนสิบครั้ง ผมเจอคนจีนชกกันสองครั้ง คนจีนเป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วเดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์กันแทบจะทุกคน การนัดหมายกันโดยคอมพิวเตอร์ทำได้ง่าย รัฐบาลก็เป็นห่วงเรื่องนี้มาก การแก้ไขก็คือการสร้างผลงานที่โปร่งใส

พิธีกร: แล้วถ้ารัฐบาลจีนแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ได้

คุณวิกรม: ต้องได้ ถ้าไปดูผู้นำจีนนี่เป็นวิศวะแทบทั้งนั้น วิศวะนั้นถ้าจะทำอะไรต้องทำให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผู้นำจีนคิดว่าต้องทำให้ได้

พิธีกร: ทีนี้วกมาที่พม่าบ้าง ตอนนี้พม่าเปิดประเทศแล้ว คุณวิกรมเห็นอะไรในพม่าที่คนทั่วไปไม่เห็นครับ

คุณวิกรม: คนอื่นเขาก็เห็นกันนะ ไม่ใช่แต่ผมหรอก ผมไปพม่ามาตั้งหลายปีแล้วนะ ตั้งยี่สิบสามสิบปีแล้ว ผมเห็นว่าพม่าไม่มีในสิ่งที่เรามี แล้วเราก็ไม่มีในสิ่งที่พม่ามีด้วย ทรัพยากรธรรมชาติพม่ามีล้นเหลือ เขามีทำเลที่ดีคือเขาติดมหาสมุทรอินเดีย ประเทศไทยเราทุกวันนี้สินค้าของเราต้องลงไปทางอ้อมลงใต้ไปช่องแคบมะละกา ถ้าไทยอาศัยอาเซียน อาเซียนกฎบัตรก็คือไม่มีพรหมแดน ถ้าอาศัยในสิ่งที่พม่ามีคือโลเกชั่นติดทะลนั้น จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คนไทยจะต้องมองโลกให้เป็น มองโลกให้ทะลุ เราต้องตีไข่ให้แตกอย่างคนเกาหลีว่าจะใช้คนทั้งโลกนี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร โลกใบนี้ตลาดใหญ่มาก ถ้าเราคุยกับพม่าเป็นแล้วใช้กฎบัตรของอาเซียน เราก็จะอยู่ตรงกลางที่ยืนอยู่สองฟากคือมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย สินค้าไทยจะลดต้นทุนลงไปอย่างน้อยสามถึงสี่เปอร์เซ็นต์ในเรื่องของเวลาและค่าขนส่ง แล้วก็จะทำให้เรานั้นมีตลาดกว้างขึ้น

พิธีกร: ถ้าคุยถึงพม่าก็ต้องพูดถึงทวาย ถ้าทวายเกิดขึ้น จะมีอะไรเปลี่ยนบ้าง

คุณวิกรม: เปลี่ยนเยอะเลย อย่างสิ่งที่จะถูกลงคือพืชผลทางการเกษตร เราสามารถเอาไปลงเรือใหญ่ที่พม่าได้เลย แล้วการท่องเที่ยวก็จะมากขึ้น การค้าก็จะมากขึ้น การลงทุนในระยะยาวในภูมิภาคนี้ก็จะมากขึ้น ทวายจะเปลี่ยนภูมิภาคนี้

พิธีกร: การเมืองพม่าพลิกไปพลิกมา มีอะไรน่าหวาดเสียวไหม

คุณวิกรม: มองในมุมคนไทยก็พลิกสิ ถ้ามองในมุมคนพม่า รัฐบาลทหารก็คือรัฐบาลทหาร มีเปลี่ยนที่ไหน รัฐบาลทหารมาตั้งกี่สิบปีแล้ว

พิธีกร : นักธุรกิจคุยกับรัฐบาลทหารยังไงครับ

คุณวิกรม: ที่จริงนี่คุยกับรัฐบาลทหารง่ายกว่าที่จะไปคุยกับนักการเมืองแบบไทยๆ

พิธีกร: เพราะว่าอะไรครับ

คุณวิกรม: ก็รัฐบาลทหารเขาคุยกันแบบทหารไง เขาไม่ปลิ้นปล้อนน่ะ ทหารนี่เขาพูดกันคำไหนคำนั้นนะ ผมเนี่ยชอบทหารเวียดนาม ผมนี่ชอบคบกับพวกทหารนะ ผมชอบทำงานกับทหาร อาจจะเข้ากันยากนิดนึงในช่วงแรก เพราะทหารนี่ค่อนข้างจะระวังตัว แต่ถ้าเราทำอะไรที่ให้เห็นถึงสัจจะ ความซื่อสัตย์ ความมุ่งมั่นที่ดี



พิธีกร: ที่นี้วกมาที่ลาวบ้าง ประเทศเล็กๆ แต่ตั้งอยู่ตรงกลางที่เดินทางมาทั้งหมด ลาวเป็นอย่างไรในสายตาคุณวิกรม

คุณวิกรม: รวยกว่าคนไทยนะคนลาวน่ะ ในระยะยาวไม่ใช่วันนี้ เพราะว่าลาวนี่เอาเฉพาะไฟฟ้าที่ทำด้วยพลังงานน้ำ ของลาวมีประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ เท่ากับที่เราใช้ทุกวันนี้ แต่ลาวยังมีถ่านหินที่สามารถผลิตเป็นไฟฟ้าได้อีกประมาณ 20,000 เมกะวัตต์ ลาวมีประชากรนิดเดียว ไทยมีมากกว่าประมาณ 10 เท่า แต่ปรากฏว่าลาวมีไฟฟ้ามากกว่าคนไทย แล้วทรัพยากรของลาววันนี้สมบูรณ์มีมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า แล้วพื้นฐานของเขานั้นเขาอยู่กันอย่างพอเพียง ผมว่าประเทศลาวเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุด ไม่มีประเทศไหนนะที่เอาเมืองหลวงมาตั้งที่ชายแดน เพราะเขามองว่าเขาไว้ใจประเทศไทย คนไทยไม่ควรจะไปดูถูกคนลาว ไม่ควรจะไปว่าคนลาว ผมว่าคนลาวน่ารักกว่าคนไทยเยอะเลย เขายิ้ม เขาพูดจาด้วยความซื่อ แล้วเขาจริงใจกับเรา ภาษาพูดก็คล้ายๆกัน เดี๋ยวนี้เวียดนามกลายเป็นมือหนึ่งของนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในลาว เพราะคนลาวกำลังลดน้อยเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อไทย คนไทยชอบไปดูถูกเขา ชอบไปเรียกเขาไอ้ลาว ชอบไปว่าเขาว่าไม่ฉลาด นึกว่าตัวเองฉลาดมากนักรึไง อันนี้ทำให้คนลาวถอยห่างจากเรา แต่คนเวียดนามนี่เขาให้เกียรติลาวมากกว่าคนไทย คนไทยชอบหลอกตัวเอง เราบอกว่าเขาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับเรา แต่เราเป็นพี่ที่ไม่ได้น่านับถือเลย ถ้าเราเป็นพี่ที่น่านับถือใครๆก็อยากเป็นน้อง ประเทศไทยในอดีตเคยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ เวลานี้เรากลายเป็นผู้ตาม เวลานี้เวียดนามเขาแซงเราไปเยอะมากเพราะเวียดนามเขาไม่ดูถูกคนลาว เดี๋ยวนี้ลาวเขาหันไปใกล้ชิดกับคนเวียดนามทั้งๆที่ทั้งโลกลาวเป็นประเทศเดียวที่ฟังภาษาไทยออก

พิธีกร: ในตอนหน้าเราจะคุยกันว่าแล้วประเทศไทยจะต้องทำอย่างไร และทำไมประเทศไทยถึงล้าหลัง สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

บทความแนะนำ

แนวข้อสอบใบขับขี่ ศพนิรนาม 25 เรื่องบ้าบอและน่าทึ่งที่โลกบันทึกไว้ 10 อันดับพระผงพิมพ์นิยมที่นักสะสมใฝ่ฝัน ประวัติหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ สรงน้ำพระธาตุตามปีเกิดด้วยหัวใจอิ่มบุญ กินอยู่แบบนาฬิกาชีวิต พิชิตไวรัสได้อย่างไร ฮาเร็มในเรือนไทย ตบตี

จำนำข้าว...หายนะเศรษฐกิจข้าวไทย

จำนำข้าว...หายนะเศรษฐกิจข้าวไทย

จำนำข้าว...หายนะเศรษฐกิจข้าวไทย

รายการตอบโจทย์ ตอน "จำนำข้าว...หายนะเศรษฐกิจข้าวไทย" กับแขกรับเชิญ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ออกอากาศ 15 ตุลาคม 2555



ผู้ดำเนินรายการ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ผู้ดำเนินรายการ : สวัสดีครับท่านผู้ชมครับ รายการตอบโจทย์ทำเรื่องข้าวต่อเนื่องมาหลายวันเชิญขาใหญ่ในวงการมาทั้งสิ้นตั้งแต่อาจารย์อัมมาร์ สยามวาลา ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่รู้เรื่องข้าวดีที่สุดคนหนึ่ง ทำมาตั้งแต่ตอนหนุ่มจนถึงปัจจุบันเป็นนักวิชาการอาวุโส ต่อเนื่องด้วยอาจารย์โอฬาร ชัยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีก็บอกว่าทำวิจัยเรื่องข้าวมากับอาจารย์อัมมาร์นั่นแหละครับ มาวันนี้จะเชิญขาใหญ่ในทางเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องข้าวมาตลอดชีวิตอีกคน จะมาสนทนากับเราเรื่องปัญหาข้าว เรื่องการจำนำข้าวของรัฐบาลครับ เป็นทั้งอดีตประธาน TDRI เป็นอดีตคณะบดีคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร ครับ อาจารย์สวัสดีครับ

อาจารย์นิพนธ์ : สวัสดีครับ

ผู้ดำเนินรายการ : อาจารย์ครับรัฐบาลบอกว่านโยบายรับจำนำข้าวชาวนาได้ประโยชน์ทั้งประเทศ แล้วก็ได้ประโยชน์จริงๆ นักวิชาการอย่างอาจารย์มาขวางทำไมครับ

อาจารย์นิพนธ์ : ได้ประโยชน์จริงๆ ครับ ไม่ได้ปฏิเสธครับ แต่ประโยชน์ที่ได้เนี่ย ได้กับเกษตรกรที่มีฐานะร่ำรวยและก็มีฐานะปานกลาง ส่วนเกษตรกรที่ยากจนไม่ได้ประโยชน์ ต้องพูดอย่างนี้ว่า ชาวนาทุกคนไม่ใช่ว่ายากจน มีชาวนาที่ร่ำรวย ร่ำรวยนี่หมายความว่าเราจัดลำดับรายได้ของชาวนา มีชาวนาที่อยู่ในกลุ่มที่รายได้ร่ำรวยที่สุด 4 กลุ่มมีอยู่ประมาณ 1,000,000 ครัวเรือน ซึ่งเป็นคนที่เข้าโครงการรับจำนำข้าว ทีนี้ถ้าไปดูตัวเลขผลของการจำนำข้าว เอาตัวเลขนาปรังจะเห็นชัดที่สุด คนที่เป็นชาวนาเล็กๆ เอาคนที่ได้ประโยชน์ก่อน ชาวนาเล็กๆจำนำได้ไม่เกิน 100,000 บาท ก็ประมาณ 7-8 ตัน มีที่ดินน้อย คนพวกนี้มีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของชาวนาที่เข้าโครงการ แต่จำนวนเงินที่ได้เพียง 8% ทีนี้พอมาดูชาวนาที่ร่ำรวยจำนำข้าวได้เงินเกิน 600,000 มีอยู่ 5% แต่ได้เงินไป 19 % ส่วนพวกชาวนาที่อยู่ระดับปานกลางคือ จำนำข้าววงเงิน 100,000 - 600,000 บาท มี 62% ได้เงินไปประมาณ 73% เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ปานกลางกับกลุ่มที่ร่ำรวยได้ประโยชน์ นี่เป็นข้อมูลจากชาวนาที่เข้าโครงการหนึ่งล้านครัวเรือน แต่อย่าลืมว่ามีชาวนาทั้งหมดสี่ล้านครัวเรือน อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เข้าโครงการขายข้าวในตลาดมีข้าวเหลือขายก็จะได้ประโยชน์จากราคาสูงขึ้น อันนี้จริง แต่ยังมีอีกกลุ่มที่ผลิตข้าวไม่พอกินต้องซื้อข้าวหรือผลิตข้าวพอดีไม่ได้ขายข้าว พวกนี้ก็จะมีประมาณอีกหนึ่งล้านครัวเรือนที่ไม่ได้ประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นที่บอกว่าชาวนาทั้งหมดไดประโยชน์นั้นไม่จริง

ผู้ดำเนินรายการ : ตกลงแล้วอาจารย์จะบอกว่า ที่รัฐบาลเอาเงินไปช่วยนั้นเป็นชาวนาปานกลางกับร่ำรวย ในขณะที่ชาวนาที่ยากจนที่ควรจะช่วยก็ไม่ได้ช่วย

อาจารย์นิพนธ์ : ใช่ครับมีอยู่หนึ่งล้านครัวเรือนที่ไม่ได้ประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นโครงการนี้ก็เข้าใจได้ ชาวนาที่มีฐานะปานกลางเป็นคนส่วนใหญ่ ฐานเสียงอยู่ตรงนี้

ผู้ดำเนินรายการ : ถ้าฟังอย่างนี้แล้วต่อไปนักวิชาการจะเอาอะไรไปค้านในเมื่อฐานเสียงนี้เป็นชาวนาทั้งประเทศ อาจารย์จะไปสู้กับชาวนาทั้งประเทศไหวเหรอครับ

อาจารย์นิพนธ์ : เราไม่ได้ไปสู้กับชาวนา เพราะเราอยากให้ชาวนามีฐานะดีขึ้น นโยบายที่เราอยากจะเห็นคือนโยบายที่จะช่วยชาวนาโดยเฉพาะชาวนาที่ยากจนเป็นหลัก หรือชาวนาที่มีฐานะปานกลางระดับล่าง ไม่ใช่ไปช่วยชาวนาที่มีฐานะร่ำรวย ผมคิดว่านโยบายควรจะเป็นแบบนี้

ผู้ดำเนินรายการ : อาจารย์ครับนอกจากชาวนาแล้วยังมีโรงสี มีโกดัง มีเซอร์เวเยอร์ที่เข้ามาในกระบวนการค้าข้าวอีก อาจารย์ยังต้องรบกับพวกนี้อีก

อาจารย์นิพนธ์ : อันนี้เป็นศึกหนักที่สุด

ผู้ดำเนินรายการ : เพราะว่าอะไรครับอาจารย์

อาจารย์นิพนธ์ : เพราะว่า โรงสีนี่ทำธุรกิจลำบากนะครับ เวลาทำธุรกิจนี่ต้องแข่งขันกันสูง มีโรงสีหลายพันโรงในประเทศไทย ไอ้การสีข้าวขายเนี่ยมันได้กำไรนิดเดียว ส่วนใหญ่โรงสีที่อยู่กันได้เนี่ยได้จากการเก็งกำไรราคา ต้องมีความสามารถในการติดตามภาวะราคาเก็งกำไร ดังนั้นพอมีโครงการนี้เข้ามา โรงสีที่เข้าโครงการนี้ได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย จากตัวเลขข้าว 1 ตัน ที่รัฐบาลให้ 500 บาทต่อตัน แล้วรัฐบาลให้เป็นผลผลิต แล้วคิดอัตราการสีดีหน่อย ถ้าไม่โกงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เขาจะได้กำไรจากการทำธุรกิจปกติ 200-300 บาทแล้ว เพราะฉะนั้นเขาชอบมากโครงการนี้ เพราะว่าไม่ต้องไปกู้เงิน ไม่ต้องไปซื้อข้าวมาตุนเอาไว้เพราะเป็นข้าวรัฐบาล เสร็จแล้วเวลารัฐบาลขายข้าว คนพวกนี้ซื้อข้าวรัฐบาลได้อีกเพราะคนอื่นไม่กล้าประมูลเพราะข้าวมันอยู่ในคลังของเขา ไอ้คลังกลางของรัฐบาลเนี่ย รัฐบาลไม่ได้เป็นเจ้าของคลังเอง รัฐบาลไปเช่าคลังของโรงสีของใครต่อใคร เพราะฉะนั้นเขาจึงซื้อข้าวได้จากรัฐบาล คนอื่นไม่กล้าประมูลกัน เพราะคนอื่นไม่รู้ว่าข้าวในโกดังมันมีคุณภาพอย่างไร ไม่นับที่มีการสูญเสียที่มีข่าวว่าไปเอาข้าวมาจากต่างประเทศ ทั้งลาวทั้งเขมร แล้วถ้าสมมุติว่าส่งข้าวเข้าไปในโกดัง แล้วร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ กับเซอร์เวเยอร์ จ่ายเงินใต้โต๊ะให้เซอร์เวเยอร์กับเจ้าหน้าที่ ส่งข้าวขาดน้ำหนัก ก็ได้กำไรอีก ทั้งหมดนี่มันหอมหวลมาก ทำธุรกิจอะไรก็ไม่ดีเท่ากับธุรกิจที่มีเส้นมีสายกับรัฐบาล แล้วก็ได้กำไรเยอะแยะเป็นกอบเป็นกำ แต่กำไรนี่มาจากความสามารถมั้ย ไม่ใช่เลย เป็นกำไรที่เอาเงินมาจากภาษีประชาชนทั้งนั้นครับ

ผู้ดำเนินรายการ : แล้วถ้าทีนี้รัฐบาลบอกจะส่งรองนายกรัฐมนตรี อดีตนายตำรวจเก่า มือปราบเก่าเข้าไปปราบคอร์รัปชั่น จับไหวไหมครับอาจารย์

อาจารย์นิพนธ์ : คือไม่ไหวหรอกครับ จับยังไงก็ไม่ไหว ให้ขนข้าราชการมาทั้งประเทศก็จับไม่ไหว

ผู้ดำเนินรายการ : ทำไมมันจับไม่ได้ครับอาจารย์

อาจารย์นิพนธ์ : จับไม่ได้ครับเพราะธุรกิจอันนี้เนี่ยเราเรียกว่าเหมือนกับการสร้างบ้านหรือคอนโดที่เขา Build in เฟอร์นิเจอร์ไว้เรียบร้อยแล้ว มันออกแบบระบบการจำนำที่มันเอื้อต่อการทุจริตแบบ Build in

ผู้ดำเนินรายการ : มันเป็นยังไงครับ Build in คอร์รัปชั่นเนี่ยครับอาจารย์

อาจารย์นิพนธ์ : ราคาข้าวสูงมากทำให้มีพ่อค้าไปซื้อข้าวจากต่างประเทศ ที่นี้ซื้อเข้ามาแล้วมันไม่ถูกจับ เราเห็นโรงสีนี้ทำ โรงสีอื่นเห็นก็ทำตาม เกษตรกรบางคนที่รับจ้างปลูกข้าวญี่ปุ่น ไปจดทะเบียน แอบจดทะเบียน แล้วก็เอาใบทะเบียนไปขายให้โรงสี ได้สองต่อคือ ขายข้าวก็ขายข้าวญี่ปุ่นนอกโครงการแล้วยังเอาทะเบียนมาขายให้โรงสีได้อีก พอเกษตรกรเพื่อนบ้านเห็นไอ้คนนี้ทำแล้วไม่ถูกจับ เพราะเป็นอาชญากรรมไร้เจ้าทุกข์ ไม่มีใครฟ้องก็เริ่มทำบ้าง เพราะฉะนั้นระบบนี่มันเอื้อต่อการทุจริต เรียกว่าทุจริตแบบฝังใน แบบ Build in เรียบร้อย

ผู้ดำเนินรายการ : ทีนี้ถ้าระบบมันเป็นแบบนี้ รัฐบาลก็ต้องรู้อยู่ รัฐบาลรู้โครงสร้างอยู่แล้ว ถ้ารัฐบาลไปจับทีละจุด ทีละจุด เพื่อไม่ให้เกิดคอร์รัปชั่นได้ไหมครับ

อาจารย์นิพนธ์ : ยากครับ เพราะว่าอย่าลืมว่ามันเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก เกษตรกรหนึ่งล้านคน โรงสีอีกเป็นพันโรง อยู่กระจายทั่วประเทศไทย จะไปจับตอนไหนครับ ขนข้าวเข้าไปแล้วอยู่ในโกดัง น้ำหนักต่ำกว่าที่กำหนด คุณจะไปเอาข้าวในโกดังเป็นหมื่นๆ ตัน ออกมาชั่งใหม่ได้ไหม แล้วกี่โรงสีครับ กี่โกดังครับ ระบบทำให้คนมีแรงจูงใจที่จะทุจริต ไม่ทุจริตก็ได้กำไรแล้ว ยิ่งทุจริตยิ่งได้กำไรมาก ตรงนี้เนี่ยคุณเล่นกับแรงจูงใจของคน มันต้องปรับระบบใหม่ ระบบใหม่ที่ดีคือรัฐบาลต้องไม่เข้ามาค้าขาย ทันทีที่รัฐบาลเข้ามาค้าขาย มันเลยเป็นระบบที่เอื้ออำนวยให้มีการทุจริต

ผู้ดำเนินรายการ : รัฐบาลบอกไม่ทันแล้วครับ นี่เป็นการค้าขายแล้วก็สู้กับตลาดโลก นี่จะเป็นครั้งแรกที่ประเทศผู้ผลิตข้าวอย่างไทยถูกเขากดราคา วันนี้จะสร้างระบบใหม่ไปสู้กับตลาดโลกยังไงครับอาจารย์

อาจารย์นิพนธ์ : ที่รัฐบาลคุยเอาไว้ตอนต้น ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ ว่าจะขายในราคาที่เรียกว่า cost plus คือเอาราคา 15,000 บวกต้นทุนอื่นๆ ซึ่งมันก็จะตกประมาณ 800 กว่าเหรียญ เวลานี้รัฐบาลไม่กล้าพูดแล้วเพราะว่ารัฐบาลก็รู้แล้วว่าไม่มีใครซื้อข้าวในราคาขนาดนั้น เพราะข้าวในคุณภาพเดียวกันซื้อจากประเทศอื่นได้ในราคา 400-500 เหรียญ ประเทศไทยเวลานี้ตั้งราคา 600 เหรียญ ยังไม่มีใครอยากจะซื้อเลย เพราะฉะนั้นเวลานี้รัฐบาลรู้แล้วว่าทำไม่ได้ ตลอดปีที่ผ่านมารัฐบาลขายได้แค่หนึ่งล้านกว่าตัน บวกกับที่ขายได้ภายในสิ้นปีนี้ที่ท่านรัฐมนตรีพูดว่าอีกประมาณหนึ่งล้านตัน ก็รวมเป็นสองล้านตันเท่านั้นเอง ในขณะที่ปีๆหนึ่ง อย่างปี 2554 ตลอดปีเราขายได้เกือบๆ 11 ล้านตัน เราขาย 160 ประเทศ เราอาศัยผู้ส่งออก กลไกของการส่งออก ร้อยกว่าคน

ผู้ดำเนินรายการ : รัฐบาลบอกขายไม่ได้ไม่เป็นไร อาจารย์ใจเย็นๆ เดี๋ยวเอาไปเก็บไว้ตามค่ายทหารตามดอนเมือง เดี๋ยวรอราคาขึ้นแล้วค่อยขาย เก็บไว้ก่อนได้มั้ยครับอาจารย์

อาจารย์นิพนธ์ : เก็บไว้ให้เสียเหรอครับ เก็บมีต้นทุนนะครับ หนึ่งคือค่าดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายให้เงินกู้ก่อน ปีนึงที่คำนวณคร่าวๆก็ 5,000 กว่าล้าน สองมีค่าข้าวเสื่อม ข้าวเน่า มีการวิจัยบอกว่าข้าวเก็บไว้มันมีการเสื่อมคุณภาพ สองอย่างนี้ปีนึงเนี่ยคาใช้จ่ายที่สูญเสียไปปีนึงก็หมื่นล้านแล้ว แล้วถามว่าถ้ารอให้ราคาเพิ่มขึ้น มันคุ้มกับความเสียหายที่เกิดมั้ย แล้วรัฐบาลไม่ได้เป็นพ่อค้า ไม่ได้ตามภาวะราคา คุณรู้ได้ไงว่าวันไหนราคาขึ้น วันไหนราคาลง มันเป็นเรื่องการเก็งกำไรทั้งสิ้น รัฐบาลไม่ควรเข้ามาทำธุรกิจเก็งกำไร แล้วถ้าธุรกิจแบบนี้มันเอาเงินภาษีของเราไปเก็งกำไร เหมือนเล่นการพนัน เอาเงินภาษีไปเล่นการพนัน ถ้าชนะก็โชคดีไป แพ้ก็คือเงินภาษีประชาชน ไม่ใช่เงินของรัฐบาล นี่คือปัญหา ถ้านักธุรกิจเขาเก็งกำไรแล้วขาดทุนมันก็เงินของเขา ทำไมเราต้องสนับสนุนรัฐบาลให้มาเก็งกำไร นี่คือคำถามของผม

ผู้ดำเนินรายการ : รัฐบาลก็บอกว่าเก็งกำไรเพื่อมีโอกาสชนะ ไม่งั้นก็ต้องอยู่แบบนี้ทั้งปีทั้งชาติ ชาวนาไม่มีโอกาศลืมตาอ้าปาก

อาจารย์นิพนธ์ : เรื่องช่วยเหลือมันต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ถามว่ารัฐบาลมีปัญญาจะขายมั้ย และก็มีการพยายามจะผูกขาด มีการกล่าวหาว่าพ่อค้าต้องการผูกขาด ต้องเข้าใจว่าไม่ได้มีประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการขายข้าวเพียงประเทศเดียว มีประเทศผู้ขายคนอื่นๆที่แข่งกับเรา แล้วก็มีประเทศผู้ซื้อ แล้วถามว่าใครกดราคา ถ้าปีไหนมีข้าวเยอะราคาจะต่ำ พอผู้ซื้อเขารู้ว่าเขาจะซื้อที่ไหนก็ได้ เขาก็จะซื้อในราคาต่ำ ไม่มีใครอยากซื้อของแพง คนขายก็อยากขายของแพง อย่างปีไหนที่ไม่มีของ เช่นปี 2551 ของมันน้อย โหราคาพุ่งทะลุฟ้าเลย ปีนั้นเนี่ยผู้ส่งออกโก่งราคา เพราะฉะนั้นที่บอกว่าผู้ส่งออกกดราคานั้น ไม่มีพ่อค้าคนไหนอยากขายของถูกหรอก ไม่มีประเทศไหนในโลกที่รัฐบาลค้าขายเก่งกว่าพ่อค้า ระบบสังคมนิยมที่พยายามมาทำธุรกิจการเกษตรเนี่ยมันพังพินาศไปหมด

ผู้ดำเนินรายการ : รัฐบาลก็บอกว่าเอาแบบOPECไงครับอาจารย์ รวมประเทศผู้ผลิตข้าวเอาเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดี๋ยวจะเป็น AEC ด้วย จับมือกันไปปั่นราคาข้าวในตลาดกัน

อาจารย์นิพนธ์ : เรียกว่า OREC ก็แล้วกันเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ แต่ข้าวไม่เหมือนกับน้ำมัน น้ำมันเก็บไว้ในดินไม่เสียอะไร ดอกเบี้ยมันเพิ่มขึ้นด้วยเพราะน้ำมันมันขาดแคลน ราคาก็มีแต่วันที่จะขึ้น ส่วนข้าวเอาเก็บไว้ในโกดัง ปีๆนึงต้นทุนมันขึ้นไป 10% แล้วราคาจะขึ้นไป 10% ด้วยหรือเปล่า เพราะข้าวเน่ามีดอกเบี้ยอันนี้ประการที่หนึ่ง ประการที่สองสมมุติทำสำเร็จรวมตัวกันได้ ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นได้ พ่อค้าบางคนเริ่มเบี้ยว แอบไปขายในราคาต่ำ และบางทีเกษตรกรประเทศผู้ซื้อปลูกข้าวมากขึ้นเพราะข้าวมันแพง มันคุ้มที่จะอัดปุ๋ย อัดยา พอที่อื่นปลูกข้าวมากขึ้นปีต่อไปราคาตก มันไม่เหมือนน้ำมัน น้ำมันปลูกไม่ได้ เพราะสถานการณ์อย่างนี้อย่าไปฝันเลยว่าเราจะตั้งองค์กรเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่แล้วประสบความสำเร็จ คุมพ่อค้าก็ไม่ได้ คุมเกษตรกรก็ไม่ได้ เกษตรกรทั่วโลกมีเป็นร้อยล้านคน ไหนจะพ่อค้าทั่วโลกมีกี่คน แล้วจริงๆก็เคยทำมาแล้วในทศวรรษ 1970 เนี่ย ประเทศกำลังพัฒนามีแร่มีอะไรต่างๆอยากจะคุมแล้วไม่สำเร็จ ยกเว้นอย่างเดียวคือน้ำมัน

ผู้ดำเนินรายการ : ตกลงเกมนี้เนี่ยรัฐบาลมีโอกาสชนะมั้ยครับ

อาจารย์นิพนธ์ : แพ้ครับ แต่ในทางการเมืองรัฐบาลชนะครับ ในทางเศรษฐกิจไม่มีทางชนะแล้วก็จะสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมข้าวไทย

ผู้ดำเนินรายการ : ถ้าในทางการเมืองรัฐบาลชนะแล้วชนะเห็นชัดมาก แต่ในทางเสรษฐกิจมันไปไม่ได้ ทีนี้มันจะอยู่กันยังไงครับอาจารย์ แล้วประเทศจะเป็นยังไง

อาจารย์นิพนธ์ : รัฐบาลก็จะเดินนโยบายนี้ไป รัฐบาลก็จะได้รับการเลือกตั้ง เพราะมีคนที่สนับสนุนนโยบายนี้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะมีเกษตรกรจำนวนมากไม่ได้ประโยชน์ก็ตาม รัฐบาลก็จะหามาตรการอื่นๆไปรองรับเพื่อดึงคะแนนเสียง ในทางการเมืองนั้นชนะแน่ แต่ในทางเศรษฐกิจนั้นอย่าลืมว่าเวลาที่อุตสาหกรรมข้าวไทยก็จะพังแล้ว เราไม่มีทางนำเอาอุตสาหกรรมข้าวไทยกลับคืนมา พ่อค้าข้าวไทยที่มีคุณภาพ ระบบการค้าที่อาศัยข้าวที่มีคุณภาพนี้จะหมดไป แล้วพ่อค้าก็ไปทำธุรกิจต่างประเทศ ไปช่วยต่างประเทศหรือไม่ก็เลิกอาชีพไป วันใดวันหนึ่งถ้ามันพังไปแล้ว เราจะเอาคนพวกนี้กลับมาทำไม่ได้ ยกตัวอย่างระยะสั้นง่ายๆ เวลานี้ที่บอกเรื่องคุณภาพข้าวนี่เห็นชัดเจนเลย คุณเอาข้าวหอมมาเก็บไว้ในคลัง ความหอมในข้าวนี่มันเป็นสารระเหย 4-5 เดือน นี่ความหอมมันไปเกือบหมด แล้วมันก็แข็งขึ้น ราคาตก เวลาที่เขาขายข้าวหอมเขาจะขายกันต้นปีนะครับ เกี่ยวมาเสร็จแล้วเนี่ย ฮ่องกงจะรีบซื้อ แล้วฮ่องกงจะมีห้องเย็นพิเศษของเขา เราไม่ต้องสต็อก ก็รีบขายไปให้เขา ส่วนข้าวนึ่งเป็นข้าวธรรมดา แล้วเราขายได้ให้อาหรับ ให้แอฟริกา แล้วมันต้องเอาข้าวเปลือกมานึ่ง แล้วพอรัฐบาลรับจำนำข้าว 7 วันนี่เอาข้าวเปลือกมาสีหมด ไม่มีข้าวนึ่งขาย เวลานี้ก็เปิดโอกาสให้ประเทศเพื่อนบ้าน ให้เวียดนาม ให้อินเดียเขาส่งข้าวนึ่ง ทั้งๆที่เป็นข้าวราคาสูง รัฐบาลบอกอยากขายข้าวราคาแพง เรากำลังทำสิ่งที่มันตรงกันข้าม ผลที่ออกมามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการอยากให้เป็น

ผู้ดำเนินรายการ : อาจารย์ครับพูดคุยเรื่องข้าวมาหลายวันก็มีคนใจดีครับ ส่งเอกสารมา เป็นเอกสารจากกระทรวงการคลังส่งไปถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงว่าด่วนที่สุด ดูหน้าสุดท้ายลงชื่อว่ามาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ทีนี้จะจับประเด็นว่าคุณกิตติรัตน์เป็นคนของรัฐบาลแล้วส่งอะไรมาถึงรัฐบาลมีหลายต่อหลายประเด็น อ่านแล้วไม่เข้าใจต้องขอถามนักเศรษฐศาสตร์หน่อย ในประเด็นที่ห้า เขาบอกว่าพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรอบวงเงินการค้ำประกันและการให้กู้ต่อเป็นบาท ตามมาตร 25 และ 28 นี้นะครับ กำหนดให้ในปีงบประมาณที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและการให้กู้ต่อเป็นบาทได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งในปี 2556 มีกรอบวงเงินดังกล่าวอยู่ที่ 480,000 ล้านบาท และเนื่องจากกรอบวงเงินกู้และวงเงินค้ำประกันดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัด คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้พิจารณาเห็นชอบและรับทราบแผนนี้แล้ว และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนการยริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2556 ซึ่งภายใต้แผนการดังกล่าวมีกรอบเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตสินค้าเกษตรอยู่ 150,000 ล้านบาท คุยไปคุยมาทั้งหมดนี้เขาสรุปว่า กรอบเงินที่ไปกู้มาทั้งหมดนี้ที่เอามาใช้กับเรื่องข้าว คิดเป็นร้อยละ 55 ของกรอบวงเงินค้ำประกันตาม พรบ. บริหารหนี้สาธารณะ ที่อ้างถึงทั้งหมด อาจารย์ครับนี่มันภาษาเศรษฐศาสตร์ล้วนๆ เขาบอกว่า มีอยู่ 480,000 ล้านใช้ไปแล้วร้อยละ 55 หมายความว่าไงครับ

อาจารย์นิพนธ์ : ต้องขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่ท่านเห็นปัญหา ทุกวันนี้รัฐบาลมีรายการใช้จ่ายเยอะ ถ้าเอาเงินไปใช้จ่ายเรื่องข้าวไป 55% ก็เหลือเงินที่เอาไปพัฒนาประเทศ ไปทำถนน ไฟฟ้า ประปา 45% แล้วถ้าสมมุติมีข้าวเพิ่มขึ้นมาอีก ภาระหนี้สาธารณะนี้มันก็เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องกู้เงินมาถมรายการนี้มากขึ้น ก็หมายความว่ารัฐบาลจะเหลือเงินที่ใช้ในการลงทุนพัฒนาประเทศน้อยลง ต้องขอบคุณท่านรัฐมนตรีการคลังที่ท่านเป็นห่วงเรื่องนี้

ผู้ดำเนินรายการ : อาจารย์ครับแล้วนักเศรษฐศาสตร์ ท่านรัฐมนตรีคลัง ทำหนังสือนี้ออกมาแสดงถึงความกังวลอะไรครับ

อาจารย์นิพนธ์ : ผมคิดว่าเรากังวลว่าจะไม่มีเงินไปพัฒนาเพื่อสร้างความเจริญเติบโตให้กับประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ ถึงแม้รัฐบาลจะบอกว่าโครงการนี้เป็นการกระตุ้นรายได้ เพราะว่าไปทำให้ชาวนามีรายได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการกระตุ้นรายได้มันต้องมีการกู้เงินมาใช้ เสร็จแล้วมันก็ทำให้ไปเบียดเม็ดเงินที่จะไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ



ผู้ดำเนินรายการ : แล้วอะไรคือที่สุดของความน่ากลัวของโครงการรับจำนำข้าวนี้ครับ

อาจารย์นิพนธ์ : ที่สุดแล้วนี่เราก็รู้ว่ารัฐบาลไม่มีปัญญาขายข้าวหรอก แล้วเราก็ดูสถิติในการขายข้าวก็รู้ว่ามันขายไม่ได้จริง จนสุดท้ายเราก็จะขาดทุนสะสมไปเรื่อยๆ ปีนึงแสนกว่าล้าน มันยังไม่พังหรอก แต่ถ้าทำติดต่อกันสามสี่ปี กลายเป็นเงินสี่ห้าแสนล้าน ถึงวันใดวันหนึ่งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกมากระทบกระเทือนประเทศไทย ถึงวันนั้นรัฐบาลจะไม่มีเงินที่จะนำมาใช้ในการพยุงภาวะเศรษฐกิจให้มันกลับดีขึ้นมา แล้วถ้ารัฐบาลตัดสินใจลุย ใช้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก ตอนนั้นจะเกิดเรื่องใหญ่เกิดวิกฤตเหมือนประเทศกรีกเวลานี้ แล้วเมื่อเกิดวิกฤต เงินไหลออก ต่างประเทศเลิกเชื่อมั่น ก็ต้องรัดเข็มขัด คนที่เดือดร้อนที่สุดก็จะเป็นประชากรที่ยากจน เพราะเวลาที่รัฐบาลต้องรัดเข็มขัดก็จะต้องตัดรายจ่ายทางสังคมที่จะกระทบกระเทือนกับคนจน คนชั้นล่าง แล้วคนพวกนี้หนีไปไหนไม่ได้ แต่คนชั้นบนขนเงินออกนอกประเทศได้ คนที่มีฐานะหนีออกไปอยู่นอกประเทศได้ คนที่มีความรู้หนีออกไปอยู่นอกประเทศได้ คนที่ฐานะไม่ดีต้องอยู่ในประเทศก็เกิดภาวะฝืดเคือง อดอยาก ลำบาก นี่คือวิกฤตที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะละตินอเมริกา

ผู้ดำเนินรายการ : ทั้งหมดนี้คือตอบโจทย์ในค่ำคืนนี้ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ที่มา รายการตอบโจทย์ ตอน "จำนำข้าว...หายนะเศรษฐกิจข้าวไทย" กับแขกรับเชิญ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ออกอากาศ 15 ตุลาคม 2555
ผู้ดำเนินรายการ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กัญชาปลอดภัย ไวรัสอีโบลา ปรสิตที่น่ากลัว
สาเหตุสึนามิ ทำไมผมร่วง สงครามซีเรีย
ทำลายหลุมดำ โลกของเรา กระแสน้ำทะเล
วิธีทำลายเอกภพ กลไกวิวัฒนาการ ระบบภูมิคุ้มกัน
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

บทความแนะนำ

เรื่องย่อละคร สุดแค้นแสนรัก เรื่องย่อละคร เจ้านาง เรื่องย่อละครเพลงรักเพลงลำ เรื่องย่อละครเพื่อนแพง เรื่องย่อละคร นางสาวทองสร้อย คุณแจ๋วหมายเลข 1 เรื่องย่อละครเลือดมังกรตอนแรด บ้านหลอนแดนนรก สัมภาษณ์คุณฌอห์ณ จินดาโชติ

สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ

สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ

สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) กับคำถามสำคัญของเอกภพ


"ไม่มีอะไรจะใหญ่และอายุมากไปกว่าเอกภพ คำถามที่ผมจะพูดถึงในวันนี้คือ ข้อหนึ่ง เรามาจากไหน? เอกภพเกิดขึ้นได้อย่างไร เราโดดเดี่ยวในเอกภพหรือไม่ มีสิ่งมีชีวิตอื่นไหมในห้วงอวกาศ? อนาคตของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร? ก่อนช่วงทศวรรษ 1920 ทุกคนเชื่อว่าเอภพต้องคงที่และไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ภายหลังจึงพบว่าแท้จริงเอกภพกำลังขยายตัว แกแล็กซี่อื่นกำลังเคลื่อนตัวออกห่างเรา หากคิดย้อนกลับไป จะถึงจุดหนึ่งที่เราเคยอัดกันกว่าปลากระป๋องเมื่อ 15,000 ล้านปีที่แล้ว นั่นคือบิ๊กแบง จุดเริ่มต้นของเอกภพ ว่าแต่ มีอะไรก่อนบิ๊กแบงหรือไม่ หากไม่มี อะไรสร้างเอกภพขึ้นมา? ทำไมเอกภพจึงเกิดจากบิ๊กแบงในลักษณะนั้น? เราเคยคิดว่าทฤษำกำเนิดเอกภพ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ กฎฟิสิกส์ต่างๆ เช่น สมการแมกซ์เวลล์และสัมพันธภาพทั่วไปที่กำหนดวิวัฒนาการเอกภพกำหนดสภาวะให้ทุกอณูเอกภพชั่วขณะพร้อมกัน และส่วนที่สองที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือสภาวะแรกเริ่มของเอกภพ



เราก้าวหน้าไปได้ดีในส่วนแรก เราเข้าใจกฎวิวัฒนาการในทุกสภาพการณ์เว้นก็แต่ที่สุดโต่งที่สุด แต่สำหรับสภาวะแรกเริ่มของเอกภพนั้น เราเคยเข้าใจมันน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การแบ่งทฤษฎีออกเป็นสองส่วนคือ กฎวิวัมนาการ และ สภาวะตั้งต้นนั้นถือว่าเวลาและอวกาศเป็นคนละสิ่งที่แยกขาดกัน แต่ในสภาวะสุดโต่งนั้น อิทธิพลของสัมพันธภาพทั่วไปร่วมกับทฤษฎีควอนตัมส่งผลให้เวลาเสมือนเป็นมิติหนึ่งของอวกาศ แปลว่าวลาและอวกาศมิใช่สิ่งที่แยกขาดจากกันอีกต่อไป ทำให้กฎวิวัฒนาการสามารถระบุสภาวะแรกเริ่มของเอกภพได้ หมายความว่าเอกภพสามารถสร้างตัวขึ้นมาโดยไม่ต้องมีอะไรอยู่ก่อน เรายังคำนวณความน่าจะเป็นได้ว่าเมื่อแรกกำเนิดนั้นเอกภพมีสภาพต่างจากนี้ ซึ่งผลคำนวณนี้สอดคล้องเป็นอย่างดีกับผลสังเกตการณ์จากดาวเทียม WMAP ในการตรวจวัดรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลซึ่งเป็นภาพประทับของเอกภพช่วงแรกกำเนิด เราเชื่อว่าเราไขปริศนากำเนิดสรรพสิ่งงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางทีน่าจดสิทธิบัตรเอกภพไว้แล้วเก็บค่าธรรมเนียมทุกคนสำหรับการมีตัวตนนะครับ

ขอเข้าสู่คำถามสำคัญข้อที่สองนะครับ เราโดดเดี่ยว หรือมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกในเอกภพ? เราเชื่อว่าชีวิตกำเนิดขึ้นเองบนโลก ดังนั้นต้องเป็นไปได้ที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์อื่นที่อำนวยซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในแกแล็กซี่นี้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าชีวิตเริ่มปรากฎได้อย่างไร เราค้นพบหลักฐานอยู่สองชิ้นที่บ่งชี้ความน่าจะเป็นของการเกิดสิ่งมีชีวิต ชิ้นแรกคือฟอสซิลสาหร่ายอัลจี จากเมื่อ 3,500 ล้านปีที่แล้ว โลกถือกำเนิดเมื่อ 4,600 ล้านปีที่แล้ว ความร้อนน่าจะยังสูงไปในช่วง 500 ล้านปีแรก ซึ่งหมายความว่าชีวิตแรก ปรากฎขึ้นภายในช่วง 500 ล้านปีถัดมา ถือว่าเร็วเมื่อเทียบอายุไข 10,000 ล้านปี ของดาวเคราะห์อย่างโลก แสดงให้เห็นความน่าจะเป็นในการเกิดสิ่งมีชีวิตค่อนข้างสูง หากความน่าจะเป็นต่ำแล้ว คงกินเวลาจนเกือบครบอายุขัย 10,000 ล้านปีของโลก กว่าชีวิตจะถือกำเนิด แต่อีกมุมหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นมนุษย์ต่างดาวที่ไหนแวะมาเยือนโลก ไม่นับรายงานการพบเห็น UFO นะครับ ทำไมผู้พบเห็น UFO มักสติเฟื่องไม่เต็มบาท หากรัฐบาลสมรู้ร่วมคิดที่จะปิดข่าวและปกปิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มากับมนุษย์ต่างดาวจริง ก็เป็นนโยบายที่ไร้ประสิทธิภาพเกินไป นอกจานี้ แม้โครงการ SETI จะค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกมายาวนาน เราก็ยังไม่เคยรับโทรทัศน์ช่องเกมโชว์ของมนุษย์ต่างดาวได้เลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะยังไม่มีดาวดวงใด มีอารยธรรมใกล้เคียงกับเราในรอบรัศมีสองสามร้อยปีแสงนี้ ใครมีประกันให้พวกที่กลัวมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป มั่นใจได้เลย ไม่มีขาดทุน

มาสู่คำถามสำคัญข้อสุดท้าย อนาคตของมนุษยชาติ หากเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเดียวในแกแล็กซี่นี้ เราต้องแน่ใจว่าเราจะอยู่รอดและดำรงชีวิตต่อได้ นี่เรากำลังก้าวสู่ยุคที่อันตรายขึ้นเรื่อยในประวัตืศาสตร์มนุษยชาติ ปริมาณประชากรและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูงขึ้นทวีคูณ ไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นหรือเลวลงได้ทั้งนั้น แต่ในรหัสพันธุกรรม เรายังคงเห็นแก่ตัวและมีสัญชาตญาณความรุนแรงที่เคยเป็นประโยชน์ต่อการอยู่รอดในอดีต ยากพอควรที่จะหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้น ในอีกร้อยปีข้างหน้า ไม่ต้องกล่าวถึงอีกพันปีหรือล้านปี โอกาสเดียวที่เราจะอยู่รอดในระยะยาวคือเราต้องไม่ปิดกั้นตัวเองแค่บนโลก เราต้องเดินทางสู่ห้วงอวกาศ การที่เราสามารถตอบคำถามสำคัญเหล่านี้ได้ แสดงถึงความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แต่หากเราต้องการดำรงเผ่าพันธุ์ให้พ้นร้อยปีข้างหน้า ทางรอดคือห้วงอวกาศครับ

ผมจึงสนับสนุนให้มนุษย์ออกเดินทางสู่อวกาศ หรือว่าต้องเรียกว่าประชากรอวกาศดีครับ ตลอดชีวิตผมแสวงหาที่จะเข้าใจเอกภพและพยายามที่จะตอบคำถามเหล่านี้ ผมโชคดีมากที่ความพิการของผมไม่รุนแรงมากนัก แท้จริงแล้ว อาจเป็นความพิการนี้เองที่ทำให้ผมมีเวลามากกว่าผู้อื่นในการแสวงหาความรู้ เป้าหมายที่สูงสุดคือทฤษฎีที่สมบูรณ์ของเอกภพ และเรากำลังก้าวหน้าไปได้ดี ขอบคุณที่ตั้งใจฟังครับ"

ศาสตราจารย์ครับ หากต้องลองทายดู ศาสตราจารย์เชื่อไหมครับว่า เราอยู่โดดเดี่ยวบนทางช้างเผือก พูดถึงอารยธรรมที่ภูมิปัญญาเทียบเท่าหรือสูงกว่าเรานะครับ คำตอบใช้เวลา 7 นาทีนะครับ ยิ่งทำให้ผมตระหนักถึงความกรุณาที่ท่านมีให้ในการบรรยายสำหรับ TED ในครั้งนี้

"ผมว่าค่อนข้างเป็นไปได้ที่เราจะเป็นอารยธรรมเดียวในรอบรัศมีหลายร้อยปีแสง ไม่อย่างนั้นเราคงได้รับคลื่นวิทยุอะไรบ้างแล้ว หรือเป็นไปได้อีทางก็คืออารยธรรมเหล่านั้นได้ล่มสลายไปเสียก่อน ด้วยน้ำมือตนเอง"

ศาสตราจารย์ฮอว์คกิ้งครับ ขอบคุณครับ เป็นคำเตือนที่จะเป็นประโยชน์มากเลยครับ สำหรับการสัมมนาที่เหลือของเราในสัปดาห์นี้ ศาสตราจารย์ครับ พวกเราขอบคุณจริงๆครับสำหรับความอุตสาหะเอื้อเฟื้อทีได้มาร่วมแบ่งปันคำถามให้พวกเราทุกคนในวันนี้ ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ



สตีเฟ่น ฮอว์คิง คือใคร
ประธานาธิบดี กษัตริย์ พระราชินี คนหนุ่มสาว และคนเฒ่าคนแก่ ต่างก็ชื่นชอบเขา นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ต่างก็ตื่นเต้นและท้าทายทฤษฏีของเขา ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ สตีเฟ่น ฮอว์คิง (Stephen Hawking) วัย 70 ปี ยังคงเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีคนรู้จักและได้รับความชื่นชมมากที่สุด คนหนึ่งของโลก เขาได้ถอดรหัสปริศนาบางเรื่องของเอกภพ และเขาได้ทิ้งปริศนาเกี่ยวกับชีวิตของเขา นั่นก็คือ เขามีชีวิตยืนยาวนานขนาดนี้ได้อย่างไร จากการที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคที่เขาเป็นอยู่ สตีเฟ่น ฮอว์คิงเริ่มมีอาการของโรค amyotrophic lateral sclerosis (ALS) ซึ่งมีอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) ทำให้เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต เขามีอาการของโรคนี้ตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปัญหาเรื่องการเดินและการพูดทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ทำให้เขาไม่สามารถปกปิดมันได้อีก ท้ายที่สุดหมอก็บอกเขาว่าเขามีเวลาอยู่บนโลกอีกเพียงแค่ 2 ปี แต่เขากลับอยู่มาได้อีกหลายสิบปี และสามารถทำงานทางวิชาการด้านจักรวาลหรือเอกภพได้อย่างดีเยี่ยม

ผู้ที่ศึกษา DNA ของ ฮอว์คิง บอกว่ามีคนป่วยโรคนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีที่ความอ่อนแรงของกล้าม เนื้ออยู่ในระดับที่รุนแรงน้อย และในกรณีของฮอร์คิงถือว่าเป็นกรณีพิเศษเพราะเป็นโรคนี้มายาวนานถึง 50 ปี และไม่คิดว่าจะมีใครที่เป็นโรคนี้แล้วมีชีวิตยาวนานขนาดนี้ สตีเฟ่น ฮอว์คิงโด่งดังไปทั่วโลกจากหนังสือเรื่องประวัติย่อของกาลเวลาถูกตีพิมพ์ออก มาในปี พ.ศ.2531 และขายได้ 10 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้พูดถึงเอกภพและการกำเนิดของมันในแบบง่ายๆ และนับตั้งแต่นั้นเขาก็สร้างทฤษฎีหลายๆเรื่องในการปรับความเข้าใจของคนทั่ว ไปเกี่ยวกับหลุมดำ และเพราะฮอว์คิงนี่เองที่ทำให้ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang) กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันโดยทั่วไป ฮอว์คิงบอกว่าครอบครัวของเขาเป็นครอบตรัวประหลาด แม้แต่บนโต๊ะอาหารก็ไม่มีการพูดคุยกัน เพราะทุกคนมัวแต่ง้วนอยู่กับการอ่านหนังสือ

หลังจากที่เขาป่วยเขาก็เริ่มไม่สนใจเรียนแล้ว เพราะหมดอาลัยตายอยาก และไม่คิดว่าจะจบในระดับปริญญาเอกได้ แต่ช่วงนั้นเขาพบรักกับ เจน ผู้ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของเขา ทำให้เขาอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปและเริ่มมองว่าการทุ่มเทให้กับการทำงาน เป็นทางออกของปัญหาความเจ็บป่วย ต่อมาทั้งสองก็แยกทางกันในปี 2538 ฮอว์คิงก็แต่งงานใหม่กับ เอเลน เมสัน อดีตพยาบาลของเขา แต่ชีวิตรักในครั้งที่สองก็ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ช่วยของฮอว์คิงได้บอกว่า ปัจจุบันฮอว์คิงก็ยังคงคิดค้นทฤษฎีต่างๆ และเขาก็ยังมีอารมณ์สนุกสนานอยู่เสมอ เขามีความฝันที่จะได้บินในอวกาศ และก็มีการนำเขาขึ้นเครื่องบินที่มีสภาพไร้น้ำหนัก ทำให้เขาอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักอยู่นานราว 25 วินาที ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับฮอว์คิง เพราะเขาได้เป็นอิสระจากรถเข็น หลังจากที่ต้องนั่งอยู่กับมันอยู่นานราว 40 ปี ฮอว์คิงทำสิ่งนี้สำเร็จแม้ว่าจะเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว เขาสื่อสารกับบุคคลอื่นด้วยการกระพริบตาเท่านั้น และต้องพูดผ่านคอมพิวเตอร์สังเคราะห์เสียง

สัตว์มีพิษ ไวรัสอีโบลา เอเลี่ยนสปีชี่ส์
กำเนิดจักรวาล กำเนิดดวงอาทิตย์ ระบบสุริยะจักรวาล
ปริศนาของจักรวาล การเดินทางข้ามกาลเวลา สสารและปฏิสสาร
สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร บิ๊กแบงคืออะไร สัตว์ใกล้สูญพันธุ์
สัตว์น้ำแปลก ปลาแองเกลอร์ สัตว์ดูดเลือด
อันดับงูสวยงาม อนาคอนด้า ตัวอ่อนปลาฉลาม
เห็ดมีพิษ ภัยของยาไอซ์ คลื่นยักษ์สึนามิ
กษัตริย์เกาหลี จักรพรรดิกวางสี จักรพรรดิปูยี
ตำนานอโดนิส โจนออฟอาร์ค มู่กุ้ยอิง
จักรพรรดิเนโร พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 อับราฮัม ลินคอล์น
พระเจ้าซุกจง มาตาฮารี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
ตำนานธอร์ นิกิต้า ครุสชอฟ สงครามเกาหลี
กำแพงเมืองจีน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ พระนางเลือดขาว
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สตีเฟน ฮอว์คิง ลีโอ ตอลสตอย
สตีฟ จ็อบส์ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ พระนางมัสสุหรี

บทความแนะนำ

ประวัติของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ การพบเห็นมนุษย์ต่างดาวในประวัติศาสตร์ ตัวอ่อนปลาฉลามสุดโหด เป็นนักฆ่าตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ 15 สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์ ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี สุดยอดเฮลิคอปเตอร์ อาปาเช่ (Apache Helicopter) มฤตยูในสายน้ำ แมงกะพรุนกล่อง 25 แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก






























การ์ตูนผู้หญิงแบบ PDF สั่งได้เลยที่ไลน์ไอดี fattycatty หรือแสกนคิวอาร์โค้ดไลน์ที่นี่



สั่งซื้อการ์ตูนตาหวาน
การ์ตูนผู้หญิงแบบ PDF
มีเป็นพันเล่มคลิกเข้าไปเลือกดูได้เลยที่นี่

Popular Posts